กำเนิด ประวัติ เรื่องราวความเป็นมา พระอุปคุต - คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์
ตำนานใน คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์ ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีเนื้อความดังนี้
ในคัมภีร์ปฐมสมโพธิ์ได้กล่าวถึงพระเจ้าอโศกว่า แต่เดิมนั้นพระเจ้าอโศกทรงนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน แต่พอมาได้ฟังธรรม จากสามเณรนิโครธ ก็เกิดพระศรัทธา ในพุทธศาสนาอย่างมาก จนถึงขนาด ทรงนำหลักธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า มาเป็นนโยบายในการปกครองไพร่ฟ้า ประชาราษฎร์ ซึ่งระบบนี้เรียกว่า ระบบธรรมาธิปไตย คือการถือเอาธรรมะเป็นใหญ่
และในสมัยต่อมา พระเจ้าอโศกก็ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป โดยพุทธวิหาร ที่โปรดให้สร้างขึ้นนั้น ที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่ มหาวิหารที่ชื่อว่า “อโศการาม” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ ส่วนพระสถูปเจดีย์นั้น โปรดให้สร้างขึ้นถึง 84,000 องค์ และเมื่อพระสถูปเจดีย์ได้สร้างสำเร็จ สมพระราชประสงค์แล้ว พระเจ้าอโศกก็จึงได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า จะสามารถหาพระบรมสารีริกธาตุ แต่ที่ใดมาบรรจุ ในพระสถูป ให้ถ้วนทั่วทั้ง 84,000 องค์ พระภิกษุทั้งหลาย ถวายพระพรว่า “พวกอาตมาภาพเคยได้สดับสืบ ๆ กันมาว่า การกระทำพิธีฝัง พระบรมสารีริกธาตุ นั้นมีอยู่
แต่มิทราบว่าสถานที่กระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตินั้นอยู่ที่ไหน” เมื่อพระเจ้าอโศก ทรงทราบเช่นนั้น จึงรับสั่งให้รื้อทำลาย พระสถูปเจดีย์ใน เมืองราชคฤห์ เพื่อค้นหา พระบรมสารีริกธาตุ แต่ก็ไม่ทรงพบ จึงทรงรับสั่งให้ก่อขึ้นไว้เป็นปกติดังเดิมแต่มีเรื่องน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น ตอนที่ไปขุดค้นหาพระบรมสารีริกธาตุ ที่รามคาม ปรากฎได้เกิดเหตุชนิดที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง คือหมู่นาค ไม่ยอมให้รื้อทำลายพระเจดีย์ โดยบันดาลทำให้ จอบเสียม สิ่ว ขวาน แตกหัก เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ไม่สามารถขุดรื้อได้ดังใจปรารถนา
ในเมื่อการค้นหาพระบรมสารีริกธาตุไม่พบ ดังพระราชประสงค์ พระองค์จึงเสด็จนิวัติสู่กรุงราชคฤห์อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้าร่วมประชุม แล้วจึงตรัสถามว่า “ใครเคยได้ยิน มาบ้างว่า มีการกระทำพิธีฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ ที่ ไหน” ในที่ประชุมนั้น ปรากฎว่า มีพระมหาเถระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง อายุ 120 ปี บอกว่าสมัยที่มีอายุได้ 7 ขวบนั้น พระมหาเถระ ผู้เป็นบิดา ได้เคยพาท่านไปบูชาสถูปศิลาองค์หนึ่ง และสั่งย้ำว่า จงจำสถานที่นี้เอาไว้ให้ดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ที่นั่น จะเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุหรือไม่
เมื่อพระเจ้าอโศกได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ดำริว่า ที่นั้นชะรอยจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเป็นแน่แท้ จึงมีรับสั่ง ให้พระมหาเถระนำเสด็จไปยังสถานที่แห่งนั้น เมื่อขุดลงไปก็ปรากฎว่าได้พบพระบรมสารีริกธาตุจริง ๆ ทำให้ พระเจ้าอโศก ทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่งเมื่อกลับมาถึงเมืองปาฏลีบุตรแล้ว ก็ได้ทรงกระทำสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุโดยวิธีอเนกประการ หลังจาก ทรงทำพิธีสักการะบูชาเสร็จ พระองค์ก็ทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ทั้ง 84,000 แห่ง ทั่วชมพูทวีป
เมื่อได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ทั้งหลายทุก ๆ พระนครเสร็จแล้ว ต่อจากนั้น จึงทรงรับสั่ง ให้ก่อสร้าง พระมหาสถูปองค์ใหญ่ขึ้นใหม่องค์หนึ่ง มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์ ประดับประดาด้วยแก้วต่าง ๆ และแสงแห่งแก้วเหล่านั้น ก็สว่างรุ่งเรืองประดุจเขาไกรลาศ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้กับ กรุงปาฏลีบุตร นั่นเอง ครั้นสร้างเสร็จแล้ว จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เหลืออยู่ 1 ส่วน ไปบรรจุไว้ในกาลต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราช มีพระราชประสงค์ ที่จะทำาการฉลองพระสถูปเจดีย์ เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จึงนำความไปปรึกษากับหมู่สงฆ์ ซึ่งมีพระโมคคัลลีบุตรเถระเป็นประธาน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ พร้อมกับ พระภิกษุสงฆ์ ผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย ได้เล็งญาณดูแล้วเห็นว่า ในการทำพิธีฉลองครั้งนี้จะมีพญามาร มาทำลายพิธี จึงได้ทำการเฟ้นหาพระเถระ ผู้มีฤทธิ์ที่จะมาทำการป้องกันภัย อันจะพึงเกิด ขึ้นในครั้งนี้
แต่ปรากฎว่า ไม่มีผู้ใดที่สามารถจะทำการนี้ได้ จะเห็นมีอยู่ก็แต่ ท่านอุปคุต ซึ่งไปเนรมิตปราสาทแก้ว 7 ประการ จำพรรษาอยู่ในท้องมหาสมุทร เพื่อหลบหนีความวุ่นวาย โดยท่านไปนั่งเข้าฌาณสมาบัติ อยู่บนรัตนบัลลังค์ใน ท่ามกลางปราสาทแก้วนั้น โดยไม่ได้ฉันภัตตาหาร มาเป็นเวลานาน พระอุปคุตนี้แหละ หากได้นิมนต์มา ก็จะสามารถ ปราบพญามารได้ จึงตกลงใจที่จะไปนิมนต์พระอุปคุตมา สำหรับการไปนิมนต์ครั้งนั้นก็ได้มอบหมาย ให้พระภิกษุ ผู้มีฤทธิ์ ได้อภิญญาสมาบัติ 2 รูป เป็นผู้ไปนิมนต์
เมื่อไปถึงที่อยู่ของท่านอุปคุต และได้แจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบ ท่านก็ไม่ได้แสดงความขัดข้องแต่ประการใด บอกให้พระภิกษุที่ไปนิมนต์กลับมาก่อน แล้วท่านจะตามมาทีหลัง แต่ที่ไหนได้ …พอพระภิกษุที่ไปนิมนต์กลับมาถึง ก็เห็นท่านอุปคุตมาถึงก่อนแล้ว….นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์อันน่าอัศจรรย์ของท่านพระอุปคุต
ก่อนที่จะถึงกำหนดการฉลองพระสถูปเจดีย์ พระเจ้าอโศกต้องการจะดูตัวว่าพระเถระไหนหนอ ที่จะมาทำหน้าที่ ป้องกันภัย จากพญามาร พอประธานสงฆ์ชี้ให้ดูว่ารูปนี้ไง ที่จะเป็นผู้ทำหน้าที่ป้องกันภัยจากพญามาร พระเจ้าอโศก ก็ชักไม่ค่อยเชื่อใจ เพราะรูปร่างของพระอุปคุตนั้นผอมมาก จะทำการป้องภัยจากพญามารผู้มีฤทธิ์มากได้อย่างไร ในเมื่อไม่เชื่อก็ต้องทดสอบวิธีการทดสอบของพระเจ้าอโศกก็คือ ในตอนเช้า ขณะที่ท่านอุปคุตเข้าไปบิณฑบาตรในพระราชนิเวศน์ พอออกมา ก็ให้ปล่อยช้างตกมันเพื่อจะทดลองกำลังฤทธิ์ของท่านพระอุปคุตว่า จะสู้กับช้างของพระองค์ได้หรือไม่ เพราะถ้าหาก ต่อสู้กับช้างไม่ได้แล้ว ไฉนเลยจะต่อสู้กับพญามารได้ และแล้ว พระเจ้าอโศกก็ได้เห็นประจักษ์ เมื่อช้างตกมันได้วิ่งไปหมายจะบดขยี้ท่านพระอุปคุต…แต่ช้างนั้นต้องพลัน ชะงักงันหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง ร่างกายด้วยอำนาจฤทธิ์ของท่านอุปคุต
พระเจ้าอโศกเห็นดังนั้น จึงได้เข้าไปขอขมาต่อท่านพระอุปคุต ที่ได้ทำการลองดี ท่านอุปคุตก็ได้คลายฤทธิ์ ทำให้ช้างนั้น สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และกลับไปสู่โรงช้างอันเป็นที่อยู่ของตน เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้พระเจ้าอโศก มีความมั่นใจในฤทธานุภาพของท่าน พระอุปคุตว่าจะสามารถ ป้องกันภัยจากพญามารได้และแล้ววันสำคัญก็มาถึง นั่นคือวันที่จัดให้มีการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์พระเจ้าอโศกพร้อมด้วยข้าราช บริพาร และประชาขนได้พร้อมใจกันจัดเครื่องบูชาอย่างมโหฬาร ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีการจุดประทีป เป็นอเนกอนันต์ นับไม่ถ้วน จนทำให้บริเวณนั้นโชติช่วง มองดูแล้วสว่างไสวคล้ายเวลากลางวัน ขณะที่ทุกคนกำลังปีติอยู่กับ การบูชาพระมหาเจดีย์ นั้น เหตุการณ์ที่ใครๆ ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น คือได้เกิดลมพายุใหญ่พัดมา ชนิดที่ไม่มีเค้ามาก่อนเลย
ท่านพระอุปคุตเห็นดังนั้น ก็จึงได้ใช้ฌาณอภิญญาตรวจดูเหตุที่ทำให้เกิดพายุใหญ่ ก็จึงได้ทราบว่า ที่แท้เป็นเพราะอำนาจ แห่งพญามารที่หวังจะมาทำลายพิธีนี่เอง ในเมื่อรู้ชัดเช่นนั้นแล้ว ท่านพระอุปคุตก็ไม่รอรี รีบใช้ฤทธิ์ปัดเป่า ให้พายุใหญ่ของพญามาร อันตรธานหายไปในบัดดลเมื่อพญามารเห็นว่าใช้พายุใหญ่เพื่อทำลายพิธีไม่ได้ผล ก็รู้สึกโกรธแค้น จึงใช้วิธีการอย่างอื่น ๆ แต่ท่านพระอุปคุต ก็สามารถจะเอาชนะได้ทุกอย่าง จนผลที่สุด พญามารก็ได้ถูกพระอุปคุตปราบ โดยวิธีเนรมิตซากสุนัขเน่า ซึ่งมีกลิ่นเหม็น คละคลุ้ง และเต็มไปด้วยหมู่หนอนมองดูแล้วน่าขยะแขยง แล้วเอาผูกติดไว้ที่คอของพญามาร ผูกไม่ผูกเปล่า พระอุปคุตยังได้อธิษฐานจิตลงไปอีกว่า “ไม่ว่าเทพยดา พรหมหรือใครก็ตาม ถ้าจะแก้ ก็ขอให้แก้ไม่ออก”
พญามารพยายาม จะแก้เอาซากสุนัขนั้นออกจากคอของตนแต่ก็จนปัญญา ไม่สามารถจะแก้ออกได้ จึงจำใจ ต้องไปไหว้วอนท้าวจาตุมหาราช ให้ช่วยแก้ให้ แต่ท้าวจาตุมหาราชก็ไม่สามารถจะช่วยได้ พญามาร จึงขึ้นไปขอร้องเทพยดา ในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปอีก จนถึงชั้นพรหม แต่ก็ได้ผลอย่างเดิมคือไม่มีใครช่วยได้ในที่สุดก็กลับไปอ้อนวอนขอร้องท่านพระอุปคุตให้ช่วยแก้ให้ เพราะมีท่านอุปคุตเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถ จะช่วยแก้ให้ได้ แต่ก่อนจะแก้ให้ ท่านพระอุปคุตก็ได้สั่งให้พญามารไปทีภูเขา แล้วจึงตามไปแก้ให้ เมื่อแก้ให้แล้ว ท่านพระอุปคุตพิจารณาเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยไปตอนนี้ พญามารอาจจะไปรังควาญ การทำพิธีของพระเจ้าอโศกอีก ก็จึงได้มัดพญามาร ไว้ที่ภูเขา บอกว่ารอให้พิธีฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกผ่านพ้นไปเสียก่อนแล้วจึงจะมาแก้มัดให้
พญามารจึงเป็นอันต้องถูกผูกมัดติดกับภูเขาเป็นการประจานด้วยโทษฐานเป็นผู้ มีใจบาปคอยขัดขวาง และทำลายการทำความดีของผู้อื่น เมื่องานฉลองพระสถูปเจดีย์ผ่านพ้นไป ท่านพระอุปคุตก็ได้ไปยังภูเขา เพื่อจะไปปลดปล่อยพญามารตามสัญญา เมื่อไปถึง แทนที่พระอุปคุตจะแสดงตัวให้พญามารได้เห็น ท่านก็กลับซ่อนเร้นอยู่ทางเบื้องหลัง เพื่อว่าจะฟังว่า พญามารจะว่ากล่าวอย่างไรบ้างพญามารเมื่อละพยศหมดความดุร้ายแล้ว ก็ได้หวนระลึกไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในวันที่พระองค์จะตรัสรู้นั้น ตนได้เคยไปรังควาญต่าง ๆ นานา แต่ทว่าพระองค์ก็ไม่เคยโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย พญามารรู้สึกสำนึก ถึงโทษ ที่ตัว ได้กระทำ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเลื่อมใสในคุณของพระพุทธเจ้า จึงได้เปล่งวาจาอุทานออกมาว่า “ถ้า
หากข้าพเจ้า มีกุศลที่ได้เคยสร้างสมไว้แล้ว ดังที่พระผู้มี่พระภาคเจ้า ทรงบำเพ็ญบุญมารมีไว้ เพื่อการตรัสรู้ ในอนาคตกาล ฉันใด ก็ขอให้ข้าพเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ และกระทำ ประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงในสากลโลก”เมื่อพญามารได้เปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิจบลง ท่านพระอุปคุต ก็ได้แสดงกาย ให้ปรากฎแล้วเดินเข้าไปแก้มัดให้ ในทันที ต่อจากนั้นท่านก็ได้ให้โอวาทแก่พญามาร ให้ละจิตอันเป็นบาปเสีย อย่าได้กระทำกรรม อันหยาบช้า ต่อไปอีกเลย และนับตั้งแต่นั้นมา พญามารก็มีจิตอ่อนน้อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่มีความดุร้าย เหมือนดังแต่ก่อน นี่เป็นเพราะฤทธานุภาพของท่านพระอุปคุตโดยแท้
จึงทำให้พญามารได้ละพยศหมดความดุร้าย และกลับใจมาปรารถนาพุทธภูมิบางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พญามารจึงไม่ได้สำนึก ทำไมมาได้สำนึก ในสมัยของพระอุปคุต เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่ว่า พระอุปคุต กับพญามาร เคยเป็นคู่ปรับกันมา และพระพุทธเจ้า ก็เคยพยากรณ์ไว้แล้ว ว่า หลังจากพระองค์ดับขันธ์ไปแล้วจะมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์รูปหนึ่ง เป็นผู้มาปราบพญามารตนนี้ตรงนี้แหละ จึงเชื่อกันว่า อุปสรรคใด ๆ จะไม่ยิ่งไปกว่าพญามาร เมื่อพระอุปคุตสามารถปราบพญามารได้ มารอื่น ๆ ย่อมไม่มีฤทธิ์เหนือพญามาร ผู้ที่ต้องการชนะอุปสรรค ชนะมารที่มาผจญชีวิต หรือธุรกิจการค้าขายของตน ก็มักบูชาพระอุปคุตอยู่เป็นประจำ
ขอขอบคุณ http://www.phuketvariety.com/buddhis...thom/index.htmที่มา http://board.palungjit.com/f17/กำเนิด-ประวัติ-เรื่องราวความเป็นมา-พระอุปคุต-คัมภีร์ปฐมสมโพธิ์-159668.html
ยกเครดิตนี้ให้คุณ ratree ครับ 