"ผู้หญิงไทยสายพุทธ" กับการเป็น "นักบำบัดจิตใจ" ในเมืองคนขาวแห่งนี้
วิชาที่เราชอบเรียนที่สุดก็คือ Multicultural หรือการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ, เพศสภาพ, ศาสนา, และอื่นๆ
ล่าสุด เราต้องเขียนรายงานศึกษาวัฒนธรรมของตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อสะท้อนผลงานของเราในฐานะนักจิตบำบัดในอเมริกา ว่ามันมีความยากลำบากหรือความติดขัดใจยังไงบ้างไหม
‘สังคมที่เป็นปัจเจก (Individualistic culture) คุณค่ามันอยู่ที่การแสดงออกด้วยความแน่วแน่เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการมา แต่*สังคมที่เน้นอยู่กันด้วยความผูกพันแบบกลุ่มอย่างคนไทย(Collectivist culture) คุณค่าของมันอยู่ที่การให้ความสำคัญกับสันติภาพของส่วนรวมเป็นที่หนึ่ง’
คนเอเชียโดนสอนมาตั้งแต่เด็ก ให้ใจดี แบ่งปัน คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมไว้ก่อน (Collectivist culture) บวกกับการโตมาในครอบครัวใหญ่ หลายคนจะถูกพร่ำบอก ให้เป็นเด็กเรียบร้อย พูดน้อยๆ ไม่เถียงผู้ใหญ่ (ในงานวิจัยที่เจอมาสำหรับเด็กเอเชีย มีคนบอกว่า ไม่ใช่แค่ต้องไม่เถียงพ่อแม่นะ แต่เวลาพี่ชายพี่สาวพูดอะไร ตัวเองก็ไม่กล้าขัดอีกแหนะ ต้องเงียบๆ เอาไว้)
ชุดความคิดที่เรายึดถือมาตั้งแต่เด็กคือ เรามีความเอาใจเขามาใส่ใจเราสูง (หลายครั้งก็สูงเกินไป) จนกลายเป็นฟองน้ำที่ดูดความรู้สึกคนอื่นมาจมไว้กับตัวเอง แล้วบีบออกไปไม่ได้ซะงั้น
‘คนไทยถูกสอนให้อย่ามีเรื่องกับใครซึ่งๆ หน้า ให้เก็บความโกรธ เกลียด แค้น หมองหม่น เศร้าโศกนั้นไว้กับตัว’ หลายครั้งวิธีจัดการกับอารมณ์ขุ่นมัวของคนเอเชีย จะเข้าสูตร ยอมรับ, เปลี่ยนความคิด, อดทนสู้ต่อไป (accepting, reframing, striving) จะเห็นได้จากการ ยอมรับกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด เปลี่ยนชุดความคิดที่เรามีให้มองบวกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้ได้ เพื่อจะเดินหน้าต่อ
@@@@@@
ความเกรงใจ หนึ่งคำจำกัดความเดียว ที่ประเทศอื่นไม่มี และเราภูมิใจกับสิ่งนี้สุดๆ และบางครั้งมันก็ขัดกับชุดความคิดของคนที่นี่ เพราะเขาเชื่อว่า ถ้าคุณจะ ‘สุภาพ’ มันก็ต้องอยู่ในตรรกะที่มีเหตุผลเพียงพอในรูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ หลายครั้งฝรั่งจะงงว่าคนไทยจะเกรงใจทำไม เช่น เห็นคนไทยถือของหนักอยู่แล้วเขาเสนอตัวจะมาช่วยถือ คนไทยเกรงใจ บอกไม่เป็นไร ถือเองได้ ฝรั่งก็ไม่เข้าใจ ก็ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าถือของหนักจะไม่ไหวแล้ว จะปฏิเสธทำไมว่าไม่เป็นไร ดูไม่จริงใจและไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
ซึ่งมีผู้ให้คำอธิบายความเป็นไทยได้อย่างดีมาก เขาบอกว่ามันคือ _‘heart and mind’_ระบบความคิดและจิตใจของเรา คนอื่นคิดว่า การปฏิเสธของเราอาจหักหน้าของเขาในที่สาธารณะ แต่ความตั้งใจที่บริสุทธิ์ของเรานั้นมาจากการไม่อยากรบกวนผู้อื่น การคิดถึงผู้อื่นก่อนนั่นเอง
และหลายครั้ง ‘ความเกรงใจ’ ก็เลยไปถึงชุดความคิดแห่งความ ‘กตัญญู’ ที่ไม่ใช่แค่อยากให้พ่อแม่สบาย เลี้ยงดูเขาให้มีความสุขนะ แต่หมายถึงไม่อยากเป็นภาระ ไม่อยากให้เขาระแคะระเคืองใจ หลายครั้งเราเลยไม่เลือกจะเล่าเรื่องราวโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ท่านฟัง เพราะไม่อยากให้ท่านต้องมากังวล ให้เราต้องเป็นภาระหัวใจของท่าน
เราในฐานะนักจิตบำบัดที่นี่ เราเคยตอบคำถามเพื่อนหลายคนมาก ว่าการมีคนไข้เป็นคนอเมริกันนั้นง่ายกว่าคนเอเชียเยอะเลย เพราะคนอเมริกันส่วนใหญ่เครียดแล้วจบแค่เรื่องตัวเอง แต่คนเอเชียมีความรักครอบครัว มีความต้องรับผิดชอบสังคมที่ตัวเองอยู่มากล้น ความเครียดและหนักหน่วงของพวกเขาจึงต้องพ่วงอีกหลายชีวิตที่พวกเขาแคร์
@@@@@@
เราเป็นเลสเบี้ยน แต่แม่เรารับไม่ได้ เราเป็นนักเขียน แต่มันไม่ดีพอสำหรับครอบครัว และอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลาค้นหา ‘คุณค่า’ ที่คนไข้ยึดอยู่กับใจ คุยความเสี่ยง คุยความขับข้องใจ ซึ่งในที่สุดแล้ว ไม่ว่าคนไข้จะเลือกครอบครัว หรือเลือกความสุขของตัวเอง เราทำได้ก็แค่อยู่กับคนไข้ไปเรื่อยๆ เท่าที่คนไข้ต้องการ
เราต้องฝึกการมีปากมีเสียง บอกเล่าเรื่องราวความคิดของเราให้มากขึ้น ไม่ใช่เก็บมันเอาไว้ เออออห่อหมกเหมือนตอนอยู่ไทย แต่เรารู้สึกภูมิใจมากที่มีความ ‘เรียบร้อยและกาลเทศะ’ ที่โดนปลูกฝังมาให้มีพลังมากพอจะเคลือบการแสดงออกทางความคิดของเราเอาไว้ ให้คิดถึงใจเขาใจเรา มีความมั่นใจ แต่ไม่กลายเป็นคนก้าวร้าว (เวลาเห็นนักเรียนยุโรปเถียงครูที่นี่ที นึกว่าจะหาเรื่องตกใจมาก)
หลายครั้งที่มันก็ทำเราวิตกกังวลเครียดหนักไปหลายวัน อย่างตอนที่เราต้องโทรไปแจ้งเรื่องการล่วงละเมิดของเด็ก เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องจัดการอย่างหนักแน่นไม่ปวกเปียก เป็นบทบาทที่เรานั้นไม่คุ้นเคย
ความเกรงใจของเรา บางครั้งมันเลยเถิดไปถึงการ ‘ไม่กล้าถามซ้ำซาก’ เพราะเกรงใจอาจารย์ที่ปรึกษาเราที่ต้องมานั่งอธิบายแล้วอธิบายอีก แต่เอ้อ! มันก็หน้าที่ของเขา และเราก็ต้องเข้าใจถ่องแท้เพราะมันมีผลต่อคนไข้! และหลายครั้งที่เราก็เกิดความลำบากใจที่จะถามคำถามจี้ใจคนไข้
แต่เอ้อ! นั่นมันก็หน้าที่เราอีกนั่นแหละ! เรามักเป็นคนกลัว ‘ความขัดข้องใจ’ แต่จริงๆ แล้วหน้าที่ของเราคือ ‘ขุดความขัดข้องใจ’ นั้นออกมา ให้คนไข้เข้าใจตัวเองให้มากที่สุด (มัวแต่เป็นเชียร์ลีดเดอร์อยู่กับที่ คนไข้ก็ไม่ไปถึงเส้นชัยซะที)
@@@@@@
ทุกวันนี้ก็สนุกมากกับการปรับตัว และรู้สึกตลกตัวเองไปอีกแบบ และสุดท้ายเลย กับความขัดแย้งในใจของเราระหว่างทำการบำบัดคนไข้ในข่วงแรกๆ คือหลายครั้ง เวลาคุยกับคนไข้ เราต้องขุดออกมาให้ลึกที่สุดให้ได้ เหมือนเป็นคนดราม่า (ซึ่งจริงๆแล้วเราเป็นคนดราม่า) เพื่อจะใช้อดีตมาอธิบายให้สมเหตุสมผลกับการกระทำและความคิดฝังรากลึกที่มีอยู่นี้
ซึ่งมันขัดกับความเป็น ‘ชาวพุทธ’ ที่ให้เราปล่อยวางและเป็นไปตามกฎแห่งกรรมเหลือเกิน จนบางครั้งความเป็น ‘ฟองน้ำ’ ของเรา มันก็เลยเถิดจนกลายเป็นตรงกันข้ามกับการ ‘ปล่อยวาง’ อย่างสิ้นเชิง เราหยุดคิดถึงเรื่องของคนไข้ไม่ได้ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งเรา Burn Out อยู่ดีๆ ก็ร้องไห้จากความกดดันที่สุมหัวเพราะไม่รู้จักเอาตัวเองไปพัก
เราเริ่มรู้สึกสูญเสียความเป็นพุทธไปทีละน้อย และหากเรากลับมาใช้ความเป็นพุทธ เราก็กลัวว่าเราจะเป็นนักจิตบำบัดที่ไม่ดีพอ จนในที่สุด เราถึงได้เรียนรู้ ‘การแบ่งรับแบ่งสู้ให้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของกันและกัน’ คนหนึ่งคนเอาหลายวิถีแนวคิดที่เลือก มาปรับใช้กับช่วงชีวิตในแต่ละส่วนได้อย่างสมดุล จนตอนนี้ เราก็พยายามทำอย่างที่เพื่อนนักบำบัดของเราบอกนั่นแหละ
‘เธอมีเวลาจะช่วยคนไข้ให้ดีที่สุดก็แค่ 50 นาทีในห้องเองนะ และเมื่อหมดเวลานั้นแล้ว เธอก็ต้องปล่อยหัวสมองที่ทำงานหนักวุ่นหาเหตุผลในตอนนั้นออก ปล่อย-วาง คิดถึงคนไข้น่ะได้ แต่ให้คิดถึงแค่เบาๆขอบคุณที่มา :-
https://today.line.me/th/pc/article/ผู้หญิงไทยสายพุทธ+กับการเป็นนักบำบัดจิตใจในเมืองคนขาวแห่งนี้+เพจ+Beautiful+Madness+by+Mafuang-mmROqW TOP PICK TODAY , Madness by Mafuang
Reporter : เพจ Beautiful Madness by Mafuang
เผยแพร่ 17 มีนาคม 2563 , เวลา 20.07 น.