ไขข้อสงสัยเรื่อง มารดลใจ พระอานนท์ได้อย่างไร.?มารดลใจ พระอานนท์ไม่ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าให้ประทับอยู่สืบต่อไป ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง 3 ครั้งว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาท 4 ย่อมอยู่ได้ตลอดกัลป์ หรือเกินกัลป์ก็ได้ เพื่อประโยชน์สุขของโลกทั้ง 3 เหตุการณ์ในตอนนั้นกลายเป็นข้อสงสัยของชาวพุทธสืบมาจนถึงปัจจุบัน มารดลใจพระอานนท์ได้อย่างไร
@@@@@@
ย้อนเวลากลับไปในวันนั้น
ต้องย้อนเวลากลับไปในเหตุการณ์นั้นผ่านพระสูตรที่มีชื่อว่า “ภูมิจาลสูตร” พระสูตรเล่าว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี พระพุทธเจ้าทรงให้พระอานนท์ถือผ้านิสีทนะตามพระองค์ไปยังปาวาลเจดีย์เพื่อพักผ่อน
พระอานนท์ปูผ้านิสีทนะให้พระพุทธเจ้าประทับ เมื่อพระองค์ประทับแล้วตรัสกับพระอานนท์ว่า “ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญทำให้มากซึ่งอิทธิบาท 4 ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นหวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กัลป์หนึ่ง หรือเกินกว่ากัลป์“
(ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ >>> ถ้าอยากอายุยืนขึ้น ควรทำอย่างไร ? เรื่องเล่าจากพระไตรปิฎก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องอายุยืนกับพระอานนท์)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระรัศมีให้เรืองรอง พระอานนท์กลับนิ่งเฉย แม้พระองค์จะตรัสประโยคนั้นถึง 3 ครั้ง พระอานนท์ก็ไม่เข้าพระทัย และไม่ได้อาราธนาพระองค์ให้ดำรงพระชนม์ชีพต่อไปตลอดกัลป์ เพราะมารดลใจ เมื่อพระอานนท์หลีกไป มารจึงเข้ามาอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงรับคำขอของมารนั้น
@@@@@@
ทำความเข้าใจเรื่อง “กัลป์”
หากพิจารณาคำตรัสที่ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาท 4 ย่อมอยู่ได้ 1 กัลป์ หรือ เกินกว่านั้น ในฎีกามาเลยยสูตร ได้ประมาณกัลป์ไว้ว่า เท่ากับประมาณ 100 ปี ของมนุษย์ ซึ่งแสดงว่าพระพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนม์ชีพต่อไปจนถึงพระชนมายุ 100 ปี หรือมากกว่านั้น ตลอดกัลป์ หรือเกินกัลป์จึงไม่ได้หมายถึงระยะเวลาที่นานแสนนานอย่างที่เข้าใจกัน
ภูมิจาคสูตรยืนยันจริงว่ามารดลใจพระอานนท์ ไม่ให้เข้าใจในคำตรัสนั้น แต่บางครั้งผู้ฟังธรรมไม่เข้าใจในธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง อย่างในมธุปิณฑิกสูตรกล่าวว่าพระภิกษุไม่เข้าใจธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรม จนต้องไปขอให้พระมหากัจจายนเถระช่วยอธิบาย เป็นต้น ไม่แน่ใจว่ากรณีพระภิกษุไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าในพระสูตรนี้ จะถือเป็นเรื่องมารดลใจได้หรือไม่ เพราะพระสูตรไม่ได้บอกว่าเกิดขึ้นจากมารดลใจให้พระภิกษุไม่เข้าใจ ผิดกับพระอานนท์ที่พระสูตรบอกชัดเจน
“มาร” ตัวร้ายที่ชาวพุทธชัง
ความหมายของ “มาร” ในพระพุทธศาสนา คือ ผู้ขัดขวางให้ห่างไกลการทำความดี มารจะปรากฏเป็นบ้างช่วงในพุทธประวัติ เช่น ตอนเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จมหาภิเนษกรมณ์ มารก็เข้าขัดขวางไม่ให้เจ้าชายทรงออกผนวช เพราะอีกไม่นานราชสมบัติจะเป็นของพระองค์ หรือหลังการตรัสรู้ มารอาราธนาให้พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่พระองค์ขอให้พระศาสนาและพุทธบริษัท 4 เข้มแข็งเสียก่อน พระองค์ถึงจะเสด็จขันธปรินิพพาน
มารในพระพุทธศาสนามีด้วยกัน 5 ประเภท คือ มารที่เป็นทิพยบุคคล หมายถึงเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้แก่ วสวัตตีมาร หรือนิยมเรียกอีกอย่างว่า เทวบุตรมาร มารตนนี้ปรากฏตัวในตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังจะตรัสรู้ แล้วยกทัพมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
สำหรับอีก 4 มาร ได้แก่ กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร และมัจจุมาร กิเลส ขันธ์ 5 การปรุงแต่ง และความตาย เป็นสิ่งกีดขวางการทำความดี และการเข้าถึงสัจธรรมเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ในประวัติพระอรหันต์ทั้งพระเถรีและพระเถระมักกล่าวถึงการก่อกวนจากมาร เช่น
พระเสลาเถรี มารเข้ามาห้ามพระเถรีบวช แต่พระเถรีได้สำเร็จอรหัตตผลไปก่อนหน้านี้แล้ว (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ >>> เสลา พระเถรีน้อยผจญมาร) พระอุบลวรรณเถรีเคยถูกมารรบกวนเช่นกัน (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ >>> เส้นทางสู่อรหัตตผลของพระอุบลวรรณาเถรี : สตรีผู้ทำบุญด้วยดอกบัวมาหลายชาติ) แม้พระพุทธเจ้าหลังจากพระบาทต้องสะเก็ดหิน มารก็เข้ามารบกวนในเวลาบรรทม (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ >>> จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อมาร รบกวนเวลา บรรทมของพระพุทธเจ้า และเทวดาเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการ) เป็นต้น
มารเหล่านี้ก็คือมาร 4 ประเภทนั้นเอง กิเลสมาร จะฉุดให้หลงอยู่ในกามคุณ ดังมารที่ขัดขวางเจ้าชายสิทธัตถะไม่ให้เสด็จออกผนวช มารที่รบกวนพระเถรีทั้งสอง คือ อภิสังขารมาร มาจากความคิด (สังขาร) ที่ทำให้หลงผิด ส่วนมารที่มารบกวนพระพุทธเจ้าขณะบรรทมคือขันธมาร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายทำให้หลงผิด ด้วยตอนนั้นพระพุทธเจ้าได้ประชวรที่พระบาท
@@@@@@
พระพุทธเจ้ากับมาร
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล กล่าวถึงมารกับพระพุทธเจ้าไว้ว่า “…ขันธมาร และ มัจจุมาร มารทั้งสองประการนี้แหละที่ตามรังควานพระพุทธองค์ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพจวบจนปรินิพพาน…” แสดงว่า มารที่เข้ามาแวะเวียนในชีวิตของพระองค์ หลังจากพระองค์ตรัสรู้ คือ มารสองประเภทนี้ ซึ่งมาร 4 ประเภท ไม่ว่าจะเป็น กิเลสมาร อภิสังขารมาร (กิเลส และอภิสังขารไม่มีผลต่อพระพุทธเจ้าหลังจากพระองค์ตรัสรู้)
ขันธมาร และมัจจุมาร เป็นเรื่องของนามธรรม เกิดขึ้นจากความรู้สึกของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้ามีพระประชวรบ่อยครั้ง มารก็จะมาปรากฏตัว เช่น ตอนประชวรพระบาทเพราะต้องสะเก็ดหิน พระองค์ทรงต้องข่มความเจ็บปวดนั้นไว้ด้วยการเจริญสติ ขันธมารก็เข้ามารบกวน หรือมารที่ทูลเชิญให้พระองค์ปรินิพพานก็คือ มัจจุมาร ซึ่งเป็นความจริงของโลกว่าไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดจากความรู้สึกที่เกิดจากขันธ์ และการดับไปได้ แม้กระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
@@@@@@
มารดลใจพระอานนท์ได้อย่างไร
การที่มารดลใจพระอานนท์ ผู้เป็นพระเถระที่ยังไม่สำเร็จอรหัตตผล ย่อมเป็นเรื่องปกติของมารจะควบคุมได้ หรือศัพท์ทางพระท่านเรียกว่า “บังใจ” หรือ ในอรรถกถาใช้คำว่า “มารท่วมทับใจ”
อรรถกถาเจติยสูตรกล่าวถึงพระเถระที่ถูกมารดลใจไว้ว่า ต้องเป็นผู้ที่ไม่สามารถละจากวิปลาส 4 (ความรู้ ความเห็นที่คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง) การที่พระอานนท์ไม่ได้ฉุดคิดว่าคำตรัสของพระพุทธเจ้ากำลังบ่งบอกให้พระอานนท์อาราธนาพระองค์ให้ดำรงพระชนม์ชีพต่อไป
มีความเป็นไปได้ว่าตอนนั้นพระอานนท์อาจมีจิตคิดฟุ้งซ่านไปอยู่อย่างอื่น ไม่ได้ใส่พระทัยในคำตรัสของพระพุทธเจ้า แม้จะตรัสถึง 3 ครั้งก็ตาม เพราะพระโสดาบันยังไม่สามารถมีสติสัมปชัญญะอยู่ได้ตลอดเวลาอย่างพระอนาคามี และพระอรหันต์ อภิสังขารมารอาจเข้าแทรกตอนที่จิตของพระเถระกำลังคิดฟุ่งซ่านก็เป็นได้
อย่าไรก็ตามการที่มารทูลเชิญให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน หรือมารดลใจพระอานนท์สะท้อนให้เห็นว่า แม้พระพุทธเจ้าเองยังทรงไม่พ้นจากมาร เพราะสุดท้ายแล้วมารที่เราทุกคนต้องเผชิญเป็นตนสุดท้ายในชีวิตคือ มัจจุมาร (ความตาย) ที่มา : มหาปรินิพพานสูตร ,ภูมิจาลสูตร ,มธุปิณฑิกสูตร ,พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ ,อรรถกถาเจติยสูตร
https://th.wikipedia.org/อริยบุคคล ,
https://th.wikipedia.org/กัป [url]https://th.wikipedia.org/]https://th.wikipedia.org/] [url]https://th.wikipedia.org/มาร (ศาสนาพุทธ)[/url] ,
http://sammasankappa.blogspot.com/มารในพระพุทธศาสนาภาพ :
www.84000.orgขอบคุณ :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/166762.htmlBy nintara1991 ,28 July 2019