ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล่าของ พระปิลินทวัจฉะ ผู้ไม่อาจละวาสนา  (อ่าน 2626 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เรื่องเล่าของ พระปิลินทวัจฉะ ผู้ไม่อาจละวาสนา

ชื่อเรื่องผู้ไม่อาจละวาสนา อาจทำให้ท่านประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะ ในทัศนะของคนไทย “วาสนา” เป็นคำเชิงบวกหมายถึง ลาภยศ บารมี จึงไม่มีความจำเป็นที่คนเราจะต้องละแต่อย่างใด   

แต่ในทางพุทธศาสนา คำว่า “วาสนา” มิได้มีความหมายเชิงบวกเช่นในภาษาไทย หากแต่หมายถึงนิสัยแย่ๆ ที่แก้ไม่หายซึ่งติดตัวมาหลายภพหลายชาติ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถละวาสนาตามความหมายที่ว่านี้ได้ แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นถึงพระอรหันต์ เช่น พระปิลินทวัจฉะ ก็ตาม


 :96: :96: :96: :96:

ปิลินทะ ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์วัจฉโคตร ผู้คนทั่วไปจึงขนานนามท่านว่า ปิลินทวัจฉะ ด้วยความที่เกิดในตระกูลดี จึงบันดาลให้การศึกษาของท่านเพียบพร้อมไปด้วย ปิลินทวัจฉะร่ำเรียนจนสำเร็จวิชา จูฬคันธาระ ทำให้ท่านมีอิทธิฤทธิ์และสามารถทายใจคนได้

แต่วันหนึ่งวิชาจูฬคันธาระก็เสื่อมลง ปิลินทวัจฉะจึงตามหาพระพุทธเจ้าจนพบและขอบวชเรียนวิชามหาคันธาระกับพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปิลินทวัจฉะพิจารณากรรมฐานจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกับแตกฉานธรรมด้านต่างๆ สามารถเหาะเหินเดินอากาศและมีวาจาสิทธิ์

ถึงแม้จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แต่พระปิลินทวัจฉะกลับไม่อาจละ “วาสนา” ที่ติดตัวมาแต่หนหลังได้  วาสนาของพระปิลินทวัจฉะก็คือ ท่านมักพูดจาหยาบคาย โดยเฉพาะคำว่า “วสลิ” (ไอ้ถ่อย) นั้นท่านพูดจนติดปาก

    :25: :25: :25:

    ครั้งหนึ่งมีพ่อค้าเครื่องเทศบรรทุกดีปลีผ่านหน้าพระปิลินทวัจฉะ
    ท่านร้องถามพ่อค้านายนั้นว่า “ถืออะไรมาไอ้ถ่อย”
    พ่อค้าได้ฟังแล้วก็เคืองขัด จึงร้องตอบกลับไปอย่างอารมณ์เสียว่า “ถือขี้หนูมา”
    พระปิลินทวัจฉะได้ยินดังนั้นก็ทวนคำ “อ้อ ไอ้ถ่อยนั่นขี้หนู”
    สิ้นเสียงพระปิลินทวัจฉะ เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นดีปลีที่บรรทุกมาพลันกลับกลายเป็นขี้หนูทั้งเกวียน พ่อค้านายนี้จึงไปรอพบพระปิลินทวัจฉะเพื่อขอขมา

    เมื่อพระปิลินทวัจฉะเดินผ่านมาพบพ่อค้าคนนี้เข้าก็ร้องถามด้วยคำถามเดิมว่า “ถืออะไรมาไอ้ถ่อย”
    พ่อค้าจึงร้องตอบออกไปว่า “ถือดีปลีมาครับท่าน”
    ครานี้พระปิลินทวัจฉะทวนคำ “อ้อ ไอ้ถ่อย นั่นดีปลี”
    เพียงเท่านี้ขี้หนูทั้งเกวียนก็กลับกลายมาเป็นดีปลีอันมีค่าดังเดิม สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนยิ่งนัก


 st12 st12 st12

พระพุทธเจ้าทรงเฉลยว่า วาสนาของพระปิลินทวัจฉะเกิดจากบุพกรรมในอดีต พระปิลินทวัจฉะเคยเกิดในตระกูลพราหมณ์นับห้าร้อยชาติ ท่านจึงถือตัวในความเป็นพราหมณ์ของตน มักกล่าววาจาเรียกผู้อื่นว่า “ไอ้ถ่อย” เช่นนี้เสมอความเคยชินที่ว่านี้เป็นวาสนาซึ่งละไม่ได้ แต่ท่านหาได้มีเจตนาจะพูดหยาบคายแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีแม้ไม่อาจละกรรมที่ตามติดท่านมาแต่หนหลังได้ แต่พระปิลินทวัจฉะก็เปี่ยมล้นด้วยเมตตา ท่านบรรยายธรรมแก่เทพยดาอย่างแจ่มแจ้ง จนได้รับการยกย่องว่า เป็นเอตทัคคะในทางเป็นผู้รักใคร่ของเทพยดา

เรื่องราวของผู้ไม่อาจละวาสนาท่านนี้ คงจะช่วยยืนยันให้เห็นว่า สำหรับบุคคลที่ดำเนินชีวิตด้วยจิตเมตตากรุณาดังเช่นพระปิลินทวัจฉะนั้น แม้จะพูดจาหยาบกระด้างเหมือนมะนาวไม่มีน้ำบ้างในบางครั้ง แต่นั่นก็ไม่อาจลดทอนคุณงามความดีของท่านลงได้แต่อย่างใด


เรื่อง อิสระพร บวรเกิด
http://www.goodlifeupdate.com/29743/healthy-mind/wasana/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 22, 2017, 10:19:41 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ