ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลังพ.ศ. 2400 คนล้านนาเรียกตัวเองว่า “คนเมือง” แต่ก่อนหน้านั้นทำไมเรียกว่า "ลาว"  (อ่าน 877 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ประตูเชียงใหม่ ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2442 (ภาพจาก "ชื่อบ้านนามเมืองเชียงใหม่มาจากไหน.?")


หลัง พ.ศ. 2400 คนล้านนาเรียกตัวเองว่า “คนเมือง” แต่ก่อนหน้านั้นทำไมเรียกว่า “ลาว”

เมืองเชียงใหม่อยู่ในฐานะเมืองประเทศราชของกรุงสยาม ที่มีพรมแดนทางตะวันตกติดกับพม่า สืบมาจนราวหลัง พ.ศ. 2400 เมื่ออังกฤษยึดครองพม่าเป็นอาณานิคมได้หมดแล้ว ก็เริ่มเกิดความขัดแย้งกรุงสยามกับอังกฤษ ทั้งเรื่องเมืองเชียงใหม่และเรื่องอื่นๆ ทำให้กรุงสยามต้องปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปกครองอย่างต่อเนื่องมาอีกนานจนเป็นจังหวัดเชียงใหม่ สืบมาจนทุกวันนี้

คนกรุงเทพฯ ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รู้จักเมืองเชียงใหม่และเมืองอื่นๆ ในล้านนา นามลาวพุงดำบ้าง ลาวเฉียงบ้าง นอกจากรู้ด้วยตนเองแล้วยังรู้ผ่านวรรณคดีและการแสดง เช่น พระลอ, ขุนช้างขุนแผน, สาวเครือฟ้า ฯลฯ

@@@@@@

ลาวเชียงใหม่

เมืองเชียงใหม่กลายเป็น “เมืองในอุดมคติ” เมื่อทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ตัดเชื่อมถึงเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2464 (ถึงเมืองลำปาง เมื่อ พ.ศ. 2459) ขณะนั้นชาวล้านนาเรียกตัวเองว่าลาว คนอื่นเรียกชาวล้านนาและเชียงใหม่ว่าลาว

เมื่อปฏิรูปการปกครองราว พ.ศ. 2435 สมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณล้านนาได้ชื่อเป็นลาวว่า มณฑลลาวเฉียง ครั้น พ.ศ. 2442 มีปัญหาทางการเมืองกับเจ้าอาณานิคม จึงให้ยกเลิกคำว่าลาว แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ แต่สำนึกของคนทั่วไปในภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ ยังเรียกคนเชียงใหม่และบริเวณล้านนาทั้งหมดเป็นลาว

ดังมีพยานในความนิยมละครเรื่องพระลอและสาวเครือฟ้า ฯลฯ ที่มีเพลงประกอบสำเนียงลาว (ล้านนา) รวมทั้งขุนช้างขุนแผน (แต่งขึ้นหลังรัชกาลที่ 2) บอกว่านางวันทองเรียกนางลาวทอง (จากเมืองเชียงทอง ใกล้ๆ เมืองเชียงใหม่และลำพูน) ว่า  “อีลาวชาวดอนค่อนเจรจา กินกิ้งก่ากิ้งกบกูจะตบมึง”

แต่เมืองเชียงใหม่และล้านนาทั้งหมดก็ไม่ได้มีแต่ลาวพวกเดียว หากมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อีกมาก

ขอให้สังเกตด้วยว่าขุนช้างขุนแผนตั้งแต่ต้นจนจบ (สำนวนเก่า) แม้แต่งเพิ่มติม (สำนวนใหม่) ในสมัยหลังๆ ล้วนมีโครงเรื่องหลักเหตุการณ์เดียวกันทั้งหมด คือสงครามระหว่างอยุธยากับเชียงใหม่


@@@@@@

ล้านนาเป็นลาว

ความเป็นล้านนาเกิดขึ้นแท้จริงเมื่อราว พ.ศ. 2000 ในแผ่นดินพระเจ้าติโลกราช ทรงได้รับยกอย่องเป็นมหาราชล้านนา

ชาวล้านนาเรียกตัวเองว่า ลาว และไม่เคยเรียกอย่างอื่นนอกจากลาว แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นนาย มีฐานะเทียบคำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลางว่า ขุนและกษัตริย์ ดังเห็นทั่วไปในคำนำหน้านามเจ้านายเชื่อวงศ์ปกครองบ้านเมืองเก่าแก่ในตำนานพงศาวดาร เช่น ลาวเจือง (คือ ท้าวเจือง ท้าวฮุ่ง) ลาวเมง (คือ บิดาพระยามังราย) ฯลฯ แต่ก็มีชาติพันธุ์อื่นๆ อยู่ด้วย เช่น มอญ (เมง) พม่า (ม่าน) ไทยใหญ่ (เงี้ยว) ฯลฯ

ดังโคลงนิราศหริภุญชัย (วรรณกรรรมสมัยอยุธนา เล่ม 2 กรมศิลปากรชำระและพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2530) บทหนึ่งว่า

สุญารามหนุ่งหั้น   บุญเลง
ที่รูปไททังเมง   ม่านเงี้ยว
ถือลาดาบกับเกวง   สกรรจ์แก่น คนแฮ
ช้างฉวาดพันเกล้าเกลี้ยว   แกว่นสู้สงครามฯ

โคลงบาทที่สองว่า “ไททังเมง ม่านเงี้ยว” มีคำว่า ไท ไม่ได้หมายถึงคนไทยอย่างทุกวันนี้ หากเป็นศัพท์แปลว่า คน (เฉยๆ) ข้อความวรรคนี้หมายความว่า มีคนทั้งเมงม่านและเงี้ยว (ไม่ได้หมายถึงคนไทย)

@@@@@@

คนเมือง

อาจารย์อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว ผู้เชี่ยวชาญภาษาล้านนา อ้างว่าไม่พบคำว่า “คนเมือง” ในเอกสารโบราณของล้านนา และอาจารย์สรัสวดี อ๋องสกุล ผู้เขียนประวัติศาสตร์ล้านนาปัจจุบัน ก็ยังได้ยืนยันว่าคำว่า “คนเมือง” เพิ่งจะปรากฏเป็นครั้งแรกในรายงานของกรมหมื่นพิชิตปรีชากร ข้าหลวงพิเศษฝ่ายลาวเฉียง (ดูแลเมืองลำพูนและลำปางระหว่าง พ.ศ. 2427-28)

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า คำว่า “คนเมือง” คงจะเป็นคำที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาในสมัยหลังการปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ 5 หลัง พ.ศ. 2400 นี่เอง

หลังเปลี่ยนชื่อ ประเทศสยาม เป็น ประเทศไทย (Thailand) เมื่อ พ.ศ. 2482 ชาวเชียงใหม่และคนในล้านนาทั้งหมดที่มีหลายชาติพันธ์ก็ถูกบังคับให้เป็น “คนไทย” ตามชื่อประเทศไทย สืบจนปัจจุบัน ชื่อล้านนาก็ถูกเติมคำว่า ไทย ต่อท้ายเป็นล้านนาไทย



ที่มา : ชื่อบ้านนามเมือง จังหวัดเชียงใหม่มาจากไหน
ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่: วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2563
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 กรกฎาคม 2562
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/history/article_35749
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 11, 2020, 07:05:53 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ