ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “มิจฉาทัศน์” สาเหตุทุกข์  (อ่าน 949 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29483
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
“มิจฉาทัศน์” สาเหตุทุกข์
« เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 06:08:30 am »
0




“มิจฉาทัศน์” สาเหตุทุกข์ โดย พระมหาสุภา ชิโนรโส (ส. ชิโนรส)

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้เห็นกระแสเกิด-ดับ และดับ-เกิด คือ การเจาะเข้าไปถึงสาเหตุที่แท้จริงของทุกข์ หรือ มิจฉาทัศน์ ที่ฝังลึกอยู่ในจิตสันดานของมนุษย์แต่ละคนมาชั่วกัปชั่วกัลป์ มิจฉาทัศน์ที่ว่ามี 4 อย่าง ดังนี้

@@@@@@

1. เชื่อว่าสรรพสิ่งเที่ยงแท้ (สัสสตทิฏฐิ)
ความเห็นผิดเช่นนี้ เชื่อว่าจะมีรูปแบบชีวิตที่จีรังยั่งยืนตลอดไป มีสุขสมหวัง-มั่งคั่งร่ำรวย-มีอำนาจวาสนาตลอดไป หรือเมื่อตายไปแล้วก็เกิดในมิติที่เป็นอมตะตลอดไป ความเชื่อว่าสรรพสิ่งเที่ยงแท้เกิดจากศาสนาต่าง ๆ ที่สอนให้เชื่อพระเจ้า ศาสนาเหล่านี้สอนมนุษย์มาหลายพันปีว่า ชีวิตเริ่มจากจุดที่สร้างโดยพระเจ้า แล้วจะพัฒนาไปจนถึงจุดที่สมบูรณ์ที่สุด เที่ยงแท้ชั่วนิรันดร์ ไม่เกิดไม่ตายอีก

ความเชื่อเหล่านี้จึงฝังลึกอยู่ในจิตสันดานของมนุษย์อย่างไม่รู้ตัว คอยบงการจิตใจมนุษย์ให้แสวงหารูปแบบชีวิตที่เที่ยงแท้ หรือความสุขสมหวังที่ยั่งยืนอย่างใดอย่างหนึ่งตลอดไป เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นการเกิด-ดับของสรรพสิ่งในรูปกระแส ความเชื่อดังกล่าวก็ถูกท้าทายทันที เพราะเมื่อสรรพสิ่งเป็นกระแสเกิด-ดับอย่างนั้น จะมีสิ่งที่เที่ยงแท้เป็นอมตะค้ำฟ้าได้อย่างไร

2. เชื่อว่าสรรพสิ่งสูญ (อุจเฉททิฏฐิ)
ความเห็นผิดเช่นนี้ เชื่อว่าชีวิตตายแล้วสูญ ชีวิตโลกหน้าไม่มีอีกต่อไป เคยได้ยินบางคนพูดว่า “ชีวิตเกิดหนเดียว ตายหนเดียว” นั่นคือความคิดที่สะท้อนออกจากความเชื่อว่า สรรพสิ่งสูญ นักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า สรรพสิ่งสูญ ความจริงมีเพียงแค่วัตถุ เมื่อวัตถุแตกสลาย ทุกอย่างก็จบ หรือเมื่อสมองมนุษย์ตาย ชีวิตก็สูญ ไม่มีจิตวิญญาณที่จะเกิดอีกในภพหน้า

การศึกษากระแสหลักของโลกปัจจุบันก็เชื่ออย่างเดียวกับนักวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม มนุษย์ยุคปัจจุบันจึงมองเพียงความสุขที่ฉาบฉวย ความสุขเพียงแค่เนื้อหนัง หวังประโยชน์ทางวัตถุเพียงอย่างเดียว แก่งแย่งชิงดีกันและกันอย่างไม่สนใจใคร ไม่คิดถึงบุญ-บาป ดี-ชั่ว นรก-สวรรค์อีกต่อไป เพราะเชื่อว่าตายแล้วจบ ตัวเองไม่ต้องรับผลกรรมที่ทำไว้ การเห็นกระแสเกิด-ดับจะท้าทายความเชื่ออย่างนี้อีกเช่นกัน เมื่อสรรพสิ่งเกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิดอยู่อย่างนี้ ชีวิตจะเกิดหนเดียวตายหนเดียวได้อย่างไร ต้องมีการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ความเชื่อว่าตายแล้วจบจึงขัดแย้งกับธรรมชาติที่เป็นจริง

@@@@@@

3. เชื่อว่าสรรพสิ่งเกิดโดยบังเอิญ (อเหตุกทิฏฐิ)
ความเห็นผิดเช่นนี้เชื่อว่า ชีวิตจะดีหรือชั่ว จะสุขหรือทุกข์ ไม่เกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่รายล้อม แต่ชีวิตจะเป็นแบบไหนอย่างไรเป็นของมันเอง ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรที่จะกำหนดให้ชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ที่เชื่อว่าสรรพสิ่งเกิดอย่างลอย ๆ มักจะปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามโชควาสนา แล้วแต่ฟ้าดินจะบันดาลให้เป็นไป

การเห็นกระแสเกิด-ดับจะท้าทายความเชื่ออย่างนี้อีกเหมือนกัน การเกิด-ดับแต่ละครั้งเกิดเพราะองค์ประกอบหลายอย่างรวมตัวกันเข้าแล้วแตกสลายไป เช่น การเกิด-ดับของลมหายใจเข้า-ออกแต่ละครั้ง เกิดจากองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ จิตวิญญาณ และปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่างรวมตัวกันเข้า แล้วก็แตกสลายไป ลมหายใจรอบใหม่ก่อตัวขึ้นมาอีก แล้วก็แตกสลายไปเหมือนเดิม กลายเป็นกระแสเกิด-ดับไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งมนุษย์สิ้นชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่เกิดแล้วดับอย่างลอย ๆ ที่มนุษย์เชื่อว่าจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างลอย ๆ เพราะมองไม่เห็นเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นต่างหาก


4. เชื่อว่ามีตัวตนที่แท้จริง (อัตตานุทิฏฐิ)
ความเห็นผิดเช่นนี้เชื่อว่า มีตัวตนผู้เป็นศูนย์กลาง เป็นตัวตนแท้ดั้งเดิม เป็นศูนย์รวมของสิ่งต่าง ๆ ตัวตนนี้คือผู้เสพเสวยสิ่งต่าง ๆ และควบคุมจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปตามอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ เช่น บางคนเชื่อว่าสมองเป็นศูนย์กลางของการทำงานทั่วกายมนุษย์ จัดการระบบทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อวิเคราะห์อย่างแยบคายแล้ว สมองไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่เป็นหนึ่งในระบบเครือข่ายการทำงานของร่างกาย แม้แต่ในสมองเองก็ไม่มีศูนย์กลาง มีแต่เครือข่ายการเชื่อมต่อของเส้นประสาทต่าง ๆ ในรูปกระแสเท่านั้นเอง

จิตใจมนุษย์ก็เหมือนกัน ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นกลาง ทำงานเชื่อมโยงกันกับอารมณ์และความคิดต่าง ๆ ในลักษณะเครือข่ายเหมือนกับสมอง เกิด-ดับตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนในรูปของกระแส การเห็นกระแสเกิด-ดับของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมด จึงท้าทายความเชื่อที่มนุษย์เคยมีมาตลอดกัปตลอดกัลป์ว่า มีตัวตนเป็นอิสระ มีอำนาจสูงสุดจัดการสิ่งต่างๆ ได้แต่เพียงผู้เดียวซ่อนเร้นอยู่ในสมองหรือจิตใจแห่งใดแห่งหนึ่ง

@@@@@@

มิจฉาทัศน์เหล่านี้เป็นกิเลสชั้นละเอียดที่สุด ฝังเร้นตัวเองอยู่ในจิตสันดานของมนุษย์แต่ละคนชั่วกัปชั่วกัลป์ มนุษย์ทั่วไปน้อยนักที่จะรู้เท่าทันมิจฉาทัศน์เหล่านี้ได้ มิจฉาทัศน์เหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความเกลียด และกิเลสที่หยาบช้านานัปการ จนยากที่จะตามได้ไล่ทัน


 
ที่มา :  อานาปานสติ…ลึกแต่ไม่ลับ โดย ส.ชิโนรส (พระมหาสุภา ชิโนรโส) สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
Photo by : Dan Musat on Unsplash
Secret Magazine (Thailand) , IG @Secretmagazine
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/155923.html
By ying ,18 June 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ