« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2018, 05:27:16 am »
0
รายงานพิเศษ : ครม.ไฟเขียว ต้นไม้ 58 ชนิด ใช้ค้ำประกันเงินกู้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้ออกกฎกระทรวงฉบับใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 เพื่อเปิดทางให้นำไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ โดยกำหนดว่าจะต้องเป็นต้นไม้ตามบัญชีท้ายกฎหมายว่าด้วยสวนป่า จำนวน 58 ชนิด ที่สามารถนำมาเป็นทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกและมีโอกาสในการประกอบธุรกิจมากขึ้น
สำหรับไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมีจำนวน 58 ชนิด เช่น ไม้สกุลมะม่วง, ไม้สกุลทุเรียน, ไม้สกุลยาง, มะขามป้อม, ไผ่ทุกชนิด, ไม้สัก, พะยูง, ชิงชัน, ประดู่, มะค่า, เต็ง, รัง, ตะเคียน,สะเดา, นางพญาเสือโคร่ง, ปีบ, ตะแบกนา, ไม้สกุลจำปี, กัลปพฤกษ์, ราชพฤกษ์, หว้า,จามจุรี, กฤษณา และไม้หอม เป็นต้น
@@@@@@
การเสนอเรื่องดังกล่าวให้ ครม.พิจารณา เนื่องมาจากคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ได้เตรียมการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการขับเคลื่อนระบบการส่งเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งในส่วนของระบบการจัดการทรัพยากรและชุมชน พร้อมกับผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมให้ประชาชน ปลูกต้นไม้ยืนต้นมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์ เพื่อเป็นการออมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) จะเสนอแก้ พ.ร.บ.ป่าไม้ ในมาตรา 7 เพื่อให้ประชาชนที่ปลูกไม้ยืนต้นมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือพื้นที่ของตนเองสามารถตัดไม้ไปขายได้ หรือสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้
ซึ่งถือเป็นวิธีการออมเงินอีกทางหนึ่ง และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจขึ้นมา รวมทั้งเป็นการสร้างให้เกิดพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น และสามารถเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ ส่วนต้นไม้แต่ละชนิดจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่าใดจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสถาบันการเงินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ขั้นตอนต่อทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะรับร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวไปตรวจพิจารณา พร้อมทั้งรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาแล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ จากนั้นจึงเสนอให้ที่ประชุม ครม.รับทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงใดๆ ก็ให้ถือเป็นมติ ครม.ตามที่เสนอ
@@@@@@
นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะส่งเสริมให้ประชาชนปลูกป่า โดยเฉพาะป่าเศรษฐกิจ ทั้งการปลูกในพื้นที่กรรมสิทธิ์ของตัวเอง หรือที่ที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามกฎหมาย จึงมีการดำเนินการในเรื่องนี้ รวมทั้งจะมีการแก้กฎหมายว่าด้วยไม้หวงห้ามในพื้นที่ที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือที่ดินที่รัฐบาลรับรอง หรือจัดสรรให้จะไม่เป็นไม้หวงห้ามอีกต่อไป หมายความว่า ก่อนหน้านี้ตามมาตรา 7 ใน พ.ร.บ.ป่าไม้ ที่กำหนดไว้ว่า ไม้ประเภท ก หรือไม้หวงห้าม แม้จะปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ มีเอกสารสิทธิ หรือที่ดินที่รัฐจัดสรรให้ แต่จะตัดไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อแก้กฎหมายแล้ว หากไม้หวงห้ามเหล่านี้อยู่ในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ หรือที่ดินที่รัฐบาลจัดให้ ต่อไปเจ้าของก็สามารถตัดได้
“ไม้ยืนต้นทั้ง 58 ชนิดที่กำหนดเอาไว้ว่าประชาชนสามารถใช้เป็นสินทรัพย์ หรือหลักทรัพย์ ใช้ค้ำประกันในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ โดยเวลานี้กรมป่าไม้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ได้ประชุม เพื่อหาแนวทางดำเนินการเรื่องนี้แล้ว ซึ่งเร็วๆ นี้จะมีการตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางประเมินมูลค่า ราคาไม้แต่ละชนิด” นายอรรถพลกล่าว
@@@@@@
รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า นอกจากมูลค่าในตัวเองของไม้แต่ละชนิดแล้ว ยังมีการกำหนดคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ความเสี่ยงต่อการถูกลักลอบตัด โอกาสในการเจริญเติบโต ซึ่งคุณสมบัติตรงนี้ทางสถาบันทางการเงินจะเป็นผู้ประเมิน โดยเอาหลักการราคากลางที่คณะกรรมการร่วมระหว่างกรมป่าไม้ และกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้กำหนดออกมาเป็นตัวพิจารณา ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดตัวเลขใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
หากเทียบกับมูลค่าไม้ท่อนที่ทางกรมป่าไม้ได้เข้าไปจับกุมการลักลอบตัดของกลุ่มลักลอบตัดไม้ มูลค่าของไม้ท่อนของไม้แต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ขึ้นกับความนิยมในตลาด และคุณภาพของเนื้อไม้ โดยไม้เนื้อแข็งที่มีปริมาณแก่นไม้มาก ก็จะมีมูลค่าสูงกว่าไม้ที่มีกระพี้มาก
@@@@@@
“เช่น ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ โดยปกติแล้วในท้องตลาดจะมีราคาลูกบาศก์เมตรละ 6-8 แสนบาท อันนี้เป็นไม้ท่อนที่แปรรูปแล้ว ถามว่าหากเป็นต้นไม้ที่ต้องการจะแปรเป็นทรัพย์สินสำหรับทำธุรกรรมนั้น แต่ละต้นมีมูลค่าเท่าไหร่ คิดอย่างไร ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่ก็จะเปรียบเทียบให้เห็นเบื้องต้นแบบนี้ ซึ่ง 1 ลูกบาศก์เมตรของไม้ต้นหนึ่ง น่าจะเป็นไม้ที่มีความสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร อายุน่าจะ 20 ปีขึ้นไป แต่นอกจากมูลค่าเนื้อไม้แล้ว ทางสถาบันทางการเงินก็จะต้องคิดความเสี่ยงอื่นๆ มาประกอบด้วย เช่น ความเสี่ยงต่อการถูกลักลอบตัด ความเสี่ยงต่อการตายเอง เป็นต้น” รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าว
นายอรรถพลกล่าวว่า นโยบายดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะทำให้เกิดแรงจูงใจในการปลูกต้นไม้มากยิ่งขึ้น จะเห็นว่าหลังจากที่กรมป่าไม้ได้ประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ออกไป มีประชาชนได้เข้ามาขอรับแจกกล้าไม้หายาก กล้าไม้ยืนต้น จากสถานีเพาะพันธุ์กล้าไม้ทั่วประเทศที่กรมป่าไม้เพาะแจกเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียวแล้ว ต้นไม้เหล่านี้ยังมีมูลค่าสูงสร้างประโยชน์แก่เจ้าของอย่างจับต้องได้อีกด้วย ถือเป็นวิธีการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนให้กับเกษตรกรที่ปลูกไม้มีค่าตามหัวไร่ ปลายนา ให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ขอบคุณภาดพและข่าวจาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_1062958วันที่ 29 กรกฎาคม 2561 - 08:44 น.