ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชาวพุทธใฝ่ธรรม หมั่นสวดมนต์ ต้องรู้ - 4 หลักการอ่าน "ภาษาบาลี" ให้คล่องปรื๊ด  (อ่าน 1438 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ชาวพุทธใฝ่ธรรม หมั่นสวดมนต์ ต้องรู้ - 4 หลักการอ่าน "ภาษาบาลี" ให้คล่องปรื๊ด

ภาษาบาลี หรือ Pali เป็นภาษาที่เก่าแก่ภาษาหนึ่งในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปียน) โดยนักปราชญ์ทางภาษาและนักการศาสนาให้ความเห็นว่า คือ ภาษาท้องถิ่นของชาวมคธ ในชมพูทวีป

คำว่า “บาลี” มีความหมายว่า “ภาษาอันรักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์” เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้ทรงจำและจารึกรักษาพุทธพจน์มาแต่ดั้งเดิม โดยใช้บันทึกเป็นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท จึงนับว่ามีความสำคัญมาก  แม้แต่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังเคยประทานพระโอวาทเมื่อครั้งเสด็จไปวัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในการที่คณะธรรมยุต แสดงมุทิตาต่อพระภิกษุสามเณรผู้สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๑  ความว่า

      “ความเข้าใจกระจ่างใน ‘พระไตรปิฎก’ ที่โบราณาจารย์เรียกว่า ‘พระบาลี’ นั้นคือ การรักษาพระบวรพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่โลก"

    “สาเหตุที่บูรพาจารย์ท่านใช้คำว่าพระบาลี เสมอแทนด้วยคำว่าพระไตรปิฎก ก็เพราะภาษาบาลีคือ ภาษาที่รักษาอรรถธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้อย่างไม่แปรผันบิดเบือน ความรู้พระไตรปิฎกฉบับภาษาอื่นย่อมมีประโยชน์ก็จริงอยู่ แต่ก็เสมือนเรียนรู้เพียงข้อมูลระดับทุติยภูมิ ซึ่งถูกแปลผ่านบริบทถ้อยคำและวัฒนธรรมทางภาษาออกมาแล้วชั้นหนึ่ง
      จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจบวชเรียนทุกรูป ที่จะต้องทำความเข้าใจพระไตรปิฎกภาษาบาลี อันเป็นข้อมูลระดับปฐมภูมิด้วยตนเองให้ได้ การเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี จึงอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความสำคัญคู่สังคมไทยมานับแต่โบราณกาลตราบจนปัจจุบัน”



จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีบทบัญญัติว่าพุทธศานิกชนทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาศึกษาภาษาบาลีเหมือนพระสงฆ์ ทว่าสำหรับผู้ที่ต้องการลึกซึ้งใน ‘ธรรม’ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การรู้หลักการอ่าน ภาษาบาลี ให้คล่อง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

แต่ก่อนจะอ่านให้คล่อง ต้องรู้ก่อนว่าภาษาบาลีมีตัวอักษรทั้งสิ้น 41 ตัว โดยแบ่งเป็น

1. สระ 8 ตัว ได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
ให้สังเกตว่าเฉพาะสระ ‘อะ’ จะไม่ปรากฏรูปร่าง ส่วนอีก 7 ตัว รูปสระจะยังคงตัว และสระทุกตัว นิยมอ่านออกเสียงเหมือนในภาษาไทย


2. พยัญชนะ ซึ่งในภาษาบาลีมีทั้งสิ้น 33 ตัว ได้แก่
   ก ข ค ฆ ง เรียกว่า วรรค ก
   จ ฉ ช ฌ ญ เรียกว่า  วรรค จ
   ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เรียกว่า  วรรค ฏ
   ต ถ ท ธ น เรียกว่า  วรรค ต
   ป ผ พ ภ ม เรียกว่า  วรรค ป



พยัญชนะเศษวรรค เรียก ‘อวรรค’ มี 8 ตัว คือ ย ร ล ว ส ห ฬ (เพราะมีเสียงเกิดจากฐานต่างกันไป) ทั้งนี้เมื่อนำมาเขียนถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว จะมีลักษณะที่ควรสังเกตประกอบการอ่าน ดังนี้

     1. ตัวอักษรทุกตัวที่ไม่มีเครื่องหมายใดอยู่บนหรือล่าง และไม่มีสระใดๆ กำกับไว้ ให้อ่านอักษรนั้นเป็นเสียง “อะ” ทุกตัว เช่น
     ยถาวาที ตถาการี  อ่านว่า  ยะ-ถา-วา-ที  ตะ-ถา-วา-ที
     อรหโต อ่านว่า อะ-ระ-หะ-โต
     ภควา อ่านว่า ภะ-คะ-วา
     นมามิ อ่านว่า นะ-มา-มิ
     โลกวิทู อ่านว่า โล-กะ-วิ-ทู



    2. ตัวอักษรใดมีเครื่องหมายพินทุ (  ฺ ) อยู่ข้างใต้ แสดงว่าอักษรนั้นเป็นตัวสะกดของอักษรที่อยู่ข้างหน้า เมื่อผสมกันแล้วให้อ่านเหมือนเสียง อะ+(ตัวสะกด) นั้น เช่น
     ขนฺติโก (ขะ+น = ขัน)  อ่านว่า  ขันติโก
     สมฺมา (สะ+ม = สัม) อ่านว่า  สัม-มา
     สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อ่านว่า  สัง-โฆ

     ยกเว้นในกรณีที่พยัญชนะตัวหน้ามีเครื่องหมายสระกำกับอยู่แล้ว ให้อ่านรวมกันตามตัวสะกดนั้น เช่น
     พุทฺโธ  อ่านว่า พุท-โธ
     พุทฺธสฺส   อ่านว่า พุท-ธัส-สะ
     สนฺทิฏฺฐิโย อ่านว่า สัน-ทิฏ-ฐิ-โย
     ปาหุเนยฺโย อ่านว่า ปา-หุ-เนย-โย



     3. อักษรใดเป็นตัวนำแต่มีเครื่องหมายพินทุ ( ฺ ) อยู่ข้างใต้ด้วย ให้อ่านออกเสียง “อะ” ของอักษรนั้นเพียงครึ่งเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เช่น
     สฺวากฺขาโต  อ่านว่า  สะหวาก-ขา-โต
     ตสฺมา  อ่านว่า  ตะ-สมา
     กตฺวา  อ่านว่า  กะ – ตวา


    4. อักษรใดมีเครื่องหมายนฤคหิต (  ํ )  อยู่ข้างบนตัวอักษร ให้อ่านเหมือนอักษรนั้นมีไม้หันอากาศและสะกดด้วยตัว “ง”  เช่น
    อรหํ   อ่านว่า  อะ-ระ-หัง
    สงฺฆํ   อ่านว่า   สัง-ฆัง
    ธมฺมํ  อ่านว่า  ธัม-มัง
    สรณํ  อ่านว่า  สะ-ระ-นัง
    อญฺญํ   อ่านว่า  อัญ-ญัง

    แต่ถ้าตัวอักษรนั้นมีทั้งเครื่องหมาย (  ํ )  อยู่ข้างบนและมีสระอื่นกำกับอยู่ด้วย ก็ให้อ่านออกเสียงตามสระที่กำกับ + ง (ตัวสะกด) เช่น
    พาหุํํํํ ํ  อ่านว่า  พา-หุง
    วิสุํ  อ่านว่า  วิ-สุง
    เสตุํ  อ่านว่า  เส-ตุง



จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ หนังสือสวดมนต์ หรือบทสวดมนต์ตามวัดมักถอดคำอ่านออกเสียงแบบเด่นชัด แต่การรู้หลักการอ่านที่ถูกต้องก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่แน่เราอาจจะไปเจอบทสวดที่ยังไม่ได้รับการถอดคำ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่นก หรือเป็นไก่ได้พลอยยังไงละ

ท้ายนี้หากมีใครสงสัยว่า ทำไมเราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลีด้วย? พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้เคยฝากคำตอบไว้กับ Secret ว่า
     “ที่เราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ก็เพราะมนต์นั้นคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสั่งสอนด้วยภาษาบาลี เมื่อเรานำเอามนต์ซึ่งจำไว้ด้วยภาษาบาลีนั้นมาสวด ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะต้องสวดเป็นภาษาบาลีตามรูปแบบเดิม เหมือนเรานำเอาภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยกับคนไทย เราก็ยังคงต้องพูดภาษาอังกฤษเหมือนกับภาษาแม่ทุกประการ”

 
ที่มาข้อมูล : dhamma4today.blogspot.com/2013/03/blog-post_16.html
ภาพ : Secret
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/100448.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 03, 2018, 06:30:16 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ