"เอกัคคตา" ในฌาน ๔. ชื่อว่า "สัมมาสมาธิ" เป็นโลกิยะในเบื้องต้น ภายหลังเป็นโลกุตระ
ว่าด้วยนิเทศสัมมาสมาธิ (บาลีข้อ ๑๗๐)
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศสัมมาสมาธิ ต่อไป.
ฌาน ๔. มีความต่างกันแม้ในส่วนเบื้องต้น แม้ในขณะแห่งมรรค ในส่วนเบื้องต้นต่างกันด้วยอำนาจสมาบัติ ในขณะแห่งมรรคต่างกันด้วยอำนาจแห่งมรรค. ความจริง ปฐมมรรคของบุคคลคนหนึ่งย่อมเป็นธรรมประกอบด้วยปฐมฌาน แม้มรรคดวงที่ ๒ เป็นต้นก็เป็นธรรมประกอบด้วยปฐมฌาน หรือประกอบด้วยฌานใดฌานหนึ่งมีทุติยฌานเป็นต้น.
ปฐมมรรคของบุคคลคนหนึ่งก็ประกอบด้วยฌานใดฌานหนึ่งมีทุติยฌานเป็นต้น. แม้ทุติยมรรคเป็นต้นก็เป็นธรรมประกอบด้วยฌานใดฌานหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้น หรือว่าประกอบด้วยปฐมฌาน. ด้วยอาการอย่างนี้ มรรคแม้ทั้ง ๔ ย่อมเป็นเช่นเดียวกันบ้าง ไม่เป็นเช่นเดียวกันบ้าง หรือเป็นเช่นเดียวกันบางอย่าง ด้วยอำนาจฌาณ.
@@@@@@
ส่วนความแปลกกันของมรรคนั้น ด้วยกำหนดฌานเป็นบาทมีดังต่อไปนี้.
ว่าด้วยนิยาม(การกำหนด) มรรคที่มีฌานเป็นบาทก่อน เมื่อบุคคลผู้ได้ปฐมฌานออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ มรรคเป็นธรรมประกอบด้วยปฐมฌานก็เกิดขึ้น และในมรรคนี้ องค์มรรคและโพชฌงค์ย่อมเป็นธรรมบริบูรณ์ทีเดียว เมื่อบุคคลได้ทุติยฌานออกจากทุติยฌานพิจารณาเห็นแจ้งอยู่ มรรคประกอบด้วยทุติยฌานก็เกิดขึ้น แต่ในมรรคนี้ องค์มรรคย่อมมี ๗ องค์
เมื่อได้ตติยฌานออกจากตติยฌานแล้วพิจารณาเห็นแจ้งอยู่ มรรคประกอบด้วยตติยฌานก็เกิดขึ้น แต่ในมรรคนี้ องค์มรรคมี ๗ โพชฌงค์มี ๖. นับตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานก็นัยนี้. ฌานที่เป็นจตุกนัยและปัญจกนัยย่อมเกิดขึ้นในอรูปภพ ก็ฌานนั้นแลตรัสเรียกว่า โลกุตระมิใช่โลกิยะ.
ถามว่า : ในอธิการนี้เป็นอย่างไร.?
ตอบว่า : ในอธิการนี้ พระโยคาวจรออกจากฌานใด บรรดาปฐมฌานเป็นต้น ได้เฉพาะซึ่งโสดาปัตติมรรคแล้วเจริญอรูปสมาบัติเกิดขึ้นในอรูปภพ มรรค ๓ (เบื้องต้น) ของเขาประกอบด้วยฌานนั้นแหละ ย่อมเกิดขึ้นในภพนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ ฌานที่เป็นบาทนั่นเอง ย่อมกำหนดมรรค.
@@@@@@
แต่พระเถระบางพวกย่อมกล่าวว่า ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาย่อมกำหนด บางพวกกล่าวว่า อัชฌาสัยของบุคคลย่อมกำหนด บางพวกกล่าวว่า วิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีย่อมกำหนด บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยวาทะของพระเถระเหล่านั้น โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในการวรรณนา บทภาชนีย์ว่าด้วยโลกุตระในจิตตุปปาทกัณฑ์ในหนหลังนั่นแล.
คำว่า อยํ วุจฺจติ สมฺมาสมาธิ (นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ) ความว่า เอกัคคตา(สมาธิจิต) ในฌาน ๔ เหล่านี้ เราเรียกชื่อว่า สัมมาสมาธิ เป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้น แต่ในกาลภายหลังเป็นโลกุตระ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมรรคสัจจะด้วยสามารถเป็นโลกิยะและโลกุตระ ด้วยประการฉะนี้.
ข้อความบางตอนใน อรรถกถา วิภังคปกรณ์ สัจจวิภังค์ สุตตันตภาชนีย์
www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=35&i=144&p=2&h=พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศสัมมาสมา#hl อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=35&A=2637&Z=2865

[๑๗๐] สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ สงัดจากกามสงัด จากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌาน ที่มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน อันยังใจให้ผ่องใส เพราะวิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นภายใน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เพราะคายปีติได้อีกด้วย จึงเป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย
บรรลุตติยฌาน ซึ่งเป็นฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติอยู่ เป็นสุขอยู่
บรรลุจตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ นี้เรียกว่า "สัมมาสมาธิ"
สภาวธรรมนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจที่มา : สัจจวิภังค์ สุตตันตภาชนีย์ , พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=35&A=2637&Z=2865
คำว่า “เอกัคคตา” แล้วไปวงเล็บว่า “สมาธิจิต” ผู้ฟังก็งง เพราะไม่ได้บ่งบอกว่า คืออะไรแน่ แต่ถ้าวงเล็บว่า “เอกัคคตาเจตสิก” ก็เป็นอันสิ้นความ…
เอกัคคตาเจตสิก (คือความตั้งมั่นในอารมณ์เดียว) เป็นชื่อของสมาธิ
ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ก็ได้แก่เอกัคคตาเจตสิกที่ในโสภณจิต มีมหากุศลจิตเป็นต้น…
แต่ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิ ก็ได้แก่เอกัคคตาเจตสิกที่ในอกุศลจิต 12
เอกัคคตาเจตสิกที่ประกอบกับมหากุศล หรือมหัคคตกุศล (รูปาวจร-อรูปาวจร) ในขณะเจริญสมถะหรือวิปัสสนา ที่ยังไม่ถึงมรรคจิต ผลจิต… จัดเป็นสมาธิที่เป็นโลกียะ …แต่ถ้าอยู่ในมรรคจิต หรือผลจิตแล้ว เอกัคคตา (สมาธิ) นั้น ก็จัดเป็นโลกุตตระ
@@@@@@
องค์มรรคทั้ง ๘ (ปัญญาเจตสิก,วิตกเจตสิก,สัมมากัมมันตะเจตสิก,สัมมาวาจาเจตสิก,สัมมาอาชีวะเจตสิก,วิริยะเจตสิก,สติเจตสิก, และเอกัคคตาเจตสิก) มีปริยายการเกิดกับมรรค-ผลจิต ดังนี้
– ถ้ามรรคทั้ง ๔ หรือผลทั้ง ๔, เกิดขึ้นพร้อมด้วยองค์ฌานทั้ง ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา (ปฐมฌาน) องค์มรรคทั้ง ๘ ก็จะเกิดได้ครบ
– แต่ถ้ามรรคทั้ง ๔ หรือผลทั้ง ๔ เกิดพร้อมด้วยองค์ฌาน ๔,๓,๒ (เว้นวิตก,วิจาร,ปีติ) เป็นทุติยฌาน,ตติยฌาน,จตุตถฌาน และปัญจมฌานตามอภิธรรมนัย องค์มรรค ๘ ก็จะเกิดได้แค่ ๗ เว้นวิตกเจตสิก ที่เป็น สัมมาสังกัปปะมรรค
@@@@@@
สำหรับในโพชฌงค์ ๗ ซึ่งมีองค์ธรรม ๗ ได้แก่ สติ, ปัญญา, วิริยะ, ปีติ, ปัสสัทธิ,เวทนา,เอกัคคตา มีปริยายในการเกิดกับมรรค-ผลจิต ดังนี้
– ถ้ามรรคทั้ง ๔ (โสดา,สกทาคา,อนาคา,อรหัตต) เกิดพร้อมด้วยจตุตถฌาน,หรือปัญจมญาน ในอภิธรรมนัย หรือตติยฌานในสุตตันตนัย องค์ของโพชฌงค์ก็จะเหลือเพียง ๖ เว้นปีติสัมโพชฌงค์ออกไป เพราะปีติที่เป็นองค์ฌานและเป็นองค์ของโพชฌงค์ จะไม่เกิดในจตุตถฌาน,ปัญจมญาน ในอภิธรรมนัย หรือตติยฌานในสุตตันตนัย
ขอบคุณที่มา :
dhamma.serichon.us/พุทธศาสน์ในตำนาน/พุทธธรรม/เอกัคคตาในฌาน-๔-เรียกชื่/ Author : admin. ,พฤษภาคม 18, 2018