ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่ควรบอกความลับ..แก่คนอื่น  (อ่าน 3218 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ไม่ควรบอกความลับ..แก่คนอื่น
« เมื่อ: เมษายน 13, 2017, 12:31:01 pm »
0


ปัณฑรกชาดก : ไม่ควรบอกความลับแก่คนอื่น

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ การที่พระเทวทัตทำมุสาวาทแล้วถูกแผ่นดินสูบ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีดังนี้

(ความย่อว่า เมื่อพวกภิกษุพากันกล่าวโทษพระเทวทัต ในคราวนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กระทำมุสาวาท ถูกแผ่นดินสูบแล้วเหมือนกันดังนี้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้)

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี พ่อค้า ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปยังมหาสมุทร ในวันที่เจ็ด สำเภาก็ได้แตกลง ผู้คนได้เป็นเหยื่อแห่งปลาและเต่าหมด มีเหลือเพียงคนเดียว ก็บุรุษที่เหลือคนเดียวนั้นก็ถูกคลื่นซัดลอยไปถึงท่าชื่อ กทัมพิยะ เมื่อเขาขึ้นจากทะเลได้แล้ว เปลือยกายล่อนจ้อน เที่ยว ขอทานตามท่านั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาเข้า ก็พากันสรรเสริญว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะ มักน้อยสันโดษ แล้วทำสักการะบูชา เขาคิดว่า เราได้ช่องทางหาเลี้ยงชีพแล้ว แม้เมื่อชนเหล่านั้นให้เครื่องนุ่งห่ม ก็มิได้ปรารถนา ชน เหล่านั้นเข้าใจว่า สมณะผู้มักน้อยยิ่งกว่าท่านผู้นี้ไม่มี ดังนี้แล้วพากันเลื่อมใสยิ่งขึ้น ช่วยกันสร้างอาศรมบทให้ชีเปลือยนั้นพำนักอยู่ที่นั้น เขามีชื่อปรากฏว่า กทัมพิยอเจลก เมื่อเขาอยู่ ณ ที่นั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย

 :96: :96: :96:

พญานาคราชตนหนึ่ง ชื่อว่า ปัณฑรกนาคราช กับพญาครุฑตนหนึ่ง พากันมายังที่บำรุงของชีเปลือยนั้น อยู่มาวันหนึ่ง พญาครุฑไปยังสำนักชีเปลือยนั้น ไหว้แล้วจับอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ ญาติของกระผม เมื่อจับพวกนาคย่อมพินาศไปเสียมากมาย เพราะพวกกระผมไม่รู้วิธีที่จะจับนาค ได้ยินว่า เหตุที่ซ่อนเร้นของพวกนาคเหล่านั้นมีอยู่ ท่านจะถามเหตุนั้นกะพวกนาค ให้กับกระผมด้วยเถิด

ชีเปลือยรับคำแล้ว ครั้นพญาครุฑไหว้แล้วลากลับไป ในเวลาที่พญานาคมาหา จึงถามพญานาคว่า พญานาคเอ๋ย เขาว่า เมื่อพวกครุฑจับพวกท่าน ต้องพินาศไปมากมาย ทำไมเมื่อมันจะจับพวกท่าน จึงไม่สามารถจะจับได้?

พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ ข้อนี้เป็นเหตุซ่อนเร้นลึกลับของพวกกระผม เมื่อกระผมบอกเหตุนี้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่า นำความตายมาให้แก่หมู่ญาติ

ชีเปลือยจึงพูดว่า อาวุโส ก็ท่านเข้าใจว่า คนอย่างเรานี้ จักบอกแก่คนอื่นอย่างนี้หรือ เราจักไม่บอกแก่คนอื่นเลย ก็เราถาม เนื่องด้วยตนอยากจะรู้ ท่านเชื่อเราแล้วต้องปลอดภัย จงบอกเถิด

พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ กระผมบอกไม่ได้ ไหว้แล้วก็ลาหลีกไป แม้ในวันรุ่งขึ้น ชีเปลือยก็ถามอีก แม้ถึงอย่างนั้น พญานาคก็ไม่ยอมบอกดุจเดิม ครั้นต่อมา ในวันที่ ๓ ชีเปลือยจึงถามพญานาคผู้มานั่งอยู่ว่า วันนี้เป็นวันที่ ๓ เมื่อเราถาม ทำไมท่านจึงไม่บอก?

พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ เพราะกระผมกลัวว่า ท่านจักบอกแก่คนอื่น
ชีเปลือยย้ำว่า เราจักไม่บอกใคร ท่านปลอดภัยแน่ จงบอกเถิด
พญานาคจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าเช่นนั้น ท่านโปรดอย่าบอกคนอื่นเลย

 ans1 ans1 ans1

    เมื่อชีเปลือยรับปฏิญญาแล้ว พญานาคจึงบอกว่า
    ท่านขอรับ พวกกระผมกลืนกินก้อนหินใหญ่เข้าไว้ ทำตัวให้หนักนอนอยู่ ในเวลาพวกครุฑมา ก็ยื่นหน้าออก แยกเขี้ยวคอยจะขบครุฑ พวกครุฑมาถึงก็จับศีรษะของพวกกระผมไว้ เมื่อมันพยายามจะฉุดพวกกระผม ซึ่งเป็นเหมือนภาระหนักอึ้งนอนอยู่ขึ้น น้ำก็ท่วมทับมัน พวกมันก็ตายภายในน้ำนั้นเอง
    ด้วยเหตุนี้ พวกครุฑจึงพินาศไปเป็นจำนวนมาก เมื่อพวกมันจะจับพวกกระผม ทำไมจะต้องจับที่ศีรษะ พวกครุฑโง่ ๆ จะต้องจับที่ขนดหาง ทำให้พวกกระผมมีศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ ให้สำรอกหินที่กลืนไว้ออกทางปาก ทำตัวให้เบาแล้วอาจจะจับไปได้
    พญานาคบอกเหตุเร้นลับของตนแก่ชีเปลือยผู้ทุศีล ด้วยประการฉะนี้

ครั้นเมื่อพญานาคลากลับไปแล้ว ต่อมาพญาครุฑมาไหว้กทัมพิยอเจลกแล้วถามว่า
ท่านขอรับ ท่านถามเหตุซ่อนเร้นของพญานาคแล้วหรือ.?
ชีเปลือยตอบว่า เอออาวุโส แล้วบอกความตามที่พญานาคบอกแก่ตนนั้น ทุกประการ

พญาครุฑได้ฟังเช่นนั้นจึงคิดว่า พญานาคทำกรรมที่ไม่สมควรเสียแล้ว ธรรมดาลู่ทางที่จะให้มวลญาติฉิบหาย ไม่ควรบอกแก่คนอื่นเลย ถึงทีเราแล้ว วันนี้ควรที่เราจะต้องทำลมกำลังสุบรรณ จับปัณฑรกนาคราชนี้ก่อนทีเดียว พญาครุฑนั้นก็กระทำลมกำลังสุบรรณ จับปัณฑรกนาคราชทางขนดหางทำให้มีศีรษะห้อยลง ทำให้สำรอกอาหารที่กลืนเข้าไป แล้วโผขึ้นบินไปในอากาศ

 :03: :03: :03:

ปัณฑรกนาคราช เมื่อต้องห้อยศีรษะลงในอากาศ ก็ปริเทวนาการว่า เรานำทุกข์มาให้แก่ตัวเองแท้ ๆ กล่าวว่า

    "ภัยเกิดจากตนเอง ย่อมตามถึงบุคคลผู้ไร้ปัญญาพูดพล่อยๆ ไม่ปิดบังความรู้ ขาดความระมัดระวังขาดความพินิจพิจารณา เหมือนครุฑตามถึงเราผู้ปัณฑรกนาคราช ฉะนั้น"

     "นรชนใดยินดีบอกมนต์ลึกลับที่ตนควรจะรักษาแก่คนชั่ว เพราะความหลง ภัยย่อมตามถึงนรชนนั้นผู้มีมนต์อันแพร่งพรายแล้วโดยพลัน เหมือนครุฑตามถึงเราผู้ปัณฑรกนาคราช ฉะนั้น"

     "มิตรเทียมไม่ควรจะให้รู้เหตุสำคัญอันลึกลับ ถึงมิตรแท้แต่เป็นคนโง่ หรือมีปัญญาแต่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรจะให้รู้ความลับเหมือนกัน.
      เราได้ถึงความคุ้นเคยกับชีเปลือย ด้วยเข้าใจว่าสมณะนี้โลกเขานับถือ มีตนอบรมดีแล้ว ได้บอกเปิดเผยความลับแก่มัน จึงได้ล่วงเลยประโยชน์ร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้า ฉะนั้น"


 :91: :91: :91:

ดูก่อนพญาครุฑที่ประเสริฐ เมื่อก่อนเรามีวาจาปกปิด ไม่บอกความลับแก่มัน แต่ก็ไม่อาจระมัดระวังได้ แท้จริง ภัยได้มาถึงเราจากทางชีเปลือยนั้น เราจึงได้ล่วงเลยประโยชน์ร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้า ฉะนั้น.

นรชนใดสำคัญว่า ผู้นี้มีใจดี บอกความลับกะคนสกุลทราม นรชนนั้นเป็นคนโง่เขลา ทรุดโทรมลงโดยไม่ต้องสงสัย เพราะโทสาคติ ภยาคติ หรือเพราะฉันทาคติ

ผู้ใดปากบอนนับเข้าในพวกอสัตบุรุษ ชอบกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมชน นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่า ผู้มีปากชั่วร้าย คล้ายอสรพิษ ควรระมัดระวังคนเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล.เราได้ละทิ้ง ข้าว น้ำ ผ้าแคว้นกาสี และจุรณจันทน์ สตรีที่เจริญใจดอกไม้และเครื่องชโลมทาซึ่งเป็นส่วนกามารมณ์ทั้งปวงไปหมดแล้ว

ดูก่อนพญาครุฑเราขอถึงท่านเป็นสรณะด้วยชีวิต
ปัณฑรกนาคราช มีศีรษะห้อยลงในอากาศ ปริเทวนาการอยู่อย่างนี้

    :96: :96: :96:

พญาครุฑได้ยินเสียงปริเทวนาการ ของพญานาคราชนั้น จึงติเตียนพญานาคราชนั้นว่า
   "ท่านนาคราช ท่านบอกความลับของตนแก่ชีเปลือยแล้ว ทำไมบัดนี้จึงปริเทวนาการอยู่เล่า"
    แล้วกล่าวว่า
   "ดูก่อนปัณฑรกนาคราช บรรดาสัตว์ทั้ง ๓ จำพวกคือ สมณะ ครุฑ และนาค ใครหนอควรจะได้รับคำติเตียนในโลกนี้ ที่จริง ตัวท่านนั่นแหละควรจะได้รับท่านถูกครุฑจับเพราะเหตุไร"

ปัณฑรกนาคราช ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า
    "ชีเปลือยนั้น เป็นผู้มีอัตภาพอันเรายกย่องว่าเป็นสมณะ เป็นที่รักของเรา ทั้งเป็นผู้อันเรายกย่องด้วยใจจริง เราจึงบอกเปิดเผยความลับแก่มัน เราเป็นคนขาดประโยชน์แล้ว ต้องร้องไห้อยู่ ดุจคนกำพร้าฉะนั้น"

 :96: :96: :96:

ลำดับนั้น พญาครุฑได้กล่าวว่า

    "แท้จริง สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีเลยในแผ่นดิน บุคคลไม่ควรติเตียนธรรมชาติเช่นกับปัญญา ด้วยว่า คนในโลกนี้ย่อมสามารถบรรลุคุณวิเศษที่ยังไม่ได้ เพราะสัจจธรรม ปัญญา และทมะ.เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรติเตียนชีเปลือย จงติเตียนตัวเองผู้เดียวเถิด เพราะชีเปลือยเป็นคนมีปัญญา เป็นคนฉลาดในอุบาย จึงหลอกถามความลับของท่านได้"

    "มารดาบิดา เป็นยอดเยี่ยมแห่งเผ่าพันธุ์ คนอื่นชื่อว่ามีความอนุเคราะห์แก่บุตรนั้น ไม่มีเลย เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรบอกความลับสำคัญแม้แก่มารดาบิดานั้น"

    "เมื่อบุคคลรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรแพร่งพรายความลับที่สำคัญ แม้แก่บิดามารดา พี่สาว น้องสาว พี่ชาย น้องชาย หรือแก่สหาย แก่ญาติฝ่ายเดียวกับตน"

    "ถ้าภรรยาสาวพูดไพเราะ ถึงพร้อมด้วยบุตรธิดารูปและยศ ห้อมล้อมด้วยหมู่ญาติ จะพึงกล่าวอ้อนวอนสามี ให้บอกความลับ เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตกไม่ควรแพร่งพรายความลับสำคัญ แม้แก่ภรรยานั้น"


 ans1 ans1 ans1

พญาครุฑ กล่าวคำเป็นคาถาต่อไปอีก ความว่า

    "บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับเลย ควรรักษาความลับนั้นไว้ เหมือนรักษาขุมทรัพย์ ความลับอันบุคคลอื่นรู้เข้าทำให้แพร่งพราย ไม่ดีเลย"

    "คนฉลาดไม่ควรขยายความลับแก่สตรี ศัตรู คนมุ่งอามิส และแก่คนผู้หมายล้วงดวงใจ.คนใดให้ผู้ไม่มีความคิดล่วงรู้ความลับ ถึงแม้เขาจะเป็นคนใช้ของตน ก็จำต้องอดกลั้นไว้ เพราะกลัวความคิดจะแตก"

    "คนมีประมาณเท่าใด รู้ความลับที่ปรึกษากันของบุรุษ คนประมาณเท่านั้น ย่อมขู่ให้บุรุษนั้นหวาดกลัวได้ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรขยายความลับ.ในกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ควรพูดเปิดเผยความลับในที่สงัด ไม่ควรเปล่งวาจาให้เกินเวลาเพราะคนที่คอยแอบฟัง ก็จะได้ยินข้อความที่ปรึกษากัน เพราะเหตุนั้น ข้อความที่ปรึกษากัน ก็จะถึงความแพร่งพรายทันที"


     (คาถาทั้ง ๕ คาถา จักมีแจ้งในบัณฑิตปัญหา ๕ ข้อ ในอุมมังคชาดก)


"ธรรมที่ลึกลับ ไม่ควรพูดให้คนอื่นรู้เพราะคนอื่นไม่เห็นตาม ธรรมจะเสียต้องพูดต่อผู้ปฏิบัติเหมือนกัน"
คำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ถัดนั้นไป ความว่า

   "ผู้มีความลับในโลกนี้ ต้องทำตนเสมือนอยู่ภายในนครเหล็ก อันไม่มีประตูเข้าออกเท่านั้น คนที่อยู่ภายในก็ไม่ออกไปข้างนอก คนที่อยู่ข้างนอก ก็ไม่เข้าไปข้างใน ขาดการสัญจรไปมาติดต่อกัน บุรุษทั้งหลายผู้มีความลับ ต้องเป็นฉันนั้น คือให้ความลับของตนจางหายไป ภายในใจของตนผู้เดียว ไม่ต้องบอกแก่คนอื่นฉะนั้น"

    "ดูก่อนปัณฑรกนาคราช ผู้มีลิ้นชั่ว คนจำพวกใดมีความลับ ต้องไม่พูดแพร่งพราย จะต้องมั่นคงอยู่ในประโยชน์ของตน ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่ได้โอกาสที่จะเข้าใกล้คนจำพวกนั้น ดุจคนผู้รักชีวิต ไม่เข้าใกล้หมู่อสรพิษฉะนั้น"

 :32: :32: :32:

เมื่อพญาครุฑกล่าวธรรมอย่างนี้แล้ว ปัณฑรกนาคราชจึงกล่าวว่า อเจลกชีเปลือย ละเรือนออกบวช มีศีรษะโล้นเที่ยวแสวงหาอาหารเพื่อให้เต็มท้อง เราได้ขยายความลับแก่มันซิหนอ เราจึงเป็นผู้เสื่อมจากอรรถและธรรมแล้ว

ดูก่อนพญาครุฑ บุคคลผู้ละสิ่งที่ตนยึดถือแล้ว มาประพฤติเป็นนักบวช มีการทำอย่างไร มีศีลอย่างไร ประพฤติพรตอย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะนั้นมีการทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงแดนสวรรค์

    พญาครุฑกล่าวตอบเป็นคาถา ความว่า
    แน่ะสหายนาคราช บุคคลผู้ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ อันเป็นสมุฏฐานทั้งภายในภายนอก ด้วย อธิวาสนขันตี กล่าวคือความอดกลั้น และประกอบด้วยการฝึกฝนทรมาน อินทรีย์ มีปกติไม่โกรธ ละวาจาส่อเสียด และละตัณหากามารมณ์ได้แล้ว ประพฤติบรรพชาอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะผู้กระทำอย่างนี้แหละ เมื่อ กระทำกุศล มีหิริเป็นต้นเหล่านี้ ย่อมเข้าถึงสุคติสถานได้

 ask1 ask1 ask1

ปัณฑรกนาคราช ได้ฟังธรรมกถาของพญาครุฑนี้แล้ว เมื่อจะอ้อนวอนขอชีวิต จึงกล่าวว่า
มารดาเห็นบุตรอ่อนที่เกิดแต่ตัว เกิดแล้ว ในสรีระของตน แล้วให้นอนในอ้อมอกให้ดื่มน้ำนม แผ่เรือนร่างทุกส่วนเพื่อ ปกป้องบุตรไว้ คือมารดาไม่ไปจากบุตร บุตรก็ไม่ไปจากมารดาฉันใด ข้าแต่ราชา แห่งทิชชาติ แม้ท่านก็จงโปรดเห็นแก่เรา โปรดให้ชีวิตแก่เรา ดุจมารดา เอื้อเอ็นดูบุตร ด้วยดวงหทัยอันอ่อนโยนฉะนั้นเถิด

ลำดับนั้น พญาครุฑเมื่อจะให้ชีวิตแก่พญานาค จึงกล่าวว่า
ดูก่อนพญานาคราชผู้มีลิ้นชั่ว เอาเถอะ ท่านจงพ้นจากการถูกฆ่าในวันนี้ ก็บุตรมี ๓ จำพวก คือศิษย์ ๑ บุตรบุญธรรม ๑ บุตรตัว ๑ บุตรอื่นหามีไม่ท่านยินดีจะเป็นบุตรจำพวกไหนของเรา

พญาครุฑแสดงความว่า ในบุตร ๓ จำพวกนั้น ท่านจงเกิดเป็นอันเตวาสี บุตรอย่างหนึ่งของเรา ก็แหละครั้นพญาครุฑกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ลงจากอากาศ วางพญานาคราชลงที่แผ่นดิน


 :25: :25: :25:

พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสว่า

พญาครุฑจอมทิชชาติ กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็โผลงจับที่แผ่นดิน แล้วปล่อยพญานาคไปด้วยกล่าวว่าวันนี้ ท่านรอดพ้นล่วงสรรพภัยแล้ว จงเป็นผู้อันเราคุ้มครองแล้ว ทั้งทางบกทางน้ำ

หมอผู้ฉลาดเป็นที่พึ่งของคนไข้ได้ฉันใด ห้วงน้ำอันเย็น เป็นที่พึ่งของคนหิวระหายได้ฉันใด สถานที่พักเป็นที่พึ่งของคนเดินทางได้ฉันใด เราก็จะเป็นที่พึ่งของท่าน ฉันนั้น

พญาครุฑ ครั้นกล่าวคำอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ปลดปล่อยนาคราชนั้นไปโดยกล่าวว่า ท่านจงไปเถิด นาคราชนั้นก็เข้าไปสู่นาคพิภพ ฝ่ายพญาครุฑกลับไปสู่สุบรรณพิภพ แล้วคิดว่า ปัณฑรกนาคราช เราได้ทำการสบถให้เชื่อ ปล่อยไปแล้ว จะมีดวงใจต่อเราเช่นไรหนอ เราจักทดลองดู แล้วไปยังนาคพิภพ ได้ทำลมแห่งครุฑ พญานาคราชเห็นเช่นนั้น สำคัญว่า พญาครุฑจักมาจับเรา จึงเนรมิตอัตภาพยาวประมาณพันวา กลืนก้อนหินและทรายเข้าไว้ในตัวหนัก นอนแผ่พังพานไว้ยอดขนดจดหางลงเบื้องต่ำ ทำอาการประหนึ่งว่า มุ่งจะขบพญาครุฑ

พญาครุฑเห็นอาการเช่นนั้น จึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า แน่ะท่านผู้ชลามพุชชาติ ท่านแยกเขี้ยวจะขบมองดูดังจะทำกับศัตรูผู้อัณฑชชาติ ภัยของท่านมีมาจากไหนกัน

 st12 st12 st12

พญานาคราชได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า

    "บุคคลพึงรังเกียจในศัตรูทีเดียว แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้วางใจ ภัยเกิดขึ้นได้จากที่ที่ไม่มีภัย มิตรย่อมตัดโค่นรากได้แท้จริง"
    "จะพึงไว้วางใจในบุคคล ที่ทำการทะเลาะกันมาแล้วอย่างไรได้เล่า ผู้ใดดำรงอยู่ได้ด้วยการเตรียมตัวเป็นนิตย์ ผู้นั้นย่อมไม่ยินดีกับศัตรูของตน"
    "บุคคลพึงทำให้เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่น แต่ไม่ควรจะวางใจคนอื่นจนเกินไป ตนเองอย่าให้คนอื่นรังเกียจได้ แต่ควรรังเกียจเขา วิญญูชนพึงพากเพียรไปด้วยอาการที่ฝ่ายปรปักษ์จะรู้ไม่ได้"

     ครั้นสองสัตว์ (คือพญาครุฑ และพญานาคราช) เจรจากันอย่างนี้แล้ว ก็สมัครสโมสร รื่นเริง บันเทิงกัน พากันไปยังอาศรมชีเปลือย


 st11 st11 st11

พระบรมศาสดาเมื่อจะประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า

สัตว์ทั้งสอง มีเพศพรรณดังเทวดา สุขุมาลชาติเช่นเดียวกัน เดินคู่กัน เข้าไปยังอาศรมของกรัมปิยอเจลก.ชีเปลือยนั้น ครั้นไปถึงแล้ว พญาครุฑคิดว่า พญานาคนี้คงจักไม่ให้ชีวิตแก่ชีเปลือย เราก็จักไม่ไหว้มันผู้ทุศีล พญาครุฑจึงยืนอยู่ข้างนอก ปล่อยให้พญานาคเข้าไปยังสำนักชีเปลือยแต่ผู้เดียว

พระบรมศาสดาทรงหมายเหตุนั้น จึงตรัสพระคาถานอกนี้ ความว่า
ลำดับนั้น ปัณฑรกนาคราชเข้าไปหาชีเปลือยแต่ลำพังตนเท่านั้น แล้วได้กล่าวบริภาษว่า
เฮ้ย.! ชีเปลือยทุศีล ชอบพูดเท็จ วันนี้เรารอดพ้นความตาย ล่วงจากภัยทั้งปวงแล้ว เราคงไม่เป็นที่รัก ที่พอใจของท่านเสียเลยเป็นแน่

ลำดับนั้น ชีเปลือยจึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
พญาครุฑนั้น เป็นผู้ที่เรารักกว่าท่านปัณฑรกนาคราช ข้อนี้เป็นความจริง เรานั้นเป็นผู้ลำเอียงเพราะรักพญาครุฑนั้น จึงได้กระทำบาปกรรมนั้น ทั้งที่รู้ ใช่จะทำเพราะโมหาคติก็หามิได้

พญานาคราชได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาว่า
การถือว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา หรือสิ่งนี้ไม่เป็นที่รักของเรา ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่บรรพชิต ผู้พิจารณาเห็นโลกนี้และโลกหน้า ก็ท่านเป็นคนไม่สำรวม แต่ประพฤติลวงโลก ด้วยเพศของผู้สำรวมดี.ท่านไม่เป็นอริยะ แต่ปลอมตัวเป็นอริยะ ไม่ใช่คนสำรวม แต่ทำคล้ายคนสำรวม ท่านเป็นคนชาติเลวทราม ไม่ใช่คนประเสริฐ ได้ประพฤติบาปทุจริตเป็นอันมาก

 :96: :96: :96:

ครั้นปัณฑรกนาคราช ติเตียนชีเปลือยอย่างนี้แล้ว เมื่อจะสาปแช่ง จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า
แน่ะเจ้าคนเลวทราม เจ้าประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียด ด้วยคำสัตย์นี้ ขอศีรษะของเจ้าจงแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง

เมื่อพญานาคราชสาปแช่งอยู่อย่างนี้ ศีรษะของชีเปลือยก็แตกออกเป็นเจ็ดภาค พื้นแผ่นดินตรงที่ชีเปลือยนั่งอยู่นั่นเอง ก็ได้แยกออกเป็นช่อง ชีเปลือยนั้นเข้าสู่แผ่นดิน บังเกิดในอเวจีมหานรก พญานาคราชและพญาครุฑทั้งสอง ก็ได้ไปยังพิภพของตน ๆ ตามเดิม


 :03: :03: :03:

พระบรมศาสดาเมื่อจะประกาศความที่ชีเปลือยนั้นถูกแผ่นดินสูบ จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายความว่า
เพราะเหตุนั้นแล บุคคลไม่พึงประทุษร้ายต่อมิตร เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทรามที่สุดจะหาคนอื่นที่เลวกว่าเป็นไม่มี ชีเปลือยทั้งที่ได้ปฏิญญาว่า เราเป็นผู้ตั้งอยู่ในสังวร  ก็ได้ถูกทำลายลง ด้วยคำของพญานาคราช.ถูกอสรพิษกำจัดแล้วในแผ่นดิน

    พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้วตรัสว่า
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กระทำมุสาวาทจนถูกแผ่นดินสูบ"

    แล้วทรงประชุมชาดกว่า
    ชีเปลือยได้มา เป็นพระเทวทัต
    นาคราชได้มา เป็นพระสารีบุตร
    ส่วนสุบรรณราช ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล

          จบ ปัณฑรกชาดก


อ้างอิง :-
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑(๘. ปัณฑรกชาดก ไม่ควรบอกความลับแก่คนอื่น)
http://84000.org/tipitaka//attha/v.php?B=27&A=9787&Z=9891
- อรรถกถา ปัณฑรกชาดก ว่าด้วย ไม่ควรบอกความลับแก่คนอื่น
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=2387
ที่มา : http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-14-22/chadok-160108.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 13, 2017, 01:11:19 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ