'วัดสุทัศน์เทพวราราม' แกนกลางของจักรวาลสัปดาห์นี้พาไปรู้จักความเป็นมา “วัดสุทัศน์เทพวราราม” แกนกลางของจักรวาล และความวิจิตรงดงามในพระอุโบสถ พร้อมกราบไหว้พระศรีศากยมุนี” พระพุทธรูปหล่อใหญ่สุดในไทย
วลีที่ติดปากคุ้นหูของคนที่รู้จัก “วัดสุทัศน์เทพวราราม” หรือ ต่อไปจะเรียกว่า วัดสุทัศน์ ก็คือ เรื่องของเปรตวัดสุทัศน์ ที่มักจะถูกกล่าวถึงและพ่วง กับประโยคที่ว่า แร้งวัดสระเกศ
ชื่อเต็มๆ ของวัดสุทัศน์ ก็คือ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
บานประตูพระวิหารของวัดสุทัศน์ จำหลักลายโดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในหลวงรัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์จักรี
ในหลวงรัชกาลที่ 2 ไม่ได้ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านบทกวีเท่านั้น พระปรีชาสามารถในด้านศิลปะ และ สถาปัตยกรรม ยังงดงามยิ่ง
พระประธานในวิหารที่วัดสุทัศน์ชื่อเดิมว่า “หลวงพ่อโต” รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามใหม่ว่า “พระศรีศากยมุนี” เป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
ความเก่าแก่ของพระศรีศากยมุนี สร้างสมัยราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย ในยุคก่อน 25 พุทธศตวรรษอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ล่องแพมาตามน้ำเจ้าพระยา และมาขึ้นที่ท่าช้าง
วัดสุทัศน์ มีชื่อเดิม ว่า วัดมหาสุทธาวาส ตามพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 1 แต่การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 2 และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า สุทัศน์เทพวราราม
พระอุโบสถของวัดสุทัศน์ มีความยาวที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆ พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ คือ พระประธานที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
คงจำกันได้ถึงการประกอบพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำมาใช้งานพระราชพิธีราชาภิเษก เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปีที่ผ่านมา ที่พระวิหารหลวง วัดสุทัศน์ เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญนี้ โดยมีความเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางจักรวาลหรือ ศูนย์กลางพระนคร
พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ ขนาดความกว้าง23.84 เมตร ความยาว 26.25 เมตร ฐานรากของวัดถูกวางในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งวัดในสมัยรัชกาลที่ 3
ฝีมือช่างของวัดสุทัศน์ที่เป็นตัวอาคาร จึงเป็นฝีมือของช่างในรัชกาลที่ 2 และ รัชกาลที่ 3
งานฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 ลักษณะอาคารแบบประเพณีนิยม มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง เสามีบัวประดับหัวเสาฯลฯ ส่วนฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นงานนิยมอาคารแบบจีน ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เสาก็นิยมทำเป็นแท่งเหลี่ยม ไม่มีการย่อมุม ไม่มีบัวประดับหัวเสา
ใครที่นึกภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ ต้องมาวัดสุทัศน์ เพราะงานศิลปกรรมที่นี่จำลองภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในจินตนาการออกมาได้งดงามยิ่งนัก
พระระเบียงคดรอบวิหารแทนสัญญลักษณ์ของกำแพงจักรวาลที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ พระวิหารหลวงจึงเปรียบได้กับเขาพระสุเมรุ ที่เป็นแกนกลางของจักรวาล ศาลาประจำมุมทั้งสี่ทิศเหมือนทวีปทั้งสี่ ภาพจิตรกรรมในพระวิหารหลวงเป็นเรื่องราวของไตรภูมิ คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และ นรกภูมิ
ไปถึงวัดสุทัศน์ หลังกราบไหว้พระประธานแล้ว อย่าลืมไปกราบเทพอัปสรสุนทรีวาณี เทพนารีแห่งปัญญา ที่คนเชื่อและศรัทธาว่า ไหว้แล้วจะเกิดปัญญาหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
เมื่อมีปัญญาหลุดพ้นแล้ว โชคลาภก็จะตามมา
อาทิตย์นี้ไปไหว้พระที่วัดสุทัศน์กันดีกว่า.คอลัมน์ : ชำเลืองเมือง โดย “แรมทาง”
ขอบคุณภาพประกอบจาก : @WatSuthatBangkok
ขอบคุณที่มา :
https://www.dailynews.co.th/article/754090อังคารที่ 28 มกราคม 2563 เวลา 11.00 น.