ความเชื่อเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” มีคุณค่าต่อสังคมไทย
บุพเพสันนิวาสนั้น คนส่วนมากเข้าใจกันว่า เป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นเนื้อคู่กัน เป็นคู่รักกันมาในชาติปางก่อน จนกระทั่งพจนานุกรมให้ความหมายว่า “บุพเพสันนิวาส คือ การเคยเป็นเนื้อคู่กัน การเคยอยู่ร่วมกันในชาติก่อน”(๑)
และนักประพันธ์เพลง ได้ประพันธ์ว่า
“เนื้อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกันไปได้ ถ้าเคยทำบุญร่วมไว้ ถึงจะยังไงก็ต้องเจอะกัน เขาเรียกบุพเพสันนิวาสสร้างสรรค์ คงเคยตักบาตรร่วมขัน สร้างโบสถ์ร่วมกันไว้เมื่อชาติก่อน…เพราะว่าบุพเพสันนิวาส เรียกหา พี่จึงมั่นใจแน่นหนาว่าขวัญชีวาคงไม่ตัดรอน”(๒)
และ “สบตาเธอคนนี้ ไม่รู้ฉันเป็นอย่างไร เธอตราตรึงในฝัน ดั่งแสงจันทร์อันสดใส ห่างไกลยังเฝ้ารอ ใกล้กันฉันก็หวั่นไหว เหลียวมองจันทร์ ต้องทำให้คิดถึงเธอ ไม่ว่าอยู่แห่งไหน ดั่งเรามีสายใยผูกพัน ใจไม่เคยเปลี่ยนผันจากเธอคนนี้ ฟ้าดินแยกเราเท่าไรไม่ขาด ภพชาติพรากเราห่างกันไม่ได้ เมื่อบุพเพสันนิวาสมั่นหมายให้เจอ ผู้ใดเข้ามาไม่เคยไหวหวั่นเหมือนใจฉันเกิดมาเพื่อเป็นของเธอ รอวันพบเจอ เคียงข้างรักเธอนิรันดร์…”(๓) เป็นต้น
@@@@@@
ในพระพุทธศาสนา มีหลักคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดหรือสังสารวัฏ ซึ่งปุถุชนผู้ยังมีกิเลสจะต้องตายและเกิด ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบผู้ที่ถามถึงสิ่งที่ทำคนให้เกิดว่า “ตัณหาย่อมทำให้คนเกิด”(๔)
บุคคลผู้ยังมีกิเลสย่อมตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
“โครงกระดูก ร่างกระดูก กองกระดูก ของบุคคลคนหนึ่ง ผู้วนเวียนท่องเที่ยวไปตลอด ๑ กัป ถ้านำกระดูกนั้นมากองรวมกันได้ และกระดูกที่กองรวมกันไว้ไม่สูญหายไป พึงใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละ”(๕)
จากพระพุทธพจน์นี้ หมายความว่าในระยะเวลา ๑ กัปนั้น บุคคลคนเดียวผู้ที่ยังมีกิเลสเกิดตายหลายร้อยหลายพันชาติ นับเป็นแสนๆ ชาติ
การเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีองค์ประกอบสำคัญ คือ ต้องมีบิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิด(๖)
การที่มนุษย์เกิดเป็นญาติกันในแต่ละชาติ เรียกว่า บุพเพสันนิวาส คือ เคยเกิดร่วมกันในชาติปางก่อน
ในพระพุทธศาสนากล่าวว่า บุพเพสันนิวาส มิใช่หมายถึงว่าเคยเกิดเป็นคู่ครองกันอย่างเดียว แต่หมายถึงเคยเกิดเป็นบิดามารดา บุตรธิดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาวกัน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“ผู้ไม่เคยเป็นมารดา ผู้ไม่เคยเป็นบิดา ผู้ไม่เคยเป็นพี่ชายน้องชาย ผู้ไม่เคยเป็นพี่สาวน้องสาว ผู้ไม่เคยเป็นบุตร ผู้ไม่เคยเป็นธิดา โดยกาลนานนี้มิใช่หาได้ง่าย” (๗)
@@@@@@
จากพระพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่า ทุกคนที่เกิดมาต้องเคยเกิดเป็นมารดาบิดา ญาติพี่น้องกันมาในชาติปางก่อน ดังเรื่องที่พราหมณ์เฒ่าและนางพราหมณีชาวเมืองสาเกต ทึกทักว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุตรของตน ให้บุตรและธิดาทั้งหลายไหว้พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นพี่ชาย พระพุทธเจ้าก็ทรงยอมรับ
ภิกษุทั้งหลายพากันวิจารณ์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า
พระองค์เป็นบุตรและเป็นญาติของพราหมณ์เฒ่ากับนางพราหมณี ๓ พันชาติ(๘)
บุคคลผู้ที่เคยเป็นมารดาบิดาเป็นบุตรกัน เมื่อเทียบกับจำนวนหญ้า ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีป จำนวนของเหล่านั้นพึงหมดสิ้นไป(๙)
ที่พราหมณ์เฒ่ากับนางพราหมณี มีความรักในพระพุทธเจ้าดุจเป็นบุตรของตน ก็เพราะสายใยแห่งความสัมพันธ์แห่งการที่ตนเคยเกิดเป็นญาติกับพระพุทธเจ้ามาในอดีตชาติติดเนื่องมา พอมาพบพระพุทธเจ้าก็เกิดความคุ้นเคย เกิดความรักชอบพอ ความรักสนิทสนมกันนั้น เพราะการเกิดร่วมกันในชาติปางก่อนเป็นเหตุ ดังพุทธภาษิตว่า
“ความรักนั้นเกิดด้วยสาเหตุ ๒ ประการ คือ
(๑) ด้วยการอยู่ร่วมกันในชาติปางก่อน
(๒) ด้วยการเกื้อกูลกันและกันในปัจจุบัน”(๑๐)
@@@@@@
การที่มนุษย์จะเกิดร่วมกันในแต่ละชาตินั้น ตามหลักทางพระพุทธศาสนามีหลักธรรมที่มนุษย์พึงประพฤติอย่างสม่ำเสมอ จึงจะส่งผลให้มนุษย์เกิดร่วมชาติเป็นญาติพี่น้องกันได้ ดังเรื่องที่นกุลบิดากับนกุลมารดาประสงค์จะเกิดพบกันทุกชาติ
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักธรรมที่จะทำให้มนุษย์เกิดพบกันในทุกชาติ คือ บุคคลผู้ปรารถนาจะเกิดร่วมกันในทุกชาติ ต้องเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล มีการบริจาค มีปัญญาเสมอกัน(๑๑)
บุพเพสันนิวาสนั้นเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้อยคำก็เป็นภาษาทางพระพุทธศาสนาแต่มีอิทธิพลและคุณค่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันในสังคมไทย จากพื้นฐานของมนุษย์ผู้ที่ยังมีกิเลสย่อมรักและปรารถนาดีต่อบุคคลที่เป็นวงศาคณาญาติและมิตรสหายที่ตนชอบ และจะเบียดเบียนผู้อื่นที่ตนไม่ชอบ เนื่องจากการกระทบกระทั่งในการอยู่ร่วมกัน ทั้งที่ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ แต่ก็ยังทำร้ายซึ่งกันและกัน จนฝ่ายตรงข้ามต้องสูญเสียชีวิต เหตุการณ์ดังที่กล่าวนี้ เป็นอยู่ทั่วทั้งโลก ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะมนุษย์ในโลก ไม่มีความรู้สึกว่า คนที่ตนเบียดเบียนนั้น เคยเกิดเป็นญาติของตนในชาติก่อนๆ
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องรู้ในเรื่องบุพเพสันนิวาสนี้จนเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว มนุษยโลกจะมีความรู้สึกเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย ไม่เบียดเบียนกัน เหตุการณ์ที่บุคคลไม่พึงปรารถนาหลายอย่างจะลดลง จะเกิดความสงบเรียบร้อย สังคมเกิดสันติสุขตลอดไป
บทความโดย : ดร.สุภามาศ โพธิ์ทอง
[๑] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร : ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น, ๒๕๔๖), หน้า ๖๓๑.
[๒] บทเพลงชื่อ บุพเพสันนิวาส ประพันธ์โดย นายไพบูลย์ บุตรขัน.
[๓] บทเพลงชื่อ บุพเพสันนิวาส ประพันธ์โดย นายวิเชียร ตันติพิมลพันธ์.
[๔] ดูรายละเอียดใน สํ. ส. (ไทย) ๑๕/๕๕/๖๙.
[๕] ดูรายละเอียดใน สํ. นิ. (ไทย) ๑๖/๑๓๓/๒๒๓.
[๖] ดูรายละเอียดใน ม. มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๘/๔๔๔.
[๗] ดูรายละเอียดใน สํ. นิ. (ไทย) ๑๖/๑๓๗-๑๔๒/๒๒๗-๒๒๙.
[๘] องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๕๕-๕๖/๓๕๐, ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๖/๒๗๖ –๒๗๘.
[๙] ดูรายละเอียดใน สํ. นิ. (ไทย) ๑๖/๑๒๔/๒๑๕.
[๑๐] ขุ. ชา. (ไทย) ๒๗/๑๗๔/๑๑๑.
[๑๑] องฺ. จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๕๕/๙๓-๙๔.
ขอบคุณที่มา :
https://www.phuttha.com/คลังความรู้/บทความวิชาการ/ความเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส โดย ณิชชา จุนทะเกาศลย์ , 4 เมษายน 2561