ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิเคราะห์ “นรก” กับ “สวรรค์” ถ้าไม่มีศาสนา แล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ศาสนาไหน.?  (อ่าน 1281 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





วิเคราะห์ “นรก” กับ “สวรรค์” ถ้าไม่มีศาสนา แล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ศาสนาไหน.?


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมาภายใต้ร่มเงาของศาสนา…ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ก็คงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับแนวความคิดของคำว่า นรกและ สวรรค์ แม้ว่า นรก-สวรรค์ ในนิยามของแต่ละศาสนาจะมีความแตกต่างกันไปตามหลักคำสอน แต่ความหมายหนึ่งเดียวของสองสถานที่นี้ที่ทุกศาสนาใช้ร่วมกันก็คือ…

@@@@@@

นรกคือที่ลงทัณฑ์คนชั่ว และ สวรรค์คือที่พำนักของคนดี

ในขณะที่เรื่องชีวิตหลังความตายยังคงเป็นที่ถกเถียงว่ามีจริงหรือไม่ ภายหลังความตายนั้น เราจะมีชีวิตอันเป็นนิรันดรในอ้อมแขนของพระเจ้า หรือเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเกิดในภพภูมิต่างๆ เพื่อชดใช้กรรมจนกว่าจะสิ้นอายุขัยและเข้าสู่นิพพานนั้นก็ยังคงเป็นปริศนา เพราะยังคงไม่มีใครค้นพบ หรือหวนกลับมาเล่าให้ฟังได้

แต่ในวันนี้ เราจะมาวิเคราะห์กันว่า…เหตุใดจึงมีสิ่งที่เรียกว่านรก-สวรรค์ แนวความคิดนั้นมาจากไหน และเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกศาสนาที่มีแนวคำสอนแตกต่างกันไปนั้น กลับมีแนวความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายที่แบ่งเป็นสถานที่สำหรับคนชั่วและคนดีได้เหมือนๆกันเช่นนี้


@@@@@@

“นรก-สวรรค์” บทลงทัณฑ์และรางวัลของกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

การจะทำความรู้จักแนวความคิด นรก-สวรรค์ นั้น เราจะต้องทำความเข้าใจ “ศาสนา” เสียก่อนในแง่มุมของนักวิชาการยุคใหม่นั้น ศาสนามิใช่เพียงแต่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เป็น กฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของโลก บทบัญญัติข้อห้ามต่างๆนั้นถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อ “รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง”

ไตรภูมิพระร่วงวรรณกรรมทางศาสนาพุทธที่นิพนธ์โดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท)แห่งกรุงสุโขทัย เป็นหนังสือที่เป็นที่ยอมรับว่าเก่าแก่ที่สุดที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับนรก-สวรรค์และโลกมนุษย์เอาไว้ (ไตรภูมิ – แปลตรงตัวว่า 3 ภพภูมิ) ก็ถูกบัญญัติขึ้นในยุคที่มีการขยายจำนวนของประชากรชาวสุโขทัย และทำให้เกิดความยากที่จะปกครองบ้านเมืองโดยสันติ ปราศจากข้อพิพาทต่างๆอันมีบ่อเกิดจากความเห็นแก่ตัวพื้นฐานของมนุษย์ เช่นการลักทรัพย์ การเข่นฆ่ากัน

@@@@

ดังนั้น การเผยแพร่ความรู้ทางศาสนาในเรื่องบทบัญญัติข้อห้ามที่จะสามารถทำให้ผู้คนรู้สึก “เกรงกลัวต่อบาปกรรม” ได้ จึงเป็นวิธีที่ชนชั้นปกครองสมัยก่อนใช้แทนกฎหมาย โดยการบัญญัติบทลงโทษที่น่าสยดสยองในนรก และผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ประพฤติตนดีอยู่ในศีลธรรมบนสวรรค์

ไม่ใช่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น แต่ทั้งศาสนาคริสต์และอิสลามอันเป็นศาสนาเอกของโลก ต่างก็มีพื้นฐานมาจากการบัญญัติรวบรวมความเชื่อเพื่อจะ “ควบคุมความประพฤติ” ผู้คนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทเบาะแว้งกัน เพื่อปกป้องคนในสังคมให้ปลอดภัย และข้อห้ามเหล่านี้นั่นเอง

ในภายหลังเมื่อเกิดระบอบ “รัฐชาติ” ขึ้นมาก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็น "กฎหมาย" ยุคปัจจุบันที่มีสถานะความเป็นกลางทางศาสนาในที่สุด และกระทั่งยุคปัจจุบันนี้ รัฐบาลบางรัฐก็ยังคงใช้กฎหมายที่เป็นบทบัญญัติจากศาสนาอยู่ อันจะเห็นได้จากรัฐอิสลามบางรัฐยังคงใช้กฎหมาย “ชะรีอะห์” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามโดยตรง

@@@@@@

“ไม่นับถือศาสนา” เทรนด์ใหม่ของโลก.?

ในยุคที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้า เมื่อมนุษย์ศึกษาหาความรู้มากขึ้นและเอาชนะธรรมชาติได้มากขึ้น แนวความคิดประเภท “ไม่นับถือศาสนา” และ แนวความคิด “มนุษย์นิยม” อันเชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์โดยไม่พึ่งพาความเชื่อ เทพเจ้า หรือศาสนา ก็กำลังค่อยๆกลายเป็นที่นิยมและกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในฐานะสิทธิมนุษยชน

คำว่า “เอทีส–Atheist” ที่แปลตรงตัวว่า “ไม่มีพระเจ้า” นั้นกลายเป็นคำที่ผู้ไม่ประสงค์จะนับถือศาสนาใช้เรียกตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่มีความคิดในแนวของเอทีสนั้นมักจะเป็นผู้ที่มีความคิดประเภทหัวก้าวหน้า เชื่อในวิทยาศาสตร์ วิทยาการ การเรียนรู้ของมนุษย์และอาจไม่เชื่อว่า มีพลังอำนาจจากเบื้องบนใดที่เหนือกว่ามนุษย์คอยควบคุมความเป็นไปของโลก ซึ่งเริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติในโลกยุคปัจจุบัน ที่การศึกษาและวิทยาการก้าวหน้าจนทุกสิ่งแทบจะเป็นจริงได้ด้วยมือของมนุษย์

อย่างไรก็ดี ยังมีเอทีสหรือผู้ไม่นับถือศาสนาบางกลุ่มที่ใช้ “ความไม่เชื่อ” ของพวกเขาในการโจมตีกลุ่มผู้ที่มีศรัทธาหรือผู้ที่มีความเชื่อในศาสนา รวมไปถึงการล้อเลียน และการดูถูก ซึ่งเป็นความไม่บังควรและไม่เหมาะสม เพราะสิทธิในความเชื่อทางศาสนานั้นก็เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน ดังนั้นจึงไม่ควรมีการเหยียดหยาม ดูหมิ่น หรือกระทั่งแสดงออกใดใดอันเป็นสิ่งที่เบียดบังสิทธิของผู้อื่นในการนับถือศาสนาเช่นกัน

@@@@@@

ไม่นับถือศาสนาจะตกนรกไหม.?

สำหรับชาวเอทีสหรือผู้ไม่มีศาสนานั้น ส่วนใหญ่มักเชื่อว่าการตายคือ การดับสูญสลายไปของร่างกายตามธรรมชาติ เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกชัตดาวน์ ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ มีแต่ปัจจุบันและชาตินี้เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าไม่มีชีวิตหลังความตาย…ซึ่งในเมื่อความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าชีวิตหลังความตายและนรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่ ก็เป็นไปได้ยากที่จะฟันธงว่าผู้ไม่นับถือศาสนาจะต้องตกนรกจริงๆหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การไม่นับถือศาสนาไม่ได้แปลว่าไม่ใช่คนดี เพราะผู้ไม่นับถือศาสนาเองก็อาจมีการยึดหลักมนุษย์นิยม เช่น เชื่อในความดีของมนุษย์ และความเมตตาต่อกัน
     ดั่งเช่นคำพูดของท่าน "ดาไลลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตที่เคยกล่าวไว้ว่า
    “My religion is simple, my religion is kindness (ศาสนาของฉันคือความเมตตา)”

@@@@@@

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใด เชื่อในเรื่องนรก-สวรรค์หรือไม่ สิ่งที่ดีที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ก็คือการหมั่นทำความดี ใช้ชีวิตอย่างมีเมตตา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้แก่ตัวคุณให้มีความสุขและปลอดภัย เป็นที่รักใคร่แก่ผู้คนทั่วไป ไม่ว่านรก-สวรรค์จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ไม่ต้องรอเห็นผลชาติหน้าแต่อย่างใด




ขอบคุณที่มา : https://today.line.me/th/pc/article/วิเคราะห์+“นรก”+กับ+“สวรรค์”+ถ้าไม่มีศาสนา+แล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ศาสนาไหน-ZyXBKj
By Another View , เผยแพร่ : 8 ธันวาคม 2561 เวลา 8.00 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ