ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “พระธาตุดอยสุเทพ” กำเนิดจากช้างมงคล สร้างมา กว่า ๖๐๐ ปีแล้ว! พร้อมๆกับวัดสวนดอก  (อ่าน 1928 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29375
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระธาตุดอยสุเทพ

“พระธาตุดอยสุเทพ” กำเนิดจากช้างมงคล สร้างมา กว่า ๖๐๐ ปีแล้ว! พร้อมๆกับวัดสวนดอก!!

        พระธาตุดอยสุเทพนั้นสถาปนาขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๒๗ ในสมัยพระเจ้ากือนา ผู้เป็นเหลนของพญามังราย ผู้สร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
       
       ตามตำนานพระธาตุดอยสุเทพได้กล่าวถึง “พระสมุนเถระ” หรือ “พระสุมนเถระ” ผู้เป็นเจ้าลูกหลวงในราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย ได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา ทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาพระไตรปิฎกถึงกับไปศึกษาที่เมืองพัน (เมาะตะมะ) ในรามัญประเทศ ครั้นกลับมา พญาเลอไทผู้เป็นโอรสของพ่อขุนรามคำแหงทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใส สร้าง“วัดอัมพวนาราม” ให้ประทับในป่ามะม่วงของกรุงสุโขทัย
       
       ครั้งหนึ่ง พระสุมนเถระได้เสด็จจาริกไปเทศนาที่เมืองปางจา ซึ่งอยู่ระหว่างกรุงสุโขทัยกับเมืองศรีสัชนาลัย เทวดามาเข้าเฝ้าว่ามีพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช บรรจุอยู่ในพระเจดีย์เก่าซึ่งปรักหักพังไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีใครในสมัยหลังนี้ทราบ จึงไม่มีการบูชาสักการะ ประกอบกับมีชาวเมืองมาทูลว่าได้เห็นพระบรมสารีริกธาตุสำแดงปาฏิหาริย์เป็นนิตย์ทั้งกลางวันกลางคืนในระยะที่เสด็จมา พระสุมนเถระจึงทำพิธีขุดค้นขึ้นมาด้วยความอุปถัมภ์ของพญาลือไท อุปราชผู้ครองเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งต่อมาก็คือพระมหาธรรมราชาลิไท
       
       จากการขุดค้นก็ได้พบโกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ชั้นนอกเป็นโกศดิน บรรจุโกศเงิน โกศทองคำ และโกศแก้วประพาฬเป็นชั้นๆ ไปตามลำดับ พระบรมสารีริกธาตุมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว สีดังทองอุไร
       
       เมื่อพระสุมนเถระอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสรงน้ำในอ่างทองคำ ก็เป็นที่ประจักษ์แก่มหาชนว่า พระบรมสารีริกธาตุได้สำแดงปาฏิหาริย์แตกออกทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆถึง ๘๐ องค์ ลอยฟ่องเต็มอ่างทองคำนั้น ก่อนที่จะรวมกลับเป็นหนึ่งเดียวตามเดิม

       
บันไดนาคของวัดพระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๑๐๐

       เมื่อความทราบถึงพญาลือไท จึงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นที่กลางเมืองศรีสัชนาลัยเพื่อเป็นที่ต้อนรับพระบรมสารีริกธาตุ ตกแต่งโคมประทีปและดุริยางค์ตลอดระยะทางจากเมืองปางจาถึงกรุงศรีสัชนาลัย เมื่อพระสุมนเถระอัญเชิญมาถึง ทรงเสด็จอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงจากช้างมงคลขึ้นสู่ปราสาทด้วยพระองค์เอง และโปรดให้มีงานสมโภชอย่างเอิกเกริก
       
       พญาลือไทยได้รับสั่งกับพระสุมนเถระว่า
       
       “ข้าแต่เจ้ากู ตูข้าใคร่เห็นธาตุเจ้ากระทำปาฏิหาริย์โปรดสัตว์ทั้งหลายนั้นแล”
       
       พระบรมสารีริกธาตุก็สำแดงปาฏิหาริย์ ดัง “ตำนานมูลศาสนา” กล่าวไว้ว่า
       
       “...พระธาตุเจ้าก็ผุดขึ้นเหนือผิวน้ำในสรุ่งคำ ประดุจดังราชหงส์อันรำฟ้อนฉะนั้น แล้วกระทำปาฏิหาริย์ให้เป็นอัศจรรย์เปล่งออกซึ่งฉัพพรรณรังสี ๖ ประการ เพื่อจักตัดความสนเท่ห์แห่งคนทั้งหลาย ด้วยคำว่าอันนี้ไม่ใช่ธาตุพระพุทธเจ้าแท้แล...”
       
       จากนั้นพระสุมนเถระก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเข้าสู่กรุงสุโขทัย เมื่อพญาเลอไทกษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยทำพิธีสรงน้ำแล้ว ก็ได้ทรงอธิษฐานอาราธนาให้พระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์อีกว่า
       
       “ผิว่าพระธาตุเจ้ากูกรุณาบริษัทในที่นี้ ขอให้เห็นอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ เพื่อให้ใจบานแก่ชาวเมืองให้รุ่งเรืองแก่ตูข้าทุกถ้วนหน้า ย่อมให้ได้บูชาเถิด”
       
       แต่พระบรมสาริริกธาตุก็หาได้แสดงปาฏิหาริย์ไม่ ตำนานกล่าวว่า
       
       “เหตุเมืองนั้นใช่ที่ธาตุพระพุทธเจ้าจักอยู่แล”
       
       พญาเลอไทไม่ทรงเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของแท้ จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระสุมนเถระรับไปเก็บรักษาไว้
       

วันเปิดถนนขึ้นดอยสุเทพ หรือ ถนนศรีวิชัย พระครูบาศรีวิชัย ผู้ริเริ่มสร้างนั่งอยู่ในรถ คนขับคือเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย
       
       ต่อมาใน พ.ศ.๑๙๑๒ พญากือนาผู้ครองนครเชียงใหม่ได้โปรดส่งทูตมายังกรุงสุโขทัย อาราธนาเชิญพระสุมนเถระไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ที่ล้านนาไทย พระสุมนเถระจึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปยังล้านนาพร้อมกับพระไตรปิฎกที่พระเจ้ากรุงสุโขทัยถวายให้นำไปเผยแพร่
       
       พระสุมนเถระได้เสด็จไปประทับที่วัดพระยืน เมืองลำพูน อุปสมบทกุลบุตรชาวลำพูนและเชียงใหม่เป็นอันมาก รวมทั้งทรงร่วมกับพญากือนาสร้างพระพุทธรูป ๔ องค์ ประดิษฐานไว้ในวิหารวัดพระยืน พญากือนาทรงมีพระราชศรัทธาเป็นอันมาก สถาปนาอภิเษกพระสุมนเถระให้เป็นพระมหาสวามีสังฆราชทรงพระนามว่า “พระมหาสุมนะสุวรรณรัตนมหาสวามี”
       
       วันหนึ่งพระมหาสุมนะฯ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถวายให้พญากือนาทอดพระเนตร พร้อมทั้งเล่าถวายถึงประวัติความเป็นมาทั้งมวล พญากือนาจึงทรงสรงน้ำด้วยเครื่องหอมอย่างดี ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุก็ได้สำแดงปาฏิหาริย์อีกครั้ง
       
       พระมหาสุมนะฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดพระยืนได้ ๒ พรรษา พญากือนาก็พระราชทานสวนดอกไม้พยอม อันเป็นอุทยานครั้งพญาเม็งราย ถวายสร้างเป็นพระอารามที่ประทับ พระราชทานนามว่า “วัดบุปผาราม” หรือ “วัดสวนดอก” ในปัจจุบัน พระมหาสุมนะฯ ได้เสด็จเข้าประทับตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๔ เป็นต้นมา

       
วัดสวนดอกใน พ.ศ.๒๔๖๙

       ในปีเดียวกันนั้นเอง พระมหาสุมนะฯ ก็ได้ทรงร่วมกับพญากือนาสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ขึ้นที่วัดสวนดอก เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย แต่ก่อนที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเข้าบรรจุก็ได้มีการถวายน้ำสรงอีก ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุก็ได้สำแดงปาฏิหาริย์อีกครั้ง ตามตำนานพระธาตุดอยสุเทพกล่าวไว้ว่า
       
       “เถิงวันอันจักฐาปนานั้น ท้าวกือนาแลมหาสุมนเจ้าจึงอาราธนาธาตุพระพุทธเจ้ามาใส่สะโถนคำ แล้วก็สรงด้วยสุคันโทธกภิเษกเอนกหลายประการต่างๆ แลบูชาด้วยสักการวิเศษมากนัก ธาตุพระพุทธเจ้าก็กระทำปาฏิหาริย์ หื้อปรากฏแก่ท้าวกือนาแลมหาสุมนแลคนทั้งหลาย เป็น ๒ องค์ ๓ องค์ เป็นหลายองค์ฟูอยู่เหนือน้ำเต็มสะโถนคำ ผ้องมีวัณณดังคำแล ผ้องมีวัณณดังนาค ผ้องมีวัณณดังมุกด์ ผ้องมีวัณณเป็นดังแก้ว ประทักษิณเหนือน้ำ ยามนั้นอากาศกลางหาวทั้งมวลเป็นอันมืดมนอนธการมากนัก ท้าวกือนาแลเสนาอำมาตย์ประชาราษฎร์สมณพราหมณาจารย์ทั้งหลายหันเป็นอัจฉริยะมากนัก ก็มีใจอภิรมณ์ชมชื่นยินดีปิติปราโมทย์มากนัก เขาก็ประนมมือขึ้น ตั้งขะหม่อมน้อมนบเคารพสาธุการเป็นไพมากนักแล”
       
       เมื่อเสร็จจากการสรง พระมหาสุมนะฯ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นจากน้ำ พระบรมสารีริกธาตุก็ได้กลายเป็น ๒ องค์ องค์หนึ่งมีขนาดเล็กกว่าปกติ อีกองค์มีขนาดเท่าเดิม มีวรรณะงามเสมอกัน พระมหาสุมนะฯ และพญากือนาได้อาราธนาองค์ที่ขนาดเท่าเดิมบรรจุลงในโกศแก้วประพาฬอันเก่า แล้วอัญเชิญลงในโกศทองคำ โกศเงิน โกศทองเหลือง และโกศดินซ้อนกันตามลำดับ จากนั้นก็อัญเชิญบรรจุไว้ในองค์พระมหาเจดีย์ของวัดสวนดอกมาจนปัจจุบัน
       
       ส่วนพระบรมสารีริกธาตุอีกองค์ที่ขนาดเล็กกว่า พระมหาสุมนะฯ และพญากือนาดำริร่วมกันที่จะสร้างมหาเจดีย์อีกองค์เป็นที่ประดิษฐาน แต่ก็ยังไม่เห็นที่ใดเหมาะสม จึงได้ใช้วิธีอัญเชิญผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นหลังช้างมงคล แล้วอธิษฐานเสี่ยงปล่อยช้างนั้นไป ปรากฏว่าช้างได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไปยังดอยสุเทพ จึงได้มีการสถาปนาพระมหาธาตุเจดีย์ขึ้นบนดอยนี้ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์ที่ ๒ ซึ่งเสด็จมาเอง
       
       นี่ก็คือเรื่องราวที่มาของพระธาตุดอยสุเทพ ปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวล้านนาและชาวไทยทั้งประเทศมาเป็นเวลากว่า ๖๐๐ ปีแล้ว


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000050545
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7292
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 st11 st12 st12
  เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดว่า วัดพระธาตุดอยสุเทพ จะใหญ่มาก แต่ไป ภาคเหนือครั้งล่าสุด บุกลงไปด้านล่าง พบสิ่งก่อสร้าง แบ่งออก 4 เขต คือ 1 เขตพระสงฆ์อยู่ เขตอาคันตุกะสงฆ์  2 เขตสามเณร ผู้มาอยู่เรียนหนังสือ 3 เขตผู้ปฏิบัติธรรมต่างชาติ และเขตผู้ปฏิบัติธรรมคนไทย  4 เขตที่อยู่อาศัยคนงาน นับว่าลึกลับอยู่เพราะสิ่งก่อสร้าง ถูกบดบังด้วยต้นไม้ เรือนต่าง ๆ ถูกสร้างใต้ต้นไม้ คงมีตัดออกไปบ้างแต่ทางวัดก็รักษาต้นไม้ใหญ่ ๆ ไว้ อยู่
น่าจะยังมีเขตเพิ่มอีก เพราะว่า มีเขตที่เข้าไม่ได้เลย แทบจะทุกเขต ถ้าไม่รู้จักพระภายใน พาเดินชม น่าจะไปไม่ได้ ได้ยินว่า มีชาวต่างชาติ มาอยู่ ปฏิบัติเกือบ 200 คน คนงานของวัด ก็เกือบรอ้ยคน สามเณร 100 กว่า พระอีก 30 นับว่ามีผู้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มาก เพราะส่วนเรือนปฏิบัติคนไทย นั้นก็ยังมีอีก แต่เดินที่นี่สักเดือน น่าจะแข็งแรง เพราะว่า มันมีการเดินขึ้นได้แค่สองแนวคือ เดินขึ้น กับ เดินลง

ขอบคุณ ท่านไผ่ พาเดินชม


 st12
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา