พระอุบาลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย ท่านได้ออกบวชพร้อมกับเจ้าราชกุมารทั้ง 6 คือ พระเจ้าภัททิยะศากยะราชา, เจ้าชายอนุรุทธะ, เจ้าชายอานันทะ, เจ้าชายอนุรุทธะ, เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัตต์ รวมเป็น 7 ออกบวช ณ อนุปิยอัมพวัน ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ โดยในวันผนวชนั้น เจ้าชายทั้ง 6 ได้ตกลงกันให้นายอุบาลีผู้เป็นช่างภูษามาลาออกบวชก่อนตน เพื่อจะได้ทำความเคารพเป็นการลดทิฐิและมานะแห่งความเป็นเชื้อสายกษัตริย์ของ ตนลง โดยทั้งหมดได้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เมื่ออกบวชได้ไม่นานท่านก็ได้บรรลุอรหันต์
ท่านเป็นผู้ทรงจำพระวินัยอย่างแม่นยำ และเคยได้รับพุทธานุญาตให้วินิจฉัยอธิกรณ์ 3 คดี คือ ภารตัจฉวัตถุ, อัชชุกวัตถุ และกุมารกัสสปวัตถุ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทาง ผู้ทรงพระวินัย และหลังพุทธปรินิพพานท่านได้เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการรักษาพระวินัย เพราะท่านได้รับหน้าที่เป็น 1 ใน 3 พระมหาเถระผู้วิสัชชนาพระธรรมวินัยในครามปฐมสังคายนาที่ถ้ำสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ระบุว่าท่านดับขันธปรินิพพานที่ใด แต่ท่านคงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลจึงปรินิพพานหลังพุทธปรินิพพาน
พระอุบาลีเถระ เดิมเป็นบุตรายช่างกัลบกในกรุงกบิลพัสดุ์ ต่อมาได้เข้าเป็นนายช่างภูษามาลาประจำพระราชวังกรุงกบิลพัสดุ์