น้ำราชาภิเษก สืบเนื่องหลายพันปีมาแล้ว สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ เมืองสุพรรณบุรีน้ำจากสระศักดิ์สิทธิ์ ริมลำน้ำท่าว้า เมืองสุพรรณบุรี ได้รับยกย่องตักไปใช้ในงานอภิเษกตามโบราณราชประเพณี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณภูมิ สถาปนาความเป็นกรุงศรีอยุธยาอย่างแท้จริง ราวหลัง พ.ศ. 1900
น่าจะมีเหตุจากพื้นที่นี้เป็นถิ่นฐานบรรพชนของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแต่เดิมเป็นเจ้านายเมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) เมื่อจะต้องใช้น้ำในพิธีกรรมสำคัญๆ จึงต้องเชิญน้ำสระสี่แห่งจากแหล่งนี้ แล้วถือเป็นจารีตสืบจนปัจจุบัน
สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ได้แก่ สระแก้ว, สระคา, สระยมนา, สระเกษ มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช้ในพิธีอภิเษกต่างๆ เช่น ราชาภิเษก เป็นต้น ตั้งอยู่ริมลำน้ำท่าว้า ต. สระแก้ว อ. เมืองฯ จ. สุพรรณบุรี บนเส้นทางไปเจดีย์ยุทธหัตถี (ดอนเจดีย์)สระเกษ อยู่ฝั่งใต้ของสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ (ภาพโดย ทรงยศ ศักดิ์ศรี)
สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ มีกำเนิดจากตาน้ำซับ “เฮี้ยน”
สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ มีต้นกำเนิดจาก “ตาน้ำซับ” สี่กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีศาลผีควบคุมและคุ้มครองอยู่ในชุมชนเริ่มแรกราว 2,500 ปีมาแล้ว ตาน้ำซับสี่กลุ่มเป็นตาน้ำธรรมชาติผุดจากใต้ดิน น่าจะมีขนาดต่างกัน แต่จับกลุ่มเรียงกันทำแนวเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของชุมชนสมัยแรกเริ่ม
บางแห่งมีตาน้ำเดียว แต่ส่วนมากมีเป็นกลุ่มตั้งแต่สองตาน้ำขึ้นไป นานเข้าก็ขยายพื้นที่น้ำนองกลายเป็นแอ่งน้ำใหญ่ เรียกหนองบึง แหล่งอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร ดึงดูดให้คนสมัยเริ่มแรกรวมกันเป็นชุมชนรอบๆ แล้วเติบโตเป็นบ้านเมือง เช่น เมืองร้อยเอ็ด
บ่อน้ำซับ กำเนิดเมืองร้อยเอ็ด บึงพลาญชัย อยู่กลางเมืองร้อยเอ็ด (อ. เมืองฯ จ. ร้อยเอ็ด)มีกำเนิดจากตาน้ำซับที่ปัจจุบันเรียก “บ่อน้ำซับ” ในสระชัยมงคล วัดบึงพลาญชัย ทางวัดสร้างหอไตรครอบบ่อน้ำซับอยู่ในห้องคูหาใต้น้ำ โดยมีบันไดลงไปสะดวกเพื่อดูตาน้ำซับจากพื้นธรรมชาติซึ่งเป็นท้องบึงพลาญชัย
[จากเรื่อง “ร้อยเอ็ด มาจากไหน?” โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ พิมพ์ในหนังสือกฐินพระราชทาน วัดบึงพลาญชัย จ. ร้อยเอ็ด โดยธนาคารกรุงเทพ พ.ศ. 2558 หน้า 129]
สระแก้ว อยู่ฝั่งเหนือของสระทั้งสี่
ทางเข้าสระศักดิ์สิทธิ์
“ตาน้ำซับ” กำเนิดเมืองสุพรรณภูมิ
เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) น่าจะมีกำเนิดเกี่ยวข้องกับตาน้ำซับสี่กลุ่มที่ภายหลังขนานนามศักดิ์สิทธิ์ว่า สระแก้ว, สระคา, สระยมนา, สระเกษ
[ร.5 ทรงลำดับต่างไปเมื่อ พ.ศ. 2451 ตามแนวเหนือ-ใต้ และตะวันตก-ตะวันออก ว่า สระแก้ว, สระเกษ, สระคา, สระยมนา]
@@@@@@
คนชั้นนำเมืองสุพรรณภูมิยกย่องความสำคัญ หรือ “เฮี้ยน” ของตาน้ำซับสี่กลุ่มที่มีศาลผีควบคุมคุ้มครองสืบเนื่องมาก่อนนานแล้ว ดังนั้นยุคดั้งเดิมเริ่มแรกชุมชนถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมเลี้ยงผีหน้าแล้งประจำปีเดือน 4, 5, 6 ได้แก่รดน้ำดำหัวผู้แก่ผู้เฒ่ากับถือน้ำทำสัตย์สาบานระหว่างคนชั้นนำกับบริวารสำคัญ
ตาน้ำซับสี่กลุ่ม หรือสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่มีพื้นที่อยู่ริมลำน้ำท่าว้าซึ่งเป็นสายเดิมแม่น้ำท่าจีน (ลำน้ำสุพรรณ) และเป็นบริเวณเมืองเก่าสืบทอดจากเมืองอู่ทอง (ที่ไม่ร้าง แต่ลดความสำคัญลงราวเรือนพ.ศ. 1600)จึงน่าเชื่อว่าเป็นพื้นที่แรกเริ่มเมืองสุพรรณภูมิมีคนชั้นนำเป็นชาวสยาม พูดภาษาไต-ไท (ต้นทางภาษาไทย) ควบคู่ไปกับบริเวณเมืองสุพรรณบุรีที่แม่น้ำท่าจีน
ร.5 ทรงมีข้อสังเกตสำคัญว่าสระทั้งสี่อยู่ทางเหนือลำน้ำท่าว้า ส่วนทางใต้ลงไปเป็นวัดหน้าพระธาตุเมืองเก่า (หมายถึงพระธาตุสวนแตง หรือพระธาตุศาลาขาว) ของเมืองบึงกระเทียม (สี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 1 กิโลเมตร ยาว 2 กิโลเมตร ต. ศาลาขาว อ. เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี) ประมาณกึ่งทางระหว่างเมืองอู่ทอง กับเมืองสุพรรณบุรี 
แม่น้ำท่าว้า ไหลผ่านบริเวณสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แล้วไหลลงไปทางเมืองอู่ทองกับเมืองบึกระเทียม
น้ำราชาภิเษก
เมื่อเติบโตเป็นบ้านเมืองใหญ่ ก็ยกย่องเป็นน้ำทำพิธีในราชสำนัก ได้แก่ ราชาภิเษก และงานอภิเษกต่างๆ มีคำบอกเล่าเก่าแก่ซึ่ง ร.5 ทรงจดไว้ว่าเป็นน้ำราชาภิเษกของพระเจ้าปทุมสริยวงศ์, พระเจ้าสินธพอมรินทร์, พระยาแกรก, พระร่วง ฯลฯ คำบอกเล่าไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่เป็นพยานว่าคนชั้นสูงสมัยก่อนเชื่อว่าน้ำจากสระทั้งสี่มีความศักดิ์สิทธิ์
ต่อมาจีนหนุนเจ้านายเมืองสุพรรณภูมิพูดภาษาไทย ยึดครองกรุงศรีอยุธยา จากเจ้านายเชื้อสายเมืองละโว้ พูดภาษาเขมร จึงมีพิธีราชาภิเษก โดยใช้น้ำจากตาน้ำซับดั้งเดิมของเมืองสุพรรณภูมิ นับแต่นั้นเป็นราชประเพณีที่พระเจ้าแผ่นดินอยุธยาต้องเชิญน้ำจากตาน้ำซับเมืองสุพรรณภูมิ ทำพิธีราชาภิเษกและอภิเษกต่างๆ
ตาน้ำซับสี่กลุ่มถูกดัดแปลง เป็นสระน้ำซับสี่แห่งหรือสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แล้วขนานนามตามความเชื่อว่าสระแก้ว, สระคา, สระยมนา, สระเกษ มีพนักงานบรรดาศักดิ์เป็นขุนคอยดูแลทำความสะอาด และมีเลก (บ่าวไพร่) ตามสมควรสำหรับทำความสะอาดรักษาสระ โดยรับราชการสืบเนื่องเรื่อยมา จนถึงรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปก เกล้าฯ จึงได้ยุบเสีย
[จากบทความเรื่อง “สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกษ” ของ นายตรี อมาตยกุล พิมพ์ในหนังสือ โบราณวิทยาเรื่องเมืองอู่ทอง กรมศิลปากร พ.ศ. 2509 หน้า 113-118]
@@@@@@@
สยาม มาจากน้ำซับ
น้ำซับ เป็นที่มาของคำว่าสยาม เนื่องจากคำพื้นเมืองดั้งเดิมเรียกน้ำซับว่า ซำ, ซัม, สาม หมายถึง น้ำพุน้ำผุดซึ่งโผล่ขึ้นจากแอ่งดินอ่อนหรือดินโคลน
น้ำซึมน้ำซับหรือตาน้ำพุน้ำผุดเหล่านั้นเกิดจากน้ำฝนที่รากต้นไม้อุ้มไว้ทั้งบนภูเขาและบนเนินดอน แล้ว
ค่อยๆ เซาะชอนใต้ดินมาพุมาผุดขึ้นบริเวณดินอ่อนหรือดินโคลนที่ราบเชิงเขาหรือเชิงเนินดอน จนบาง
แห่งกลายเป็นที่ลุ่มห้วยหนองคลองบึงบุ่งทาม เช่น หนองหานที่สกลนคร, หนองหานที่อุดรธานี, บึง
บอระเพ็ดที่นครสวรรค์ เป็นต้น
[ปรับปรุงจากหนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2519]
ซากเจดีย์เดิมเป็นศาลผี ควบคุมแบ่งปันใช้น้ำอยู่ริมสระเกษ (บนเนินสูงทางซ้ายของภาพ) หนึ่งในสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
แหล่งน้ำคืออำนาจ
ใครคุมแหล่งน้ำ คนนั้นคือผู้มีอำนาจแท้จริง เพราะแม้ชุมชนอยู่ริมแม่น้ำ แต่เมื่อถึงหน้าแล้ง (เดือน 4, 5, 6) น้ำแห้งขอดในแม่น้ำทุกสาย (รวมแม่น้ำเจ้าพระยา) บางตอนเป็นท้องทรายไม่มีน้ำ ดังนั้น ตาน้ำที่ไม่แห้งจึงสำคัญมาก ยิ่งตาน้ำใหญ่หลายตาอยู่รวมกันก็ยิ่งสำคัญ เหมาะก่อบ้านสร้างเมืองตรงนั้น
จอมปลวกคลุมตาน้ำ ตาน้ำซึมน้ำซับบางแห่งกระตุ้นให้เกิดขุยดินครอบคลุมทับซ้อนเป็นจอมปลวกขนาดต่างๆ ข้างใต้จอมปลวกจึงมีตาน้ำซึมน้ำซับ เป็นที่รู้ทั่วไปของคนแต่ก่อน แล้วเชื่ออีกว่าใต้จอมปลวกเป็น “รูนาค” หมายถึง รูของพญานาคใช้ขึ้นจากบาดาลสู่พื้นโลก และจากพื้นโลกลงสู่บาดาล อันเป็นห้วงน้ำกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ใต้ดิน น้ำในแม่น้ำลำคลองทุกสายก็มาจากบาดาลใต้ดิน (บาดาลเป็นที่อยู่ของพญานาคอุษาคเนย์ ส่วนพญานาคอินเดียอยู่บนฟ้า)
คนแต่ก่อนนับถือจอมปลวกเป็นแลนด์มาร์กหลักหมายศักดิ์สิทธิ์ คนมีอำนาจต้องควบคุมจอมปลวก (หมาย
ถึงตาน้ำไม่แห้ง) จึงผูกนิทานยกย่องผู้มีบุญนั่งบนจอมปลวก เช่น พงศาวดารเหนือ บอกว่าสายน้ำผึ้ง พระเจ้าแผ่นดินกรุงอโยธยาศรีรามเทพ เมื่อยังเยาว์เป็นเด็กเลี้ยงวัวเล่นว่าราชการนั่งบนจอมปลวกเสมือนบัลลังก์ เป็นต้น คำให้การชาวกรุงเก่า เล่าว่าพระเจ้าปราสาททองตอนเป็นกุมารเคยเล่นว่าราชการบนจอมปลวก
สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ สุพรรณบุรี
ภาพและเรื่อง โดย รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ประกอบด้วย สระแก้ว สระคา สระยมนา สระเกษ ใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในงานพระราชบรมราชาภิเษกและน้ำในพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล (ถือน้ำพระพิพัฒน์)
ในปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานว่าสระทั้งสี่ได้ถูกนับถือเป็นสระศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เมื่อใด หากแต่หลักฐานโบราณวัตถุที่พบในบริเวณวัดเขาดินซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับสระทั้งสี่ นี้มีอายุในราว พ.ศ. 1500 ด้วยเหตุนี้ทำให้เชื่อว่า สระทั้งสี่ถูกยกสถานะให้เป็นสระศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (พ.ศ. 1893) ต่อมาเมื่อเจ้าจากเมืองสุพรรณมามีอำนาจในกรุงศรีอยุธยา จึงได้นำความเชื่อนี้มาที่กรุงศรีอยุธยาและสืบทอดลงมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ในคัมภีร์ไตติรียพรหามณะ และคัมภีร์รามายณะ กล่าวถึงน้ำที่ใช้สรงมุรธาภิเษกว่านำมาจากทิศทั้งสี่เท่านั้น ส่วนในเอกสารเรื่องพระราชพิธีราชาภิเษกคัดจากอรรถกถาสิงหล คัดลอกในสมัยรัชกาลที่ 1 ต้นฉบับเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ กล่าวแต่เพียงว่าให้น้ำจากคงคาใหญ่เท่านั้น ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่า การนำน้ำสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นี้มาใช้ในการสรงมุรธาภิเษกในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คงจะเป็นขนบจารีตท้องถิ่นของเมืองอู่ทองและเมืองสุพรรณบุรีขอบคุณที่มา :
https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_1282727ผู้เขียน : รายงานโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันที่ 20 ธันวาคม 2561