« เมื่อ: มกราคม 07, 2018, 07:21:27 am »
0
สัญญาณบ่งชี้..อันตรายสำหรับมนุษยชาติยุด 4.0 !! พระ อ.อารยวังโส ชี้แนะ “โรคขีเกียจคิด” เริ่มเห็นชัดในคนเราทุกวันนี้อย่าเผลอใจบทความพิเศษโดย..พระ อ.อารยวังโส
โรคขี้เกียจคิด..สัญญาณอันตรายของมนุษยชาติในยุคไอที
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา วาระดิถีขึ้นปีใหม่ได้มาถึงแล้วตามปกติอันเป็นไปตามกฎของโลกที่สมมติขึ้นตามสภาวธรรมที่ผันผวนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ จริงๆ แล้ว โลกกับธรรมไม่เคยขัดแย้งอะไรกันหรอก เพราะโลกก็คือธรรม .. ธรรมก็คือโลก แต่จะเป็นธรรมขั้นไหน มีลักษณะสภาวธรรมอย่างไรนั้น ก็ต้องว่ากันไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ
การจำแนกแจกแจงเรื่องธรรมที่เป็นไปในระดับโลกหรือระดับเหนือโลกนั้น เพื่อความชัดเจนในความเข้าใจที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ เพื่อการปฏิบัติให้ได้ผลในแต่ละระดับของธรรม จึงจำแนกเป็น โลกียธรรมและโลกุตรธรรม!การเรียนรู้ที่ถูกต้อง ตรงธรรม จึงเห็นความเป็นแนวเดียวส่งสืบต่อกันไปจากธรรมขั้นต่ำ ขั้นระดับกลาง และขั้นสูงสุด จนถึงที่สุดแห่งการรู้แจ้งธรรม.. เกิดพุทธภาวะขึ้นอย่างแท้จริง..
เรื่องราวของโลกียวิสัยที่ไหลเวียนในโลกียวิถี ดังปรากฏในรูปสมมติของกาลเวลา ที่แสดงนิมิตหรือเครื่องหมายให้เห็นชัดของการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนย้ายของโลกไปทุกขณะ ไม่ได้หยุดนิ่งเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของธรรมชาติหรือโลกว่า แท้จริงเป็นอย่างนี้เองนั้น ...มันจะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น จึงเป็นบาทฐานแห่งการควรนำมาศึกษาพิจารณา เพื่อการรู้เท่าทันสภาวธรรมและลักษณะธรรมของโลก.. ...ซึ่งเป็นเครื่องหมายของทุกสรรพสิ่งที่ก่อตัวเกิดขึ้นปรากฏมีอยู่ ดังที่เรารู้เห็นในโลกนี้ แม้ที่สุดคือชีวิตหรือตัวเรา!!
@@@@@@
จากบทเพลงท่อนหนึ่งที่ว่า "เธอมาจากไหน .. เธอจะเป็นใคร.. ฉันไม่เคยคิด!!" จึงให้นึกยิ้มๆ อย่างน่าสงสารในคนเราที่มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ สามารถพัฒนาจิตใจให้มีสติปัญญารู้เข้าใจในโลกได้ เพื่อเข้าถึงธรรมที่เป็นสัจธรรม... จนเข้าถึงธรรมที่เป็นอริยสัจได้ แต่กลับปล่อยให้ชีวิตเคลื่อนไหวตามแรงบันดาลของโลก จนเกิดการยึดถือยึดมั่นในโลกว่า เป็นอมตะนิรันดร์กาล ...
ลุ่มหลงยึดถือสิ่งที่โลกปรุงขึ้นอย่างผิดไปจากธรรม.. จึงเกิดความคิดวิปริต แยกโลกออกจากธรรม .. กลายเป็นเรื่องของโลกกับเรื่องของธรรมที่แยกออกจากกันเป็นคนละส่วน คนละด้าน เมื่อมองยึดติดอยู่ที่โลก จึงไม่เห็นธรรม เพราะติดอยู่ที่สภาวธรรม สีสัน รูปร่าง กลิ่น รสชาติ ของโลก ...ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว โลกก็คือธรรม ธรรมก็คือโลก แค่เพียงปรับความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง เห็นตรง แจ้งตลอด ไม่ติดอยู่กับสมมติและสีสันสภาวธรรมของโลก!!
@@@@@@
เพราะไม่เข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อเข้าถึงธรรมในความเป็นโลก จึงต้องมานั่งขับร้องว่า "เธอมาจากไหน .. เธอจะเป็นใคร.. ฉันไม่เคยคิด!!" ซึ่งหากรู้จักคิดสักนิด พิจารณาสักหน่อย หรือรู้จักถาม รู้จักสอบสวน .. จนรู้เข้าใจ.. ก็คงจะรู้จัก เธอรู้ว่า เธอมาจากไหน เป็นคนอย่างไร ควรคบหรือไม่ควรคบ ...เพราะฉันรู้จักคิด!
การรู้จักคิดพิจารณา จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ต่อการเรียนรู้เพื่อเข้าให้ถึงความรู้หรือหลักธรรมนั้นๆ ที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการวิธี ที่แปลพอเข้าใจว่า เป็นวิธีการพิจารณาโดยแยบคายจนเกิดความรู้ที่ถูกต้องตรงธรรม หรือเรียกโดยสรุปว่า วิธีการแห่งปัญญา ซึ่งมีอยู่ ๑๐ วิธีการที่สาธุชนผู้ใคร่ในการศึกษา .. มุ่งหวังการรู้จักคิด จะได้มีวิธีคิดพิจารณาที่ถูกต้อง จะได้รู้ว่า ฉันหรือเธอมาจากไหน...
@@@@@@
ดังเช่น วิธีการคิดพิจารณาโดยแยบคาย วิธีที่ ๑ เป็นวิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา ที่นิยมใช้กันมากในกระบวนการเรียนรู้ของพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า วิธีสอบสวน-สืบสวน หรือวิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย เป็นการพิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผล ให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือจับตัว ปัญหา มาศึกษาค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ก่อรูปสืบทอดกันมา ดังที่มีคำถามว่า.. "สิ่งนี้เกิดจากอะไร หรืออะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น...."คำถามที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นหัวข้อนำสู่การศึกษาของผู้ตั้งคำถามด้วยการเข้าใจใน ธรรมะ ที่เป็นกฎธรรมชาติว่า ..ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุมีปัจจัย ..หรือไม่มีอะไรปรากฏขึ้นโดยไม่มีที่ไปที่มา..
นักเศรษฐศาสตร์โลกนำหลักธรรมดังกล่าวไปสรุปในเศรษฐศาสตร์เพื่อชีวิตว่า ..ไม่มีอะไรได้มาฟรี ... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีการลงทุน!!
จากวิธีการคิดแบบเหตุปัจจัยในโยนิโสมนสิการวิธีของพระพุทธศาสนา จึงมีการนำไปบูรณาการใช้กับการคิดค้นหาข้อสรุปผลในเรื่องนั้นๆ ทางโลก ที่เรียกว่า กระบวนการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งปรากฏมีภายหลังพุทธศาสนา โดยวางขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้เรื่องราวปัญหาต่างๆ ไว้ดังนี้
๑) กำหนดตัวปัญหา... จับปัญหาให้ได้ว่า อะไรคือปัญหาของเรื่องราวเหล่านั้น
๒) ตั้งข้อสมมติฐาน
๓) ทำการทดลองและจัดเก็บข้อมูล
๔) นำข้อมูลมาเข้ากระบวนการวิเคราะห์-วิจัย
๕) สรุปและแสดงผล...
@@@@@@
แม้ในวิธีการคิดพิจารณาโดยวิธีการอื่นในโยนิโสมนสิการ เช่น วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ก็เป็นวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทันสมัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่จะแยก แยะส่วนประกอบของสภาวธรรม .. เรื่องราวเหล่านั้นได้ จะต้องเป็นผู้มี สติปัญญา ในระดับใช้งานใช้การได้ มีความรู้ขั้นพื้นฐานในเรื่องราวเหล่านั้น จึงสามารถ คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ ออกมาให้เห็นชัดเจน เป็นจริงเป็นจังว่า... ไอ้ที่เราเห็น เรารับรู้นั้น แท้จริง มันเป็นจริงตรงตามที่เราเห็น เรารู้ (รับรู้) หรือไม่....
จึงมีคำพูดของนักปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาว่า ที่เห็นนั้นจริง ... แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง!!
@@@@@@
การมองดูรู้เห็นเรื่องของโลกนั้น จึงต้องรู้จักพิจารณาเพื่อเข้าให้ถึงธรรมหรือความเป็นธรรมดาของโลก ซึ่งจะต้องรู้จักคิดพิจารณาโดยแยบคายจนเกิดปัญญารู้ทั่วถึงโดยวิเศษว่า... โลกมีธรรมดาเป็นเช่นนี้ มิฉะนั้น เราก็จะสร้าง มิจฉาธรรม ขึ้นมาปกปิดหลักธรรมดาของโลก จนนำไปสู่ความวิปลาสแห่งจิต ความวิบัติแห่งความรู้ที่จะนำไปสู่ มิจฉาทิฏฐิ จนไม่รู้เลยว่า ในความเป็นธรรม เรานั้นคือใคร เรานั้นเป็นใคร เรานั้นมาจากไหน และทำไมต้องมา....
เมื่อไม่รู้จักตัวตนบุคคลความเป็นเรา .. ที่เรายึดถือว่าเป็นเรา .. เป็นของเรา .. มันจึงวุ่นวายไปทั้งโลก เพราะเราไม่เคยแม้จะคิดให้ตรงตามธรรมวิธีแห่งการคิดพิจารณา เพื่อการรู้แจ้งในความเป็นธรรมของชีวิตเราหรือโลกนี้
เมื่อไม่รู้จักตนเอง เราก็จะไม่รู้จักใครๆ หรืออะไรๆ ในโลกเลย... จึงไม่แปลกที่จะขับร้องออกมาว่า เธอมาจากไหน.. เธอจะเป็นใคร.. ฉันไม่เคยคิด... 
การใช้ชีวิตของเราทั้งหลายจึงไหลวนไปตามกระแสโลก อย่างปฏิเสธหลักธรรมความจริงของโลก ด้วยอำนาจหนึ่งคือ กิเลส ที่ปรุงแต่งจิต สร้างชีวิตของเราให้โง่งมลุ่มหลงกับสิ่งนั้นๆ บุคคลนั้นๆ จนไม่รู้จักคิด และที่น่ากลัวคือ ฉันไม่เคยคิด...โรคไม่รู้จักคิด จนสั่งสมเป็นจิตสันดานของความขี้เกียจเกียจคร้าน แม้กระทั่งจะคิด... อะไรๆ ก็กดถามแต่กูเกิล จนมีอาจารย์กูเป็นสรณะกำลังระบาดหนักในสังคมไอทีในโลกยุคไร้พรมแดน ซึ่งเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวยิ่งของมนุษยชาติในปัจจุบัน
เราจึงเห็นปัญหาที่ไม่ควรเป็นปัญหาระบาดบานเหมือนดอกเห็ดในช่วงหลังฝนตกใหญ่ และทำท่าว่าจะอาการหนักเอาทุกที ...เมื่อจะถามอะไรขึ้นมากับใครสักคน.. เดี๋ยวนี้พี่แกจะไม่ตอบและจะไม่คิดอะไรด้วยให้เปลืองสมอง.. กดกูเกิลทันที พร้อมส่งคำตอบมาให้โดยไม่อยากจะเอ่ยปากพูดด้วย... เรียกว่า บรมขี้เกียจ!! ที่มีบทบาทสูงสุดต่อการปิดจิตใจของสัตว์มนุษย์ให้ไม่สามารถรับแสงสว่างแห่งธรรมได้เลย
@@@@@@
ในอดีตเคยมีพระมหาเถระรูปหนึ่ง รับบัญชาจากอดีตสมเด็จพระสังฆราช ให้ไปสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องกล่าวหาว่า... หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ กล่าวอวดอุตริมนุสยธรรม.. ในเรื่องการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระมหาเถระรูปนั้นได้ไปถึงวัดของหลวงพ่อสรวงก็ได้พบกุฏิแบบพระกรรมฐาน ไม่มีสมบัติอะไรเลย และหลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อสรวง ได้เกิดความศรัทธาในความรู้ ความเข้าใจในธรรมของหลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ ที่ได้ลำดับสาธยายธรรมปฏิบัติโดยพิสดาร ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด... จนถึงขั้นการบรรลุธรรมสูงสุด..
พระมหาเถระรูปดังกล่าวได้ถวายสาธุการ และกล่าวถามหลายคำถามเพิ่มเติม มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ เมื่อพระมหาเถระรูปนั้นถามว่า "นิวรณ์ตัวใดที่ให้โทษมากที่สุดจากใน ๕ ตัว..." ..หลวงพ่อสรวงท่านถวายคำตอบว่า "เจ้าถีนมิทธะ.. ให้โทษมากที่สุด เพราะเมื่อมันเกียจคร้าน เบื่อหน่าย และหลับใหล จิตมันก็จะมืดสนิท... ไม่สามารถแม้แต่จะรับฟังธรรมได้เลย เพราะมันหลับเสียแล้ว!!"
@@@@@@
ถีนมิทธะ (ถีนมิทฺธ) แปลตรงว่า ความหดหู่ .. ความเคลิบ เคลิ้ม หมายถึง อาการที่จิตเกิดความห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง และเศร้าซึม จนง่วงเหงาหาวนอน หลับใหล จนนำไปสู่ความขี้เกียจ .. ความเกียจคร้าน ที่ก่อให้เกิดโรคขี้เกียจคิด ...จนเป็นจิตสันดานให้ไม่เคยที่อยากจะคิดค้นหาอะไรเพื่อให้รู้จริงในสิ่งนั้นหรือเรื่องราวนั้นๆ ซึ่งเป็นภัยอย่างยิ่งต่อการพัฒนาชีวิตของคนเรา ซึ่งหากปล่อยปละละเลยให้ชีวิตของเราไหลไปตามกำลังของกิเลสที่แสดงในรูปของ ถีนมิทธะ นั่นหมายถึง ความฉิบหายได้มาเยือนมนุษยชาติอย่างเต็มกำลังแล้ว...
เพราะจะไม่สามารถพัฒนามนุษย์เราให้เข้าถึงความดีและคุณธรรมได้เลย ...จะไม่สามารถรู้แจ้งตามความเป็นจริงได้เลยว่า ความเป็นธรรมดาของโลกเป็นอย่างไร... อะไรคือธรรมของโลก .. สัตว์โลก จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความไม่รู้ (อวิชชา) ที่สร้างความรู้ผิด เห็นผิด จนยากจะแก้คืน..... นี่คือฤทธิ์เดชของอกุศลธรรม ตัว ถีนมิทธะ ... แค่เพียงตัวเดียว ก็สามารถทำให้สัตว์โลกอับปัญญา ไปตลอดกาล จนจมอยู่กับความไม่รู้จักคิด .. และคิดไม่เป็น จนขี้เกียจที่จะคิดพิจารณาให้รู้เข้าใจในความเป็นธรรมที่ปรากฏมีอยู่ในโลก... วันนี้ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ของสถานการณ์โลก!!.
เจริญพร
พระ อาจารย์อารยวังโส
dhamma_araya@hotmail.com
เรียบเรียงโดยกิตติ จิตรพรหม
http://www.tnews.co.th/contents/398328
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 07, 2018, 07:29:06 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ