ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุใด.? พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกขวาซ้าย ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า  (อ่าน 5441 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




เหตุใด.? พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกขวาซ้าย ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า

ต้นเรื่อง : จากบทความเรื่อง “พระมหากัสสปะและพระอานนท์ : อัครสาวกขวา-ซ้าย (อยากรู้ต้องอ่าน)” บางตอนของบทความกล่าวว่า 
       “ชาวพุทธสายจีนไม่นับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวก แต่นับพระมหากัสสปะและพระอานนท์เป็นอัครสาวก เหตุผลคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะด่วนสิ้นชีพไปก่อนพระพุทธองค์ ไม่ทันได้ทำหน้าที่ “มือขวา-มือซ้าย” โดยสมบูรณ์ ภารกิจต่างๆ ได้ถ่ายโอนมายังพระมหากัสสปะและพระอานนท์ น่าที่จะให้ท่านทั้งสองเป็นอัครสาวกแทนเสียเลย”

ผมติดใจประโยคที่ว่า “พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะด่วนสิ้นชีพไปก่อนพระพุทธองค์” เหตุที่อัครสาวกทั้งสองปรินิพานก่อนพระพระพุทธเจ้านั้น ผมมีคำตอบในใจแล้ว แต่ปัญหาคือ จะหาคำตอบที่กระจ่างและน่าเชื่อถือได้อย่างไร ตามมาครับ จะเรียบเรียงให้อ่านตามกำลังสติปัญญาที่มีอยู่

 ask1 ans1 ask1 ans1

๑. อัครสาวกต้องปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ถือเป็นทำเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมา

ขอยกเอาประวัติพระสารีบุตรในอรรถกถาจุนทสูตรที่ ๓ มาแสดงดังนี้

     ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอยู่จำพรรษาแล้ว เสด็จออกจากหมู่บ้านเวฬุวะ ทรงดำริว่า เราจะไปเมืองสาวัตถี แล้วเสด็จกลับจากทางที่เสด็จมานั่นเทียว ถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับแล้วเสด็จไปพระเชตวัน. พระธรรมเสนาบดีแสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปที่พักกลางวัน. เพื่อนเหล่าอันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรหลีกไปแล้ว ท่านจึงกวาดที่พักกลางวัน ปูแผ่นหนัง ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ.

     ลำดับนั้น เมื่อท่านออกจากผลสมาบัตินั้นตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตกนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายจักปรินิพพานก่อนหรือหนอ หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพานก่อน. แต่นั้นรู้แล้วว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน แล้วจึงตรวจดูอายุสังขารของตน. รู้แล้วว่า อายุสังขารของเราจักเป็นไปได้เพียง ๗ วันเท่านั้น จึงคิดว่า เราจะปรินิพพานที่ไหน.

     ลำดับนั้นจึงคิดแล้วคิดอีกว่า พระราหุลปรินิพพานในดาวดึงส์พิภพ พระอัญญาโกณฑัญญเถระปรินิพพานที่สระฉัททันต์ เราจะปรินิพพานที่ไหน ดังนี้ จึงเกิดความสังเวชปรารภมารดาว่า มารดาของเราก็เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เลย ท่านมีอุปนิสัยหรือไม่หนอ ได้เห็นอุปนิสัยแห่งพระโสดาปัตติมรรค จึงตรวจดูว่าจักบรรลุด้วยเทศนาของใคร ทราบว่าจักบรรลุด้วยธรรมเทศนาของเราเท่านั้น มิใช่ของใครอื่น ก็ถ้าเราพึงขวนขวายน้อย ก็จักมีคนกล่าวกับเราว่า พระสารีบุตรเถระเป็นที่พึ่งของคนที่เหลือทั้งหลาย...ฯลฯ

____________________
ที่มา : อรรถกถาจุนทสูตรที่ ๓
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=733

 :96: :96: :96: :96:

      จากอรรถกถาจุนทสูตรที่ ๓ ที่กล่าวว่า
      “เมื่อท่านออกจากผลสมาบัตินั้นตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตกนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายจักปรินิพพานก่อนหรือหนอ หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพานก่อน. แต่นั้นรู้แล้วว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน”

      จะเห็นได้ว่า พระสารีบุตรมีญาณหยั่งรู้อดีต สามารถระลึกย้อนไปดูการปรินิพพานของเหล่าพระพุทธเจ้าและอัครสาวกในอดีตได้ และนี่คือคำตอบว่า ทำไมอัครสาวกขวา-ซ้าย ต้องปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า
อาจกล่าวได้ว่า เป็นทำเนียมปฏิบัติของเหล่าอัครสาวกในอดีตที่ถือปฏิบัติสืบๆกันมา

      ...ยังมีต่อ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




๒. พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ สามารถดำรงขันธ์ให้อยู่ตลอดกัปได้หรือไม่.?

อรรถกถาจารย์กล่าวว่า เหล่าอสิติสาวก ๘๐ รูปนั้น ล้วนเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งสิ้น พูดง่ายๆก็คือ มีฤทธิ์ด้วยกันทั้งหมด พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเป็นถึงอัครสาวก ย่อมมีบารมีมากกว่าอสิติสาวกรูปอื่นๆ ดังนั้นพอจะกล่าวได้ว่า ทั้งสองท่านสามารถที่จะเจริญอิทธิบาท ๔ เพื่อดำรงชีพให้อยู่ตลอดกัปได้ กัปในสมัยพุทธกาลอยู่ราวๆ ๑๐๐ ปี (สมัยนั้นบางคนอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี) ฤทธิ์ของอัครสาวกทั้งสองเป็นอย่างไร จะขอยกตัวอย่างดังนี้

จากฆฏสูตร :-
 
[๖๙๒] ครั้นท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านโมคคัลลานะ อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก ผิวหน้าของท่านบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ชะรอยวันนี้ ท่านมหาโมคคัลลานะ จะอยู่ด้วยวิหารธรรมอันละเอียด ฯ
      ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า อาวุโส วันนี้ผมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันหยาบ อนึ่ง ผมได้มีธรรมีกถา
      สา. ท่านมหาโมคคัลลานะได้มีธรรมีกถากับใคร ฯ
      ม.  ผมได้มีธรรมีกถากับพระผู้มีพระภาค ฯ
      สา. เดี๋ยวนี้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ไกลนัก ท่านมหาโมคคัลลานะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยฤทธิ์หรือ หรือว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาหาท่านมหาโมคคัลลานะด้วยฤทธิ์ ฯ
      ม. ผมไม่ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยฤทธิ์ แม้พระผู้มีพระภาคก็ไม่ได้เสด็จมาหาผมด้วยฤทธิ์ แต่ผมมีทิพยจักษุและทิพยโสตธาตุอันหมดจดเท่าพระผู้มีพระภาค แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีทิพยจักษุและทิพยโสตธาตุอันหมดจดเท่าผม....ฯลฯ
       
[๖๙๔] สา. อาวุโส เปรียบเหมือนก้อนหินเล็กๆ ที่บุคคลเอาไปวางเปรียบเทียบกับขุนเขาหิมพานต์ฉันใด เราเมื่อเปรียบเทียบเคียงกับท่านมหาโมคคัลลานะก็ฉันนั้นเหมือนกัน แท้จริง ท่านมหาโมคคัลลานะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เมื่อจำนงอยู่ พึงตั้งอยู่ได้ตลอดกัปแล

[๖๙๕] ม. อาวุโส ก้อนเกลือเล็กๆ ที่บุคคลหยิบเอาไปวางเปรียบเทียบกับหม้อเกลือใหญ่ ฉันใด ผมเมื่อเปรียบเทียบท่านสารีบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกันแท้จริง ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงชม ทรงสรรเสริญ ทรงยกย่องแล้วโดยปริยายมิใช่น้อย มีอาทิว่า ภิกษุผู้ถึงซึ่งฝั่งคือพระนิพพาน เป็นผู้เยี่ยมด้วยปัญญา ด้วยศีลและอุปสมะ คือพระสารีบุตร ดังนี้


ที่มา : ฆฏสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=7046&Z=7066%F7.

     ask1 ans1 ask1 ans1

    จากเนื้อความของฆฏสูตร  สามารถสรุปได้ว่า
    - พระมหาโมคคัลลานะมีฤทธ์เทียบเท่าพระพุทธเจ้า จะเห็นได้จากข้อความที่ว่า “แต่ผมมีทิพยจักษุและทิพยโสตธาตุอันหมดจดเท่าพระผู้มีพระภาค แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีทิพยจักษุและทิพยโสตธาตุอันหมดจดเท่าผม”
    - พระมหาโมคคัลลานะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้ตลอดกัป จะเห็นได้จากข้อความที่ว่า “ท่านมหาโมคคัลลานะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เมื่อจำนงอยู่ พึงตั้งอยู่ได้ตลอดกัปแล”


     :25: :25: :25: :25:

จากชุณหสูตร :-

[๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ที่กโปตกันทราวิหาร ก็สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรมีผมอันปลงแล้วใหม่ๆ นั่งเข้าสมาธิอย่างหนึ่งอยู่กลางแจ้งในคืนเดือนหงาย

[๙๔] ก็สมัยนั้น ยักษ์สองสหายออกจากทิศอุดรไปยังทิศทักษิณ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมีผมอันปลงแล้วใหม่ๆ นั่งอยู่กลางแจ้งในคืนเดือนหงาย ครั้นแล้วยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกะยักษ์ผู้เป็นสหายว่า
     ดูกรสหาย เราจะประหารที่ศีรษะแห่งสมณะนี้ เมื่อยักษ์นั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ยักษ์ผู้เป็นสหายได้กล่าวกะยักษ์นั้นว่า
     ดูกรสหาย อย่าเลย ท่านอย่าประหารสมณะเลย
     ดูกรสหาย สมณะนั้นมีคุณยิ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
     แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์นั้นก็ได้กล่าวกะยักษ์ผู้เป็นสหายว่า
     ดูกรสหาย เราจะประหารที่ศีรษะแห่งสมณะนี้
     แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์ผู้เป็นสหายก็ได้กล่าวกะยักษ์นั้นว่า
      ดูกรสหาย อย่าเลย ท่านอย่าประหารสมณะเลย
      ดูกรสหาย สมณะนั้นมีคุณยิ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
ลำดับนั้นแล ยักษ์นั้นไม่เชื่อยักษ์ผู้เป็นสหาย ได้ประหารที่ศีรษะแห่งท่านพระสารีบุตรเถระ ยักษ์นั้นพึงยังพระยาช้างสูงตั้ง ๗ ศอกหรือ ๘ ศอกให้จมลงไปก็ได้ หรือพึงทำลายยอดภูเขาใหญ่ก็ได้ ด้วยการประหารนั้น ก็แลยักษ์นั้นกล่าวว่า เราย่อมเร่าร้อน แล้วได้ตกลงไปสู่นรกใหญ่ในที่นั้นเอง ฯ

[๙๕] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นยักษ์นั้นประหารที่ศีรษะแห่งท่านพระสารีบุตร ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ แล้วเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
        ดูกรอาวุโส ท่านพึงอดทนได้หรือ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกข์อะไรๆ ไม่มีหรือ
        ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรอาวุโสโมคคัลลานะ ผมพึงอดทนได้ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ แต่บนศีรษะของผมมีทุกข์หน่อยหนึ่ง ฯ
        ม. ดูกรอาวุโสสารีบุตร น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้วท่านพระสารีบุตรมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ยักษ์ตนหนึ่งได้ประหารศีรษะของท่านในที่นี้ การประหารเป็นการประหารใหญ่เพียงนั้น ยักษ์นั้นพึงยังพระยาช้างสูงตั้ง ๗ ศอก ๘ ศอกให้จมลงไปก็ได้ หรือพึงทำลายยอดภูเขาใหญ่ก็ได้ ด้วยการประหารนั้น ก็แลท่านพระสารีบุตรได้กล่าวอย่างนี้ว่า
        ดูกรอาวุโสโมคคัลลานะ ผมพึงอดทนได้ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ แต่บนศีรษะของผมมีทุกข์หน่อยหนึ่ง ฯ
        สา. ดูกรอาวุโสโมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ท่านมหาโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ที่เห็นยักษ์ ส่วนผมไม่เห็นแม้ซึ่งปีศาจผู้เล่นฝุ่นในบัดนี้ ฯ

[๙๖] พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับการเจรจาปราศรัยเห็นปานนี้ แห่งท่านมหานาคทั้งสองนั้น ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงโสตธาตุของมนุษย์ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานี้ว่า
       จิตของผู้ใดเปรียบด้วยภูเขาหิน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคืองในอารมณ์เป็นที่ทั้งแห่งการโกรธเคือง จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่างนี้ ทุกข์จักถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน


____________
ที่มา : ชุณหสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=2618&Z=2661

 ask1 ans1 ask1 ans1

     จากเนื้อความของชุณหสูตร  สามารถสรุปได้ว่า
     - พระสารีบุตรมีฤทธิ์มาก แม้ยักษ์ที่มีกำลังมากสามารถทุบช้างทั้งตัวให้จมดินได้ ก็ทำอะไรพระสารีบุตรไม่ได้ ยักษ์ตนนั้นได้เอากำปั้นตีศีรษะพระสารีบุตร แต่พระสารีบุตรแค่เจ็บที่ศีรษะเพียงเล็กน้อย
     - พระมหาโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากกว่าพระสารีบุตร เพราะพระสารีบุตรไม่เห็นยักษ์ แต่พระโมคคัลลานะเห็น
     - อรรถกถาชุณหสูตรระบุว่า “ท่านพระสารีบุตรมีวรรณดุจทองคำ ท่านมหาโมคคัลลานะมีวรรณดังดอกอุบลเขียว ก็พระมหาเถระทั้งสององค์นั้นเป็นชาติพราหมณ์โดยเฉพาะ สมบูรณ์ด้วยอภินิหารสิ้นหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป บรรลุปฏิสัมภิทา ๖ เป็นพระขีณาสพผู้ใหญ่ ได้สมาบัติทุกอย่าง ถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ ๖๗ ประการ”


     ...ยังมีต่อ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


๓. พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ใครปรินิพพานก่อน.?

ตอบว่า พระสารีบุตรปรินิพพานก่อนพระมหาโมคคัลลานะ พระสารีบุตรปรินิพพาน ในวันปุรณมีขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๑๒ พระมหาโมคคัลลานะปรินิพพาน วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรปรินิพพานได้ ๑๕ วัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนปรินิพพานอัครสาวกทั้งสองได้ไปทูลลาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์โปรดให้แสดงธรรม ก่อนแสดงธรรมอัครสาวกทั้งสองได้แสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศ

อ่านรายละเอียดประวัติของพระสารีบุตรได้ที่
http://www.84000.org/one/1/03.html
อ่านรายละเอียดประวัติของพระมหาโมคคัลลานะะได้ที่
http://www.84000.org/one/1/04.html

 st12 st12 st12 st12

๔. ทำไมอัครสาวกต้องปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า.?

ก่อนที่พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะจะปรินิพพาน พระราหุลและพระอัญญาโกณฑัญญะได้ปรินิพพานไปก่อนแล้ว  จากการที่ได้อ่านประวัติพระราหุล อรรถกถาจารย์ได้อธิบายว่า เหตุที่พระราหุลพุทธบุตรได้ปรินิพพานไปก่อนพระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระบิดานั้น อาจเป็นเพราะว่า ต้องการไปรอรับพระพุทธองค์ (รอที่ไหนนั้น ขอไม่กล่าวถึง)

พระราหุลและพระอัญญาโกณฑัญญะนั้น อยู่ในกลุ่มอสิติสาวกเช่นเดียวกับพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ และยังเป็นเอตทัคคะเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า การที่อัครสาวกต้องปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้านั้นก็เพราะต้องการไปรอรับพระพุทธเจ้านั่นเอง  เพื่อนๆครับในสังคมโลก ผู้ใหญ่จะไปที่ใด ผู้น้อยจะต้องไปคอยต้อนรับที่นั่น ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ในกรณีของอัครสาวกทั้งสองก็ควรจะเป็นเช่นนั้น


 st11 st11 st11 st11

๕. ต่อให้เหาะได้ ก็ไม่พ้นความตาย

จากอรรถกถา เรื่องชน ๓ คน ได้กล่าวถึงบุรพกรรมของแต่ละคนที่ทำให้มาจบชีวิตในลักษณะต่างๆ ในตอนท้ายมีความตอนหนึ่งว่า

    ภิกษุรูปหนึ่งทูลพระศาสดาว่า
    "ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปแล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่สมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือ.? พระเจ้าข้า."
    พระศาสดาตรัสบอกว่า
    "อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในที่ทั้งหลาย มีอากาศเป็นต้น ประเทศแม้สักส่วนหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้ว พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ไม่มี"

    ในท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสพระคาถาสรุปไว้ว่า
    “บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ (เพราะ) เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่”

    พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะแม้นมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เหาะได้ ก็ยังไม่พ้นความตาย


              -ยุติเท่านี้-

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 07, 2017, 09:22:52 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ