ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนเราต้องตาย..ข้อคิดจากความตายที่ยังไม่ตายก็ต้องรู้  (อ่าน 1156 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


คนเราต้องตาย..ข้อคิดจากความตายที่ยังไม่ตายก็ต้องรู้

ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือสัจธรรม “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ไม่ว่าใครก็หลีกหนีสิ่งเหล่านี้ไม่พ้น หลายคนคิดว่า “ความตายเป็นเรื่องไกลตัว เรายังไม่ตายเร็ว ๆ นี้หรอก” แต่รู้หรือไม่..ความตายติดตามไปทุกที่ ไม่มีใครเลือกได้ว่าจะตายตอนไหน ตายอย่างไร เห็นกันหลัดๆ แล้วตายจากกันไปก็มีให้เห็นมากมาย

    อย่างที่หลายคนมักตั้งคำถามว่า “ตายแล้วไปไหน” สำหรับพุทธศาสนิกชน พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงความตายไว้ว่า
    “ความตายที่แท้จริงนั้นไม่มี การที่ร่างกายเสื่อมสลายหายไป เป็นเพียงการแตกสลายแยกกันไปของธาตุที่เคยรวมกันอยู่ เหลือเพียงดวงจิตของเราซึ่งจะท่องไปตามเหตุ ตามกรรมในต่างวาระ นั่นก็คือการเวียนว่ายตายเกิด”

ดังนั้นเมื่อตายแล้วเราก็จะไปตามแรงกรรมของแต่ละคน ทำกรรมดีก็ไปสู่ภพภูมิที่ดี ทำกรรมชั่วก็เวียนว่ายตายเกิดต่อไป และหากทำกรรมดีโดยปราศจากกิเลสทั้งปวง ก็นำไปสู่ “นิพพาน” หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งถือเป็นความสุขอันแท้จริงยิ่งใหญ่และเป็นจุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา

@@@@@@

แต่ละศาสนามีคำตอบของการ “ตายแล้วไปไหน” ต่างกัน อย่างชาวมุสลิมเชื่อว่าชีวิตหลังความตายเป็นช่วงของการรอ เป็นการรอคอยเพื่อสอบสวนการกระทำความดี-ความชั่วอีกครั้ง ก่อนจะไปสู่นิรันดร์ ฉะนั้นหลุมฝังศพคือ สถานที่พักก่อนการฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อชำระบาป

ส่วนคริสต์ศาสนิกชนก็เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดในโลกนี้เป็นชาติแรก (ไม่มีชาติที่แล้ว) ดังนั้นเมื่อตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก โดยวิญญาณจะออกจากร่างและไปอยู่สถานที่แห่งใหม่ คือ "สวรรค์" หรือ "นรก" ตลอดไปชั่วนิรันดรโดยไม่มีวันตาย และไม่สามารถย้ายข้ามภพได้

@@@@

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จุดร่วมที่เหมือนกันก็คือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นสัจธรรมที่เที่ยงแท้ที่สุดโดยไม่มีอะไรมาหักล้างได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือไม่ สิ่งที่ต้องทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็คือ “ความดี”

เมื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน เราจะไม่กลัวความตายทั้งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและคนใกล้ตัว ที่สำคัญถ้ามองในมุมกลับความตายก็เป็นบทเรียนให้กับตัวเราและครอบครัวได้เช่นกัน

@@@@@@

ข้อคิดจากความตาย

เมื่อใครสักคนจากไป ความสูญเสีย ความเสียใจเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญและรับมือกับมันให้ได้ คนที่เคยสูญเสียอาจจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ดีกว่า แต่ใช่ว่าคนที่ไม่เคยจะรับมือกับมันไม่ได้

สำหรับคนที่จากไปก็มุ่งหน้าไปสู่ทางแห่งกรรมของตน ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ต้องอยู่ให้ได้ ปรับตัว ปรับใจฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ อาจจะเอาการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักเป็นเครื่องเตือนใจว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร อย่าลืมว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายและการสูญเสียได้ สิ่งที่ทำได้คือทำใจและตั้งตัวให้ได้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับที่จะเกิดขึ้น

@@@@

ข้อคิดอย่างหนึ่งก็คือ ปกติเรามักไม่พูดถึงความตายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บ้างก็ว่าอัปมงคล บ้างก็ว่าเป็นลาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธศาสนาสอนให้เราระลึกถึงความตายบ่อย ๆ และสม่ำเสมอ เพื่อให้คุ้นชินกับความตายที่จะเกิดขึ้นทั้งกับตัวเราเองและคนใกล้ชิด ทำให้ความตายกลายเป็นครูที่สอนให้เราใช้เวลาอย่างมีคุณค่า และกลายเป็นมิตรที่รอเราอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้

ที่สำคัญอย่ามองว่า การระลึกถึงความตายคือ ลางร้ายที่ทำให้ตายเร็วขึ้น เพราะความตายไม่ใช่ลางร้าย แต่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ซึ่งเราไม่รู้เท่านั้นเองว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่าลืมว่าท้ายที่สุดแล้วคนเราก็หนีความจริงไปไม่พ้น จะโชคลางหรือเรื่องอัปมงคลแค่ไหน คนเราก็ต้องตายอยู่ดี จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีคุณค่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นต่างหากที่สำคัญกว่า

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว..ก็ใช้ชีวิตซะให้คุ้มค่า จากไปเมื่อไหร่ ก็จะได้ไปอย่างไม่ต้องมีห่วง


ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/คนเราต้องตาย+ข้อคิดจากความตายที่ยังไม่ตายก็ต้องรู้-M5lRya
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7283
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ