ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อโศกมหาราช กับจุดเปลี่ยนที่พระองค์นับถือพุทธ ล้างพระนาม “อโศกผู้โหดเหี้ยม”  (อ่าน 450 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28565
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ภาพประกอบเนื้อหา - ขบวนของพระเจ้าอโศกบนสถูปสาญจี (Sanchi) ภาพโดย Anandajoti Bhikkhu จาก https://www.flickr.com/people/64337707@N07 (CC 2.0)


อโศกมหาราช กับจุดเปลี่ยนที่พระองค์นับถือพุทธ ล้างพระนาม “อโศกผู้โหดเหี้ยม”

คอลัมน์ย่ำค่ำวันศุกร์เคยเล่าเรื่องอเล็กซานเดอร์มหาราช (พ.ศ. 207-217) และพระราชามินานเดอร์ หรือพระยามิลินท์ (พ.ศ. 363-383) ไว้ในศิลปวัฒนธรรมฉบับก่อนๆ ว่าท่านทั้งสองมีพระชนมชีพอยู่ในชมพูทวีป ในช่วงต้นๆ จึงสมควรอย่างยิ่งจะต้องกล่าวถึงอโศกมหาราชผู้มีพระชนมชีพอยู่ในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน คืออยู่ในห้วงปี พ.ศ. 218-260

เรารู้จักอโศกมหาราชในอีกพระนามหนึ่งว่า ธรรมาโศก (อโศก ผู้ทรงธรรม) หรือศรีธรรมาโศกราช อโศกมหาราช เป็นพระราชาองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์โมริยะ (Maurya) ครองราชสมบัติ ณ นครปาฏลีบุตร ในห้วงปี พ.ศ. 218-260 ทรงเป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชมพูทวีป และทรงเป็นองค์เอก อัครศาสนูปถัมภกที่สําคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา

พระประวัติของอโศกมหาราชโดยพิสดารนั้นชวนให้เข้าใจว่าทรงมีเชื้อสายสืบต่อมาจากศากยวงศ์ คือ วงศ์ของพระพุทธเจ้าที่ถูกทําลายด้วยความแค้นของพระราชาวิฑูฑะภะแห่งแคว้นโกศล ทําให้พระญาติที่หลุดรอดจากการทําลายแตกหนีไปจํานวนมากนั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เฉลียวฉลาดนามว่าจันทรคุปต์ ได้รวบรวมผู้คนเข้าด้วยกับกองทัพอเล็กซานเดอร์มหาราช

แต่ต่อมาเกิดผิดใจกันและจันทรคุปต์ถูกจับ แต่ก็หนีมาตั้งกองทัพใหม่เป็นอิสระได้ ให้พอดีอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทัพกลับกรีก แต่ไม่ถึงกรีกด้วยสวรรคตเสียก่อนที่เมืองบาบิโลน จึงเป็นโอกาสดีของจันทรคุปต์ ได้รวบรวมผู้คนมากพอและสถาปนาราชวงศ์โมริยะขึ้น และจัดทัพเข้ายึดนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธได้ แต่ได้ย้ายราชธานีใหม่ไปอยู่เมืองปาฏลีบุตร


@@@@@@@

กว่าจะยึดราชคฤห์ได้และสถาปนาปาฏลีบุตรเป็นราชธานีนั้น มีเกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆ เชิงยุทธศาสตร์ที่แยบยลอย่างหนึ่งในการขยายอาณาจักรของราชวงศ์โมริยะให้กว้างขวางขึ้นอย่างชาญฉลาด เรื่องมีอยู่ว่าขณะที่พระราชาจันทรคุปต์ยังมีกองทัพไม่เข้มแข็งมากนัก และซ่องสุมผู้คนหลบซ่อนกองทัพใหญ่ของข้าศึกที่แข็งแรงกว่านั้น

วันหนึ่งทรงได้ยินแม่ผู้หนึ่งสอนลูกกินขนมเบื้องว่าให้กัดกินจากริมไปทีละเล็กละน้อยก่อนจะเข้าไปกินตรงกลางเพราะถ้ากัดตรงกลางทันทีก็ย่อมจะร้อนต้องคายทิ้ง “มึงมันลูกโจร จันทรคุปต์ ยังมีกองกําลังไม่แก่กล้าก็โหมเข้าตีเมืองใหญ่ ย่อมต้องพ่ายแพ้แน่นอน ก็เหมือนถึงโลกกล้ากัดขนมเบื้องตรงกลางที่กําลังร้อน แทนที่จะ ค่อยๆ เต็มตีเมืองเล็กไปก่อน”

จันทรคุปต์ได้ยินแม่ผู้นั้นด่าลูกและพาดพิงถึงตนก็ได้คิด แต่ไม่ได้โกรธเคืองอะไร โดยปรับปรุงการรบเสียใหม่ จนชนะคู่ต่อสู้และยึดราชคฤห์ได้ และคู่ศึกต่อมาก็คือพระราชาเซลอยโกส ขุนพลดั้งเดิมของอเล็กซานเดอร์มหาราช เชื้อสายกรีกผู้ครองแคว้นคันธารราฐ ที่ยอมหย่าทัพและยอมยกราชธิดาให้พระราชาจันทรคุปต์ด้วย

พระราชาจันทรคุปต์องค์นี้ คือต้นราชวงศ์โมริยะ และเป็นสมเด็จปู่ของอโศกมหาราช เมื่อพระราชาจันทรคุปต์สวรรคต พระราชาพินทุสาร พระโอรสได้ครองราชย์ต่อมา ทรงขยายราชอาณาจักรกว้างขวางมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

อโศกมหาราชเป็นโอรสที่พระบิดาโปรดปราน ได้เป็นอุปราชและได้ครองเมืองอุชเชนี แห่งแคว้นอวันตี (อุชเชนีอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนครราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นเมืองที่คาร์ล เจลเลอรุพ สมมุติให้เป็นเมืองของกามนิตในวรรณกรรมเรื่องวาสิฏฐี)

@@@@@@@

เมื่อพระบิดาคือพระราชาพินทุสารสวรรคต อโศกมหาราชทรงได้ราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ. 270 ทรงพระนามว่า พระราชาอโศกปิยทัสสี (ครองราชสมบัติ 41 ปี สวรรคตเมื่อ ปี พ.ศ. 311)

เมื่อครองราชสมบัติก็ทรงเจริญรอยตามพระบิดาคือขยายพระราชอาณาจักร โจมตีแคว้นต่างๆ ให้มายอมอยู่ในพระอํานาจ แคว้นสําคัญคือกะลิงคะซึ่งอยู่ตอนใต้แคว้นมคธ สงครามที่นี่สู้รบกันดุเดือดที่สุดและโหดร้ายที่สุด แม้อโศกมหาราชจะเป็นผู้ชนะแต่ก็สูญเสียไพร่พลมหาศาล สําหรับกะลิงคะแล้วไม่ต้องพูดถึง ไพร่พลล้มตาย สูญหายและถูกจับเป็นเชลยมากกว่ามาก

วิบัติแห่งสงครามครั้งนี้ ทําให้อโศกมหาราชทรงเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่งและหันมานับถือพระพุทธศาสนาโดยทันที ทรงเจริญศีล ละเว้นปาณาติบาตอย่างเคร่งครัด กับอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง โดยจัดสร้างวัดหรือวิหารถึง 84,000 แห่ง ซึ่งปรากฏอยู่ทุกแคว้นทุกเมืองในชมพูทวีป ประหนึ่งว่าจะลบพระนามอโศกผู้โหดเหี้ยม (จัณฑาโศก) ให้เลือนหายไปด้วย เคยกระทําการฆ่าพี่น้องไม่น้อยกว่าร้อยองค์เพื่อขึ้นครองราชสมบัติแต่ผู้เดียว

ต่อเมื่อพลิกกลับพระทัยมานับถือพุทธศาสนาจึงได้พระนามใหม่ว่าธรรมาโศกหรืออโศกผู้ทรงธรรมและรู้จักกันทั่วไปอีกพระนามหนึ่งว่าศรีธรรมาโศกราช ทรงเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงด้วยธรรมพิชัย (ชัยชนะโดยธรรม) ทรงประกาศพุทธศาสนาขึ้นเป็นประธานสําหรับประเทศ ยอมอุทิศพระองค์เป็นอุบาสกและทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ครั้งหนึ่งและเคยเสด็จไปนมัสการถึงสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งด้วย


@@@@@@@

อนึ่ง มีเรื่องเล่าว่าทรงได้พระสติเกิดแรงจูงใจจากการได้สนทนากับสามเณรน้อยองค์หนึ่งนามว่านิโครธะ ผู้มีท่าที่อันสงบ สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถสมณสารูป สามเณรน้อยองค์นี้แท้จริงเป็นพระญาติสนิทที่รอดพ้นจากการถูก เข่นฆ่าครั้งเมื่อแย่งชิงราชสมบัติ

ภารกิจหลักที่ทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนา มี 3 อย่าง คือ การสร้างพุทธเจดียสถาน การสังคายนาพระธรรมวินัยและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ

อย่างแรกนั้นคือให้สร้างสถูปบรรจุพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ในที่ต่างๆ ทั้งในอินเดียและลังกาทวีป อย่างที่ 2 นั้น ทรงให้ทําตติสังคายนาที่นครปาฏลีบุตรอีกครั้งหนึ่งเพื่อกลั่นกรองพระธรรมวินัยให้ตรงตามวาทะของพระอริยสาวก ครั้งเมื่อทําปฐมสังคายนา ส่วนประการสุดท้ายคือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ เช่น คันธาระประเทศ (อัฟกานิสถาน) เปอร์เซีย ลังกาทวีป (ศรีลังกา) และสุวรรณภูมิประเทศ เป็นต้น

กล่าวสําหรับหลักศิลาเสาอโศก (จารึกธรรมโองการ) อันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเสาหินสูง ประดับยอดเสาด้วยรูปสิงห์ 4 ตัวทูนธรรมจักรปรากฏทั่วราชอาณาจักรที่ขุดค้นได้มี 12 แห่ง โดยเฉพาะที่สารนาถปฐมเทศนา เป็นเสาศิลาที่สง่างาม สําคัญและรู้จักกันมากที่สุด

@@@@@@@

สิงห์ทั้งสี่ดังกล่าวนั้น ท่านอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) อธิบายว่าหมายถึงพระราชอํานาจของอโศกมหาราชที่แผ่ไปทั่ว ทั้ง 4 ทิศ

สิงห์ทูนธรรมจักรนั้น มีความ หมายว่าอํานาจรัฐถือเป็นธรรมใหญ่ เชิดชูบูชาธรรมและหนุนการแผ่ขยายธรรมไปทั่วทิศทั้งสี่

สิงห์ทูนธรรมจักรยอดเสาศิลานี้ รัฐบาลอินเดียครั้งได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2490 ได้ใช้เป็นตราสัญลักษณ์ตรงกลางผืนธงชาติเป็นตราแผ่นดินตราบจนปัจจุบันนี้

ยังมีพระราชกรณียกิจในฐานะองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกที่สําคัญที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนาของอโศกมหาราชอีกมากกว่ามากที่มิได้กล่าวถึงในบทความนี้ แฟนศิลปวัฒนธรรมสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสืออย่างน้อย 3 เล่ม ดัง ต่อไปนี้

- กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ตํานานพระพุทธเจดีย์, ศิลปาบรรณาคาร, 2513.
- นวม สงวนทรัพย์ (พ.อ. พิเศษ) พระเจ้าอโศกมหาราช. มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2543
- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), จารึกอโศก. ผลิธัมม์ 2552.



ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2555
ผู้เขียน : ส.สีมา
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2563
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/history/article_42955
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ