ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชวดตำแหน่งสมภาร เพราะนางอัปสรเทวีแท้ๆ  (อ่าน 935 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29355
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ชวดตำแหน่งสมภาร เพราะนางอัปสรเทวีแท้ๆ

วัดของผมที่ผมเคยบวชเรียนมาเป็นวัดเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง เพราะเริ่มจากเป็นวัดวิปัสสนา (วัดพระนักปฏิบัติ) มาก่อนแล้วภายหลัง กลายเป็นวัดสมถะ (วัดสำหรับนักศึกษาธรรม)

สมภารรูปหนึ่งมีอิทธิพิเศษสองประการ เป็นที่รับรู้กันทั่วไปมีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา คือเป็นทั้งนักปฏิบัติและเป็นศิลปินด้วย ชื่อเสียงในด้านสมถะ (พระนักปฏิบัติ) มีเล่าขานติดต่อกันมาเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ หรือคุณสมบัติพิเศษเหนือบุคคลทั่วไป คือท่านมีความหยั่งรู้อนาคต

มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าสัวท่านหนึ่งเคารพนับถือท่านมาก ก่อนเดินทางไปค้าขายต่างประเทศก็มาไหว้ท่านด้วยความเคารพ ได้รับคำอวยพรให้เดินทางปลอดภัย พอเรือค้าขายดำเนินอยู่กลางทะเลก็เกิดทะลุ น้ำเข้าเรือทำท่าว่าจะจมน้ำ อาเสี่ยตกใจนึกถึงคุณของหลวงพ่อขึ้นมาจึงอธิษฐานขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็ร้องให้คนพายเรือและคนอื่นๆ ช่วยกัน

     “เรือจะล่มแล้ว พวกเราช่วยกัน” ว่าแล้วก็เอาผ้าอุดรอยแตกของเรือตามแต่จะคิดได้
      กล่าวถึงหลวงพ่อซึ่งอยู่ที่วัดในขณะนั้นกำลังทำวัตรสวดมนต์อยู่พร้อมพระเณรจำนวนมาก ท่านร้องขึ้นว่า
     “เอ้า!พวกเราเรือจะล่มแล้ว ช่วยกันๆ” สร้างความประหลาดใจแก่พระเณรจำนวนมาก ในห้องพระที่สวดมนต์


@@@@@@

หลวงพ่อไม่ร้องเปล่าเถิด “สังฆาฏิ” (ผ้าพาดบ่า) ออกมาขยุมผ้าเป็นกองใหญ่แล้วอุดรูห้องสวดมนต์ดังกับอุดรูรั่วของเรือก็มิปาน พร้อมกับร้องไปด้วย พวกเรามาช่วยกัน อุดรูรั่วหน่อยๆ อยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน สร้างความประหลาดใจแก่พระเณรทั้งหมดที่อยู่ในห้องสวดมนต์

จนกระทั่งเวลาล่วงไปสักพักหนึ่ง หลวงพ่อก็พูดว่า เออ! ค่อยยังชั่วแล้ว พ้นเคราะห์ไปที ดังประหนึ่งพ้นเคราะห์กรรมอะไรไปแล้ว เสร็จแล้ว ท่านก็นำสวดมนต์ไปจนจบ เรื่องนี้เป็นที่ประหลาดใจแก่พระเณรลูกศิษย์วัดเป็นจำนวนมากที่เห็นหลวงพ่อมีกิริยาอาการประหลาดเช่นนี้ แต่ไม่มีใครกล้าซักถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัวเช่นนั้น

เหตุการณ์มาแจ่มแจ้งภายหลัง ต่อเมื่อเจ้าสัวกลับมาจากการค้าขาย มาเยี่ยมท่านด้วยความเคารพเล่าเหตุการณ์ประหลาดของเขาให้หลวงพ่อทราบ พร้อมทั้งกล่าวว่าเรือบรรทุกสินค้าของเขาถูกน้ำเข้าเรือ จนเกือบจะจมทะเล พอดีนึกถึงพระคุณของหลวงพ่อขึ้นมาได้ ไหว้ขอพรให้ปลอดภัย ท้ายที่สุดเรือก็รอดจากน้ำเข้าเรือ ดังหนึ่งว่ามีคนมาปิดน้ำมิให้ไหลท่วมเรือ คงเป็นเพราะพระคุณหลวงพ่อที่ผมไหว้ขอพรก็เป็นได้

หลวงพ่อพูดยิ้มๆ ว่าเพราะบุญคุณของโยมนั่นแล ช่วยให้ปลอดภัย ธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมเช่นนี้เสมอ พระเณรเมื่อได้ยินอาเสี่ยพูดก็นึกถึงวินาทีที่หลวงพ่อเอา “สังฆาฏิ” ปิดรูรั่วที่ห้องสวดมนต์ต่างก็อัศจรรย์ใจไปตามๆ กันเมื่อถามวันเวลา ที่เกิดเหตุกลางทะเล ก็ตรงกับวันเวลาที่หลวงพ่อเอาจีวรอุดรูรั่วในหอสวดมนต์พอดี ด้วยบุญครั้งนี้ อาเสี่ยจึงสร้างเรือสำเภาไว้ที่วัดทองนพคุณ เรือสำเภานี้ปัจจุบันยังมีอยู่ ชมรมศิษย์วัดทองนพคุณได้นำเอามาเป็นสัญลักษณ์ของชมรมมาจนบัดนี้

@@@@@@

เขียนมาตั้งนาน ยังมิได้บอกชื่อของหลวงพ่อ ท่านคือ พระครูกสิณสังวร เป็นพระกรรมฐานที่ลือชื่อมากรูปหนึ่ง นัยว่าเป็นศิษย์ของขรัวอินโข่งด้วย เขาว่ากันอย่างนั้น ท่านมีฝีมือในทางวาดรูป รูปภายในพระอุโบสถเป็นฝีมือของท่านทั้งหมด

มีเรื่องเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานผ้าพระกฐินที่วัดนี้ ทอดพระเนตรเห็นภาพวาดหลังพระประธานทรงนึกว่าเป็นผ้าจริง ถึงกับตรัสถามว่า “ใครไปเอาผ้าในวังมา” เมื่อเสด็จไปใกล้ๆ จึงทรงทราบว่าเป็นภาพวาด จึงทรงชื่นชมผู้วาดคือ พระครูกสิณสังวร เมื่อทรงพิจารณาไปยังภาพจำนวนมาก ก็ปลาบปลื้มพระทัย ทรงสรรเสริญ

ทรงพอพระทัยในฝีมือของพระครูกสิณสังวรมาก จนถึงกับมีพระกระแสรับสั่งว่า จะทรงเลื่อนสมณศักดิ์ให้เป็น “พระราชาคณะที่พระญาณรังสี” ไม่ทันสิ้นกระแสความ ทรงพิจารณามาถึงภาพหนึ่งเป็นภาพนางอัปสรเทวีลงเล่นน้ำ แต่นางเปลือยล่อนจ้อน ทรงไม่พอพระทัย เพราะภาพนั้นอยู่ด้านหน้า ตรงกับพระประธานพอดิบพอดีจึงทรงตำหนิว่าไม่เหมาะสม


@@@@@@

     กระแสพระราชดำรัสออกจะรุนแรงมาก จนถึงกับมีพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้ครับ
 
  “จึงได้ทรงพระราชดำริจะใคร่ทรงสถาปนาเลื่อนพระครูกสิณสังวรให้เป็นพระญาณรังสี ที่พระราชาคณะ สำหรับพระอารามนั้น แต่ครั้นทรงพิเคราะห์ไปในจิตรกรรมการเขียนในพระอุโบสถนั้นรำคาญพระเนตรอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องระหว่างประตูกลางและประตูเหนือหน้าพระอุโบสถ ตรงที่เสด็จประทับแลตรงพระพักตร์พระพุทธปฏิมา ในส่วนเบื้องซ้ายห้องนั้นเป็นรูปลับแล สร้างแลมีกิจกรรมสำแดง เรื่องมหาเวสสันดรกัณฑ์ทศพร เขียนเป็นนันทอุทยานในดาวดึงส์สวรรค์แลมีประสาทอันหนึ่ง มีรูปพระอินทร์แลนางผุสดีนั่งอยู่ด้วย
     แต่สองรูปก็ในอุทยานนั้นล้วนเกลื่อนกลาดดาษดาไปด้วยนางเทพนิกรอัปสรกัญญา เดินไปมาเก็บแลชมต้นไม้ที่มีดอกมีผลบ้าง ลงอาบน้ำในสุนันทสระโบกขรณีบ้าง
     ในรูปนางอัปสรต่างๆ นั้นมีรูปวุ่นวายอยู่ถึง 7 รูป เป็นรูปเปิดผ้านุ่งถึงตะโพก นั่งถ่ายปัสสวะบ้าง เป็นรูปยืนแหวกผ้านุ่งข้างหน้าบ้าง ลางนางว่ายน้ำนอนคว่ำ โก่งตะโพกขึ้นมาพ้นน้ำขึ้นมาผ้านุ่งไม่มี ลางนางขึ้นจากน้ำ ผลัดผ้าหน้าแหวกอยู่จนถึงอุทรประเทศ ลางนางผลัดผ้าข้างหลังเปิดตะโพก ลางนางหกล้มผ้าหลุดลุ่ย ซึ่งรูปภาพสตรีต่างๆ ถึง 7 รูป เขียนไว้ดังนี้

     ก็เป็นรูปนางสวรรค์ล้วนประดับประดามงกุฎ ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ปิดทองคำเปลวเป็นรูปภาพระบายอย่างดี มิใช่เป็นของเล่น ที่ห้องนั้นเป็นอยู่เบื้องหน้าพระอุโบสถ ตรงพระพักตร์พระประธาน ตรงที่เสด็จไปประทับ หรือเมื่อพระองค์ไปประชุมกันทำสังฆกรรม อุโบสถกรรม ก็ต้องแลดูรูปนั้นอยู่จนสังฆกรรมเลิก ก็รูปนางสวรรค์แปลกตา 7 รูปนี้
     พระครูกสิณสังวรให้การเขียนหรือช่างเขียนเขียนไปเอง ถ้าให้การเขียนนั้นจะเป็นประโยชน์โภชผลเป็นปริศนาธรรมทางสังเวชหรือทางเลื่อมใสอย่างไร จึงให้เขียนไว้ถ้าช่างเขียนเขียนไปเอง ช่างเขียนเป็นคนดีหรือเสียจริต ถ้าเสียจริต ทำไมจึงเขียนรูปภาพระบายได้งามๆ ได้ดีๆ”


@@@@@@

สาเหตุมาจากจิตรกรรมฝาผนังของศิษย์ขรัวอินโข่งแห่งนี้ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศไปยังวัดต่างๆ ที่มีรูปเขียนในทำนองเดียวกันให้ลบออกเสีย แต่รูปนางฟ้า 7 นางดังกล่าวนั้น ไม่ปรากฏว่าถูกลบทิ้งแต่ประการใด ยังคงมีมาในรูปเดิมจนเลอะเลือนไปเองตามอายุขัยของมัน ซึ่งบัดนี้ได้รับการเขียนซ่อมใหม่ รักษาแนวเดิมไว้ แต่ดัดแปลงให้สุภาพขึ้นกว่าเดิม

ความจริงจะว่าไปแล้วพระครูกสิณสังวรท่านเป็นศิลปินที่มีอารมณ์ขันไม่น้อยทีเดียว อัจฉริยะอย่างนี้ หาได้ไม่ง่ายนัก นักเขียนการ์ตูนเมืองไทยมากมาย แต่หามือดีๆ ที่สามารถแทรกอารมณ์ขันชนิด “คำอธิบายพันคำ” ลงในรูปรูปเดียว อย่างประยูร จรรยาวงษ์ ไม่ได้ง่ายนัก ฉันใดก็ฉันนั้น ภาพพระไตรปิฎกนั้น ใครดูแล้วก็นึกเป็นธรรมดาๆ จืดๆ

ถึงแม้จะชมในหัวริเริ่ม (initiative) ไม่เอาอย่างใครก็ดูไม่น่าอัศจรรย์อะไรมากนัก แต่ถ้าท่านมองต่ำลงมาอีกนิด เหมือนภาพแมวสองตัวกำลังเล่นหูเล่นตากันอยู่ใต้โต๊ะ ท่านจะต้องยิ้ม ยิ้มในความฉลาดของศิลปินที่สอดแทรกอารมณ์ขันในสิ่งที่ไม่ขัน

@@@@@@

บางท่านที่คิดลึกไปกว่านั้น อาจจะได้คำอธิบายหรือข้อเปรียบเทียบอย่างอื่นเพิ่มเติมก็เป็นได้ ภาพสามเณรน้อยเรียนธรรมก็ดี ภาพพระปลงอาบัติก็ดี ซึ่งเป็นภาพง่ายๆ แต่ดูแล้วทำให้เกิด “หสิตารมณ์”(ศัพท์บัญญัติของผู้เขียนเอง) ได้ทั้งสิ้น แม้แต่ภาพนางฟ้าเจ็ดนาง ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตำหนิว่าเป็นภาพลามกอนาจาร

ตกลงสมณศักดิ์ว่าจะทรงแต่งตั้งให้พระครูกสิณสังวรเป็นพระญาณรังสีก็เป็นอันงด ท่านพระครูก็เลยอกหักไป เพราะภาพนางอัปสรเทวีแท้ๆ



บทความโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 - 13:00 น.
ขอบคุณที่มา : https://www.matichon.co.th/article/news_1023175
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ