คำครูประโยคหนึ่ง ตอนที่ฉันห่วงลูกศิษย์เมื่อ ๘ ปีที่แล้ว ด้วยเหตุว่าฉันไม่ได้อยู่วัด ออกมาวิเวก ก็เป็นห่วงลูกศิษย์ ว่าจะสามารถปฏิบัติภาวนา ได้เหมือนตอนเราอยู่ไหม ?
ครูเฒ่า ได้พูดกับฉัน ว่า
"อย่ามัวไปถามคนอื่น ว่าภาวนา ไหม ? หรือจะภาวนาได้ไหม เลย ให้ถามตัวเองก่อนว่า ภาวนาได้หรือยัง ถึงที่สุดแห่งการภาวนาแล้วหรือยัง อย่าคิดว่าเราสำคัญต่อคนอื่นมากนัก จงทำไว้ในใจอย่างแยบคายว่า ถ้ายังไม่บรรลุธรรมก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เท่านี้ก็พอ '
เมื่อฉันฟังจบนั่งใคร่ครวญ อยู่ สองวัน ตอนนั้นก็เลยตัดใจไม่ดำเนินการออกสอนอีกต่อไป แต่หันกลับมาภาวนาตนเองมากขึ้นและมากขึ้นถึงขั้นวิกฤตทางภาวนาหลายครั้ง มีทั้งอด ทั้งทำตบะ เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว ทั้งกลางวันและกลางคืน
บางวันไมต้องจุดไฟ ตามไฟ นั่งมันมืด อยู่อย่างนั้น พิจารณาอยู่อย่างนั้น การไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้หมายถึงว่า จิตจะเป็นสุข หรือ พ้นจากกิเลส มันแค่อยู่ในสภาพ อทุกขมสุข
ดังนั้นการดำเนินตามวิชากรรมฐาน ฉันจึงทบทวนทุกเวลา เมื่อมีโอกาส ดังนั้นวันหนึ่ง คืนหนึ่งก็นั่งนิ่ง ๆ แต่ การนั่งนิ่งเป็นการเข้าอนุโลมปฏิโลมทางจิตที่สำคัญ
ยิ่งอยู่ในสภาพคับแคบอึดอัดเท่าไหร่ เราก็ต้องฝึกฝนจิตให้มากขึ้นเท่านั้น หลายครั้งที่ฉันอธิษฐานจำกัดพื้นที่เพียง 9 กระเบื้อง 8 นิ้วว่าจะไม่ก้าวออกจากวงกระเบือ้งถ้าไม่ปวดหนัก จะไม่ออก ถึงปวดหนักอยู่ก็เข้าสมาธิสกัดอาการปวดไว้ บางครั้งนั่งเหงื่อแตกก้นเปียกกันเลยเพราะว่า ไม่มีพัดลม ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงแต่มุ้งกลดที่กางกันสัตว์เล็ก ๆ เท่านั้น
ดังนั้นจงใส่ใจในเวลา และจัดการเวลาภาวนาของตนให้ดี
อย่ามัวแต่ไปดูคนอื่น เพราะดูคนอื่น เขาไม่ทำ เราก็จะขี้เกียจ
สุดท้ายก็เกาะลอยคอย กันใน วัฏฏะสงสาร ต่อไป
เจริญพร
