ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระแก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้าง ถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ (๑) ตอนที่ ๑.  (อ่าน 2651 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


(ซ้าย) พระแก้วมรกต ถูกอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนหลังช้าง เคลื่อนขบวนจากเชียงรายไปเชียงใหม่ (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดหงส์รัตนาราม) (ขวา) พระเจ้าอนุรุทธทูลขอ พระแก้วมรกต จากพระเจ้ากรุงลังกา (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดหงส์รัตนาราม)

พระแก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้าง ถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ (๑) ตอนที่ ๑.

เมื่อผู้เขียนอ่านตำนานพระแก้วมรกต ในศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ ที่รวบรวม “เอกสารอันเป็นหลักฐานที่แสดงความเป็นมาดั้งเดิมของพระแก้วมรกต…หลายสำนวน” จัดพิมพ์ขึ้นใหม่ ในโอกาสที่ศิลปวัฒนธรรมรายเดือนมีอายุขึ้นปีที่ ๒๕๒ ก็ได้เกิดคำถามหลายข้อขึ้นมาในใจ

พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ

ทำไมตำนานในล้านนาจึงพยายามเล่าว่า “พระแก้วมรกต” ไม่ได้ทำมาจาก “แก้วมณีโชติ” อันเป็นแก้วที่สำคัญที่สุดในบรรดาแก้วทั้งเจ็ดประการของพระจักรพรรดิราช? ทำไมพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงให้ความสำคัญแก่ “พระแก้วมรกต” มาก ถึงกับทรงเฉลิมพระนามราชธานีใหม่และพระนามพระอารามประจำพระบรมมหาราชวังให้สอดคล้องกับพระพุทธรูปพระองค์นี้?

ทำไมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเรียกว่า “พระมหามณีรัตนปฏิมากร” โดยตัดเรื่องพระอินทร์ไปขอแก้วมณีโชติไม่สำเร็จและต้องเปลี่ยนมาใช้ “แก้วอมรกต” แทนออกไปเสีย ทั้งๆ ที่ในคำบรรยายภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องตำนาน “พระแก้วมรกต” ณ วัดหงส์รัตนาราม ซึ่งสร้างในรัชกาลที่ ๔ นี้ ยังคงเรื่องราวตอนนี้เอาไว้๓ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในเวลานั้นเรื่องราวในตำนานที่มีมาแต่โบราณยังมิได้ถูกลืมเลือนไปแต่อย่างใด? และทำไมในที่สุดแล้วคนไทยจึงคิดว่า “พระแก้วมรกต” ทำมาจากแก้วที่มีมูลค่าสูง ตรงกันข้ามกับความคิดเดิมในตำนานฉบับล้านนาและฉบับหลวงพระบางที่เน้นความเป็นแก้วไม่มีราคา? ฯลฯ


พระอินทร์ขอแก้วมณีโชติจากราชากุมภัณฑ์ (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดหงส์รัตนาราม)

คำถามข้างต้นทำให้ผู้เขียนสร้างสมมุติฐานเบื้องต้นว่า ความหมายหรือความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” มิได้หยุดนิ่ง หากแต่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบท และเมื่อผู้เขียนได้ศึกษา “การเดินทางของพระแก้วมรกต จากล้านนาสู่ล้านช้างถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ” ก็พบว่าความหมายหรือความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” มีความเปลี่ยนแปลงในหลายช่วงเวลาด้วยกัน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของความหมายหรือความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” นี้ สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลึกซึ้ง

ดังนั้นการศึกษาประวัติศาสตร์การเดินทางของ “พระแก้วมรกต” จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของความหมายหรือความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นภาพรวมของความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตภาคพื้นทวีปได้ไม่น้อยอีกด้วย

ในที่นี้จะขอแบ่งประวัติศาสตร์การเดินทางและความหมายของ “พระแก้วมรกต” ออกเป็น ๕ ยุค เพื่อวิเคราะห์ความหมายของ “พระแก้วมรกต” ในแต่ละยุค ดังนี้

๑. ยุคที่ “พระแก้วมรกต” มีฐานะเป็น “แก้วมณีโชติ”

หากอ่าน “ตำนานพระแก้วมรกต” ที่ได้รับการเขียนขึ้น ในระหว่าง พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๐๗๑ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชินกาลมาลีปกรณ์ และเป็นตำนานฉบับแรกที่เล่าประวัติของ “พระแก้วมรกต” ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็จะเห็นถึงความพยายามของพระรัตนปัญญาเถระ พระภิกษุนักปราชญ์แห่งเชียงใหม่ ในการพรรณนาให้เห็นว่าเมื่อพระอรหันต์นาคเสนเถระคิดจะสร้าง “พระแก้วมรกต” ขึ้นนั้น พระอินทร์ได้เสด็จไปขอแก้วมณีโชติของพระจักรพรรดิราชมาจากพวกกุมภัณฑ์ซึ่งมีหน้าที่เฝ้าแก้วมณีโชติอยู่ เพื่อจะใช้ในการสร้างพระพุทธรูป แต่ทรงขอไม่สำเร็จ ต้องเปลี่ยนมาใช้ “แก้วอมรกต” (คือแก้วที่เทวดาสร้าง) แทน๔

ความพยายามที่จะปฏิเสธว่า “พระแก้วมรกต” ไม่ใช่แก้วมณีโชติ สะท้อนว่า ก่อนที่พระรัตนปัญญาเถระจะเขียนชินกาลมาลีปกรณ์ (คือก่อนปี พ.ศ. ๒๐๖๐) นั้น คงมีความเชื่อกันทั่วไปในล้านนาว่า “พระแก้วมรกต” ก็คือแก้วมณีโชติของพระจักรพรรดิราช มิฉะนั้นก็คงไม่มีความจำเป็นอันใดที่ผู้แต่งชินกาลมาลีปกรณ์ จะต้องบรรยายถึงความพยายามของพระอินทร์ (ท้าวสักกะเทวราช) ที่จะนำเอาแก้วมณีโชติของพระจักรพรรดิราชมาสร้างพระพุทธรูป

โดยเล่าว่าเมื่อพระอินทร์มีพระบรมราชโองการให้พระวิสสุกรรมไปขอแก้วมณีโชติ แล้วพระวิสสุกรรมกราบบังคมทูลว่า ราชากุมภัณฑ์คงจะไม่ยอมให้แก้วมณีโชติมาเป็นแน่ เนื่องจากเป็นเครื่องราชูปโภคของพระจักรพรรดิราช พระอินทร์ก็ถึงกับเสด็จไปขอด้วยพระองค์เอง แม้กระนั้นราชากุมภัณฑ์ก็หาได้ให้แก้วมณีโชติแก่พระอินทร์ไม่ แต่แนะนำให้ใช้แก้วอมรกต (ซึ่งมีความสำคัญน้อยกว่า) แทน

เพราะเหตุใดพระรัตนปัญญาเถระจึงต้องเขียนถึงความล้มเหลวในการขอแก้วมณีโชติ ผู้เขียนจะวิเคราะห์ต่อไปข้างหน้า



“พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย ดังที่อาจารย์ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “พระแก้วมรกต” เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย๕ เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต” นี้อาจจะได้แก่เมืองเวียงไชยซึ่งเป็นเมืองโบราณสำคัญเมืองหนึ่งใกล้กับเมืองเชียงราย เพราะเป็นบริเวณที่พบพระพุทธรูปหินทรายจำนวนหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับ “พระแก้วมรกต”๖ แต่เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปองค์นี้ จึงมีการเล่าและเขียนประวัติให้ “พระแก้วมรกต” เดินทางผ่านกาลเวลาอันยาวนานในโลกพระพุทธศาสนา เริ่มจากกำเนิด ณ เมืองปาฏลีบุตรในอินเดีย ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาช่วยพระอรหันต์นาคเสนในการสร้าง โดยได้ทรงเชิญ “พระวิสสุกรรม” ลงมาเป็นช่าง เมื่อสร้างเสร็จก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถึง ๗ องค์เข้าไปสถิตอยู่ในส่วนต่างๆ ขององค์พระรัตนปฏิมา หลังจากนั้นก็พรรณนาถึงการเดินทางของ “พระแก้วมรกต” จากอินเดียสู่ลังกา กัมโพช กำแพงเพชร แล้วจึงมาถึงล้านนา

พระแก้วมรกต ขณะมิได้ประดับเครื่องทรง

ตามตำนานนั้น “พระแก้วมรกต” เป็นที่ปรารถนาหรือได้รับการบูชาจากพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์สากลของพุทธศาสนาหลายพระองค์ด้วยกัน รวมทั้งพระเจ้าอนุรุทธแห่งอาณาจักรพุกามด้วย แต่กษัตริย์แห่งพุกามไม่เคยได้ “พระแก้วมรกต” ไปบูชาเลย เมื่อพระเจ้าอนุรุทธเสด็จไปอัญเชิญพระไตรปิฎกและ “พระแก้วมรกต” มาจากลังกานั้น บางตำนานเล่าว่าพระเจ้าอนุรุทธดีใจที่ได้พระไตรปิฎกจนลืม “พระแก้วมรกต”๗ แต่บางตำนานผู้เขียนคงต้องการเน้นความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” มากเกินกว่าจะเล่าว่าเป็นพระพุทธรูปที่ถูกลืม จึงเล่าไปในทำนองว่าเรือลำที่บรรทุกพระไตรปิฎกไปนั้นลอยไปพุกาม แต่เรืออีกลำหนึ่งได้นำ “พระแก้วมรกต” ลอยไปสู่พระนครหลวง (นครธม) ประหนึ่งว่าลอยไปด้วยบุญญานุภาพของ “พระแก้วมรกต” เอง๘ นัยยะของเรื่องนี้ก็คือ “พระแก้วมรกต” ไม่เคยประดิษฐานอยู่ในประเทศพม่าและคงไม่เป็นที่รู้จักในประเทศพม่า ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อกองทัพพม่าตีได้เมืองเวียงจันครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๑๐๖ นั้น ได้นำเอาเจ้านางคำไข เจ้านางแท่นคำ พระยานคร และเจ้าอุปราช ไปพม่า๙ แต่หาได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ไปไม่ “พระแก้วมรกต” จึงเป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันอย่างสูงในหมู่ชนชาติไท-ลาว แต่คงไม่เป็นที่รู้จักในพม่าแต่อย่างใด

อนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า แม้แต่คนไทยในพระราชอาณาจักรอยุธยาก็มิได้รู้จัก “พระแก้วมรกต” ดังที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่าพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาทั้ง ๓๓ พระองค์นั้น “หาได้พระพุทธรัตนปฏิมากรอันวิเศษพระองค์นี้ลงมาไว้ในพระนครไม่ แต่ข่าวคราวว่าพระแก้วมีอยู่ก็ไม่ได้ความว่าทราบมาเลย”๑๐

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบถึงความสำคัญของพระแก้วมรกตเป็นอย่างดี เมื่อได้ “พระแก้วมรกต” มาจากเวียงจันจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ดังปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับงานฉลอง “พระแก้วมรกต” ใน จดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์ว่า “การฉลองพระนี้ดูเจ้ากรุงธนบุรีเองจะสนุกมากกว่าคนอื่น”๑๑

ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าชนชั้นนำของราชอาณาจักรอยุธยาคงจะมีความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” อยู่แล้ว เมื่อเจ้าพระยาจักรีตีได้นครเวียงจันจึงได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” กลับมา และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิทรพิทักษ์เสด็จขึ้นไปรับถึงท่าเจ้าสนุก เมืองสระบุรี และพระองค์เองก็ “เสด็จขึ้นไปรับพระแก้วมรกฎ ณ พระตำหนักบางธรณี”๑๒ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เช่นนั้น

“พระแก้วมรกต” คงได้รับการสร้างขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ซึ่งเป็นเวลาที่เมืองสำคัญหลายเมืองในล้านนาเข้มแข็งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองพะเยา เชียงราย ลำปาง เชียงใหม่ น่าน เพราะในช่วงเวลานี้การค้าในภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขยายตัวมาก รวมทั้งการค้าทางบกในอาณาบริเวณภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบน อันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรล้านนาและล้านช้าง โดยมีเส้นทางการค้าทางบกเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงดินแดนเหล่านี้เข้าหากัน และมีเส้นทางการค้าเชื่อมโยงดินแดนแถบนี้กับตลาดสำคัญในสองภูมิภาคใกล้เคียง คือเมืองท่าชายฝั่งทะเลอันดามันซึ่งในเวลานั้นการค้าทางทะเลได้ขยายตัวขึ้นมาก และเมืองต่างๆ ในแถบยูนนาน ซึ่งจำนวนประชากรกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการอพยพเข้ามาของประชาชนจากเอเชียกลางและตอนกลางของจีน๑๓ ผู้ปกครองเมืองต่างๆ ในล้านนาและล้านช้าง มีรายได้จากการทำให้เมืองของตนเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ คือมีสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดที่จะดึงดูดพ่อค้าจากต่างถิ่น (ซึ่งอาจเป็นเจ้า ขุนนาง หรือตัวแทนการค้าของเจ้าและขุนนาง ตลอดจนพ่อค้าทั่วไป) ให้เดินทางเข้ามาค้าขาย


วัดพระแก้ว เชียงราย เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อน

เนื่องจากการค้าแบบโบราณต้องอาศัยการจัดตั้งกำลังคนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน และพ่อค้าบางคนก็อาจทำการปล้นสะดมในบางโอกาส (ถ้าเป็นการค้าทางเรือก็อาจเป็นทั้งพ่อค้าและโจรสลัดไปพร้อมกัน) และพ่อค้าที่มั่งคั่งและมีกำลังคนมากนี้เองที่จะสามารถตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์และพยายามขยายอำนาจออกไป โดยที่การทำสงครามก็คือการปล้นขนาดใหญ่นั่นเอง เพราะถ้ารบชนะก็จะทำการกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สิน และบังคับให้ส่งสินค้าไปให้เป็นรายปีที่เรียกเป็นศัพท์ว่าเครื่องราชบรรณาการ

อย่างไรก็ตามเมื่อพ่อค้าตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้านเมืองใดบ้านเมืองหนึ่ง จนมีลักษณะเป็นแคว้นหรือเป็นรัฐขนาดเล็กแล้ว ย่อมจะต้องสร้างสรรค์พิธีกรรมและประเพณีของความสัมพันธ์ทางสังคมที่จะทำให้เกิดระเบียบและความสงบสุขขึ้นมาในรัฐ เพื่อเอื้อให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น สามารถทำการผลิตและทำการค้าอย่างสะดวกและมั่นคงพอสมควร การขยายอำนาจก็มิได้ใช้อำนาจดิบคือกองทัพเสมอไป แต่อาจอาศัยการสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และการแสดงแสนยานุภาพให้ปรากฏเพื่อบีบบังคับให้ผู้ปกครองเมืองที่อ่อนแอกว่ายอมถวายบรรณาการ

ช่วงเวลาที่ “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนานี้ เป็นช่วงเวลาที่เมืองต่างๆ ในล้านนาเข้มแข็งขึ้นจากการขยายตัวของการค้า และต่างก็พยายามขยายอำนาจออกไปให้มากที่สุด เพื่อจะครอบครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (คือกำลังคน แหล่งผลิตสินค้า ตลาด และเครื่องราชบรรณาการ) เกิดเป็นอาณาจักร คือมีเมืองราชธานีเป็นศูนย์กลาง และมีเมืองที่อ่อนแอกว่าเป็นบริวาร แต่อาณาจักรในยุคแรกนี้รวมตัวกันอย่างหลวมๆ เท่านั้น ผู้ปกครองเมืองต่างๆ มักเป็นญาติกัน อาจโดยทางสายเลือดหรือโดยการแต่งงาน แต่การเป็นญาติกันก็ไม่เป็นหลักประกันว่าจะไม่แย่งอำนาจกัน หรือว่าจะช่วยให้รวมตัวกันได้มั่นคงเสมอไป

การแย่งชิงอำนาจกันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้แต่พระเจ้าติโลกราชก็แย่งอำนาจจากพระราชบิดา คือพระเจ้าสามฝั่งแกน โดยได้รับความช่วยเหลือจากขุนนางและพระปิตุลาซึ่งเป็นเจ้าครองนครลำปาง ส่วนพระไชยเชษฐาธิราชซึ่งในเวลาต่อมาได้ครองเชียงใหม่ก็หาได้กลับไปครองล้านช้างอย่างราบรื่นไม่ หลังจากที่พระโพธิสารราชพระราชบิดาสวรรคต ก็ต้องทำการแย่งชิงอำนาจจากพระอนุชาต่างพระมารดา และแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มากของล้านช้าง แต่ในที่สุดก็ถูกผู้อื่นแย่งชิงราชสมบัติไปเช่นกัน และทรงหายสาบสูญไปเมื่อมีพระชนมายุเพียง ๓๘ พรรษาเท่านั้น๑๔

ในท่ามกลางการเกิดอาณาจักรอย่างหลวมๆ และการช่วงชิงอำนาจกันเพื่อครอบครองผลประโยชน์ทางการค้าตลอดจนผู้คน ช้างม้า ทรัพย์สินเงินทองดังกล่าวข้างต้นนี้ พระพุทธศาสนาและ “พระแก้วมรกต” มีบทบาทอย่างมาก

ก่อนที่ลัทธิลังกาวงศ์จะเข้ามาในล้านนา พุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบหริภุญไชยมีอิทธิพลอยู่ในเมืองต่างๆ อยู่แล้ว ลัทธิลังกาวงศ์คงมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเหนือคณะสงฆ์มากขึ้น ดังปรากฏว่าเมื่อลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยมาถึงเชียงใหม่ในรัชกาลพญากือนา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์นิกายเดิมคือเถรวาทแบบหริภุญไชยนั้น ทำพิธีบวชใหม่ถึง ๘,๔๐๐ รูป๑๕ เมื่อพระสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์ใหม่ที่ไปบวชจากลังกาโดยตรงเดินทางมาถึงเชียงใหม่ในรัชกาลพระเจ้าติโลกราช พระองค์ก็ทรงอุปถัมภ์พระสงฆ์นิกายลังกาวงศ์ใหม่ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดป่าแดง เพื่อลดอิทธิพลของพระสงฆ์นิกายลังกาวงศ์เดิม โดยอ้างว่าวัดบุปผารามหรือวัดสวนดอก (นิกายลังกาวงศ์เดิม) ครอบครองทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งผิดหลักพระธรรมวินัย๑๖

นอกจากศาสนาพุทธนิกายลังกาวงศ์จะช่วยให้พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเหนือคณะสงฆ์มากขึ้นแล้ว ยังทำให้ทรงได้รับความเคารพเชื่อฟังจากประชาชน ด้วยการนำหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาสร้างความเชื่อร่วมกันในหมู่คนทั้งหลายในอาณาจักร และการแสดงออกให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีอายุครบห้าพันปีตามคติปัญจอันตรธาน รวมทั้งการเป็นผู้ครอบครองและปฏิบัติบูชาศาสนวัตถุและศาสนบุคคลอันเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชน เช่น พระพุทธรูปสำคัญ พระธาตุสำคัญ พระภิกษุสงฆ์สำคัญ ที่จะดึงดูดพุทธศาสนิกชนให้เดินทางมาสักการบูชาและทำบุญอยู่เสมอ ส่งผลให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นผู้นำในการดูแลรักษา และทรงเป็นประธานในพระราชพิธีบูชาพระพุทธรูปและพระธาตุเหล่านั้น ทั้งนี้โดยจะมีการแต่งตำนานเมืองและตำนานปูชนียสถานและปูชนียวัตถุที่เน้นการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์นำไปถ่ายทอดเพื่อสร้างความเลื่อมใสศรัทธาร่วมกันอีกด้วย

ในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และ ๒๑ แนวคิดสำคัญที่มาจากการตีความพระพุทธศาสนาซึ่งได้รับการเน้นในล้านนา อยุธยา และหลวงพระบาง คือแนวคิดเรื่องพระจักรพรรดิราช คือกษัตริย์ที่เป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย เนื่องจากได้ทรงขยายพระราชอำนาจออกไปโดยมีแก้วมณีโชตินำเสด็จไปในทิศต่างๆ จนกระทั่งทรงมีพระบรมเดชานุภาพเหนือเมืองทั้งปวง และทรงเป็นประธานในการจรรโลงธรรมะในเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าทรงบังเกิดในโลกมนุษย์

แนวคิดนี้เห็นได้ชัดเจนในพระนามของพระมหากษัตริย์ซึ่งแสดงถึงความเป็นใหญ่ในจักรวาล หรือความเป็นใหญ่ในไตรภูมิ เช่นพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา (พ.ศ. ๑๙๘๕-๒๐๓๔)๑๗ พระบรมไตรโลกนาถแห่งอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) และพระไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว (พ.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๒๒) กับพระยาหล้าแสนไตรภูวนาถ (พ.ศ. ๒๐๒๘-๒๐๓๘) แห่งหลวงพระบาง พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีบทบาทในการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจ-การเมืองและการอุปถัมภ์พุทธศาสนาเป็นอย่างมาก แนวคิดเรื่องจักรพรรดิราชตามคติพุทธศาสนาจึงสอดคล้องกับการขยายอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกษัตริย์เหล่านี้เป็นอย่างดี

“พระแก้วมรกต” เป็นพระพุทธรูปสำคัญในช่วงเวลาที่กษัตริย์เชื้อสายไท-ลาวทั้งหลายกำลังพยายามขยายอำนาจออกไปให้กว้างขวางที่สุด ทั้งโดยการทำสงครามระหว่างกันและการสร้างความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ในเวลานั้น “พระแก้วมรกต” เป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวที่ทำจากแก้ว จึงน่าจะเป็นความจงใจของผู้สร้างที่จะทำให้ “พระแก้วมรกต” มีความหมายในฐานะเป็น “แก้วมณีโชติ” ของพระจักรพรรดิราช (จนกระทั่งปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ จึงมีการสร้างพระพุทธรูปอื่นๆ ด้วยแก้ว ซึ่งก็เป็นเพียงพระพุทธรูปขนาดเล็กเท่านั้น)๑๘


๑ พระแก้วมรกตถูกอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนหลังช้าง เคลื่อนขบวนจากเชียงรายไปเชียงใหม่ (ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดหงส์รัตนาราม),  ๒ รัตนพิมพวงศ์ หรือตำนานพระแก้วมรกต ต้นฉบับตัวเขียนบนสมุดไทย,  ๓ พระเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตในสมัยพระเจ้าติโลกาช

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงมีพระประสบการณ์เกี่ยวกับพระพุทธรูปโบราณมามาก ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า “พระแก้วมรกต” น่าเป็นฝีมือช่างลาวในแถบเมืองเชียงแสน และผู้ครอบครอง “พระแก้วมรกต” ก็น่าจะเป็นผู้ที่มีอำนาจมากกว่ากษัตริย์พระองค์อื่นจนสามารถแผ่อาณาจักรได้ใหญ่โต ดังความว่า

เมื่อเปรียบเทียบไปโดยละเอียด ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือช่างลาวเหนือโบราณข้างเมืองเชียงแสน…แลถึงจะเป็นช่างที่เมืองลาวก็จะเป็นช่างดีช่างเอกทีเดียวมิใช่เลวทราม ด้วยเป็นของงามดีเกลี้ยงเกลาอยู่ไม่หยาบคาย…คงจะเป็นของท่านผู้มีบุญ เป็นเจ้าแผ่นดินเมืองของชนที่นับถือพุทธศาสนามากกว่าถือผีสางเทวดา…และมีบุญญานุภาพแข็งแรงมากกว่าเมืองใกล้เคียงโดยรอบคอบ และแผ่อาณาจักรได้โตใหญ่สมควรแก่เวลาเมื่อมนุษย์ยังไม่มีปืนใหญ่ปืนน้อยใช้ ๑๙

ด้วยเหตุที่เชื่อกันว่า “พระแก้วมรกต” เป็น “แก้วมณีโชติ” ของพระจักรพรรดิราชนี้เอง ที่ทำให้กษัตริย์ที่ต้องการเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์อื่นๆ ในล้านนา พยายามช่วงชิง “พระแก้วมรกต” มาครอบครอง

อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ประมาณว่า “พระแก้วมรกต” มาเชียงใหม่ราว พ.ศ. ๒๐๒๒-๒๐๒๕ ในรัชกาลพระเจ้าติโลกราช๒๐ ก่อนที่ “พระแก้วมรกต” จะได้รับการอัญเชิญมาประดิษฐานในเชียงใหม่ พระแก้วประดิษฐานอยู่ที่เชียงรายซึ่งเป็นเมืองสำคัญไม่น้อยไปกว่าเชียงใหม่ เพราะอาณาจักรล้านนาในยุคต้นนี้ เมืองที่เป็นศูนย์อำนาจหรือเป็นที่ประทับของกษัตริย์มิใช่มีแต่เชียงใหม่เมืองเดียว แต่มีหลายเมืองด้วยกัน ในสมัยที่พญาสามฝั่งแกนครองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๔) เป็นช่วงเวลาที่เชียงใหม่มีอำนาจมากขึ้น พระองค์คงจะทรงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าผู้ครองนครเชียงรายส่ง “พระแก้วมรกต” มาถวาย

“ตำนานพระแก้วมรกต” ทั้งฉบับที่เป็นส่วนหนึ่งของชินกาลมาลีปกรณ์ และฉบับที่มีชื่อว่ารัตนพิมพวงศ์ ซึ่งพระพรหมราชปัญญาเป็นผู้แต่ง เล่าไว้ตรงกันว่า ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน เข้าใจว่าในเวลานั้นเจ้าผู้ครองนครเชียงรายยอมอ่อนน้อมต่อพญาสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่แล้ว จึงต้องส่ง “พระแก้วมรกต” มาถวายพญาสามฝั่งแกน ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อพญาสามฝั่งแกนเกณฑ์ทัพจากเมืองต่างๆ อันได้แก่เชียงแสน ฝาง พะเยา เชียงของ ไปต่อสู้กับกองทัพฮ่อ (ซึ่งยกมาโจมตีล้านนา เนื่องจากเชียงใหม่นับตั้งแต่รัชกาลพญากือนาเป็นต้นมา ไม่ยอมส่งส่วยให้แก่ฮ่อ) ก็ปรากฏว่าเชียงรายถูกเกณฑ์ทัพไปรบกับฮ่อด้วย

อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่ามีกองทัพลำปางรวมอยู่ในรายชื่อเมืองที่ร่วมมือกับเชียงใหม่ในการทำสงครามกับฮ่อแต่อย่างใด๒๑ เป็นไปได้อย่างมากว่าในระยะนั้นลำปางซึ่งมีหมื่นโลกนครเป็นใหญ่สามารถมีอำนาจเป็นอิสระจากกษัตริย์เชียงใหม่ และปรากฏในเวลาต่อมาว่าหมื่นโลกนครได้สนับสนุนหลาน คือเจ้าลก โอรสองค์ที่หกของพระเจ้าสามฝั่งแกนซึ่งเกิดจากพระราชชายาซึ่งเป็นพี่สาวของหมื่นโลกนคร ให้ชิงราชสมบัติจากพระเจ้าสามฝั่งแกนจนได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทน๒๒ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจอันใดที่ “พระแก้วมรกต” จะถูกชิงไปยังนครลำปางในรัชกาลพระเจ้าสามฝั่งแกนนี้

เมื่อถึงรัชกาลพระเจ้าติโลกราช ซึ่งเสด็จจากเมืองยวมมาแย่งพระราชอำนาจจากพระราชบิดาที่เมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปางดังที่กล่าวมาข้างต้น พระองค์ทรงขยายอำนาจได้กว้างขวางกว่ากษัตริย์แห่งเชียงใหม่แต่ก่อน คือทรงได้แพร่และน่านไว้ในอำนาจของเชียงใหม่เป็นครั้งแรก แล้วยังได้รับบรรณาการจากเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ตลอดจนเมืองต่างๆ ของไทใหญ่และไทลื้อ อีกหลายเมือง๒๓

เข้าใจว่าในเวลาต่อมา คือหลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ประมาณสามสิบเศษ (คงเป็นเวลาที่หมื่นโลกนคร-พระปิตุลาของพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว) พระองค์ทรงได้ลำปางไว้ในอำนาจด้วย ลำปางจึงต้องส่ง “พระแก้วมรกต” มาถวาย ใน พ.ศ. ๒๐๒๒ พระเจ้าติโลกราชโปรดให้บูรณะพระเจดีย์หลวงเพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก และ “พระแก้วมรกต” คงจะเป็น “แก้วมณีโชติ” ของ “จักรพรรดิ” แห่งล้านนานับแต่นั้นเป็นต้นมา





เชิงอรรถ :-
๑. เรื่อง “พระแก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้างถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ” นี้ ปรับปรุงจากบทความที่ผู้เขียนนำเสนอในงาน “มติชน แฮปปี้ บุ๊คเดย์” ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗.
๒. สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๗.
๓. สุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๒๓๓-๒๙๓.
๔. พระรัตนปัญญาเถระ, “พระรัตนปฏิมา ตำนานพระแก้วมรกต” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๑๒.
๕. โปรดดูรายละเอียดในศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓.
๖. ผู้เขียนขอขอบคุณอาจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ที่กรุณาให้ข้อมูลนี้
๗. โปรดดูพระรัตนปัญญาเถระ, “พระรัตนปฏิมา ตำนานพระแก้วมรกต” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๑๔.
๘. โปรดดูรายละเอียดในพระพรหมราชปัญญา, “รัตนพิมพวงศ์” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๕๐.
๙. สิลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดยสมหมาย เปรมจิตต์ กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๓๙. หน้า ๙๖.
๑๐. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “เรื่องตำนานพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๙๙.
๑๑. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, จดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวี และพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๕๒.
๑๒. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๔๖.
๑๓. โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรล้านช้าง กรุงเทพฯ : มติชน, หน้า ๓-๓๖.
๑๔. สิลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว แปลโดยสมหมาย เปรมจิตต์. หน้า ๑๐๖.
๑๕. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๓ กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๔. หน้า ๑๓๕.
๑๖. โปรดดูรายละเอียดในตำนานมูลศาสนาฉบับวัดป่าแดง เชียงใหม่ : ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๑๙.
๑๗. พระนามของพระองค์ที่ปรากฏในตำนานคือ “พระเจ้าสิริธรรมจักรพรรดิติลกราชาธิราช”
๑๘. ผู้เขียนขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพระพุทธรูปในประเทศไทย ซึ่งกรุณาให้ข้อมูลนี้
๑๙. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “ตำนานพระแก้วมรกต สำหรับอาลักษณ์อ่านในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันสวดมนต์เย็น พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๙๘.
๒๐. พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
๒๑. โปรดดูสรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา หน้า ๑๖๗.
๒๒. พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “เส้นทางอัญเชิญพระแก้วมรกต” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๓๒๘-๓๒๙.
๒๓. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา หน้า ๑๔๑.

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2547
ผู้เขียน : สายชล สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2563
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ : เมื่อ 11 เมษายน พ.ศ.2560
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/history/article_8133
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระแก้วมรกต ภาพลายเส้นพิมพ์ในหนังสือ The land of the White Elephant ของ Frank Vincent พิมพ์ พ.ศ. ๒๔๑๖


พระแก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้าง ถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ (๑) ตอนที่ ๒

บทความเรื่อง “พระเก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้าง ถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ” ของสายชล สัตยานุรักษ์ นี้ กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรมได้จัดทยอยลงพิมพ์เป็นตอนๆ โดยตอนแรกลงพิมพ์ในฉบับเดือนเมษายน ๒๕๔๗ (คลิกอ่านที่นี่)

ยุคที่มีการแต่งตำนาน “พระแก้วมรกต” ในชินกาลมาลีปกรณ์ (พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๐๗๑)

เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงวิชาการว่า การแต่งตำนานทางพุทธศาสนาในล้านนาเกิดขึ้นใน “ยุคทอง” ซึ่งหมายถึงยุคที่ล้านนารุ่งเรืองสูงสุด แต่ผู้เขียนพบว่า ชินกาลมาลีปกรณ์ ได้รับการแต่งขึ้นในระยะที่ล้านนาได้เสื่อมลงแล้วเนื่องจากความสูญเสียในการสงครามและภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง จึงมีสมมุติฐานว่าผู้แต่งตำนานไม่ต้องการจะให้พระพุทธรูปนี้เกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจตามคติจักรพรรดิราชอีกต่อไป

ได้กล่าวแล้วว่าในยุครุ่งเรืองของล้านนา (สมัยพญากือนา พญาสามฝั่งแกน พระเจ้าติโลกราช พญายอดเชียงราย และพญาแก้วหรือพระเมืองแก้ว-ก่อนจะถึงปลายรัชกาล) คือก่อนที่จะมีการแต่งตำนาน “พระแก้วมรกต” นั้น “พระแก้วมรกต” น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของพระจักรพรรดิราช คือเป็นแก้วมณีโชติ หาก “ราชา” พระองค์ใดเป็นใหญ่ขึ้นมาก็จะอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ไปประดิษฐานในเมืองของตน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเมืองนั้นเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และ “ราชา” ที่ครองเมืองนั้นทรงเป็น “จักรพรรดิราชา”

“ตำนานพระแก้วมรกต” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชินกาลมาลีปกรณ์นั้น แต่งโดยพระรัตนปัญญาเถระแห่งเชียงใหม่ โดยแต่งขึ้นในระหว่างปี ๒๐๖๐-๒๐๗๑ ซึ่งเป็นช่วงปลายรัชกาลพญาแก้วต่อเนื่องกับรัชกาลพญาเกศเชษฐราช (พ.ศ. ๒๐๖๘-๒๐๘๑) และเป็นเวลาหลังจาก “พระแก้วมรกต” ถูกสร้างขึ้นกว่าหนึ่งศตวรรษ ช่วงเวลานี้เชียงใหม่ได้เสื่อมอำนาจลงไปมากแล้ว การทำนุบำรุงพุทธศาสนาครั้งใหญ่เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๕๙ เป็นครั้งสุดท้าย นั่นคือการหล่อพระเจ้าเก้าตื้อ๒

ในด้านการทำสงครามนั้น พญาแก้วพยายามขยายอำนาจลงไปทางใต้เช่นเดียวกับพระเจ้าติโลกราช เริ่มจาก พ.ศ. ๒๐๕๐ พญาแก้วทรงส่งกองทัพไปตีสุโขทัย แม้ว่าจะตีไม่สำเร็จแต่พระองค์ก็มิได้ทรงละความพยายาม จึงทรงส่งกองทัพไปทำสงครามอีกหลายครั้ง บางครั้งก็ยึดได้กำแพงเพชรและเชลียง แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาอิทธิพลเอาไว้ได้ การณ์กลับปรากฏว่าใน พ.ศ. ๒๐๕๘ (ในปลายรัชกาลพญาแก้ว) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงยกทัพมาตีลำปางแตก กวาดต้อนผู้คนจำนวนมากกลับไปยังอาณาจักรอยุธยา สองปีสุดท้ายในรัชกาลพญาแก้ว เชียงใหม่ต้องประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ คือในปี พ.ศ. ๒๐๖๖ พญาแก้วส่งกองทัพที่มีคนถึงสองหมื่นคนไปรบเชียงตุง แต่พ่ายแพ้ยับเยิน เสียทั้งขุนนางและไพร่ และในปีต่อมา คือ พ.ศ. ๒๐๖๗ ก็เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีคนตายมากมาย๓

ควรกล่าวด้วยว่าการสูญเสียขุนนางและไพร่ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจเสื่อมโทรมด้วย การสูญเสียขุนนางหมายถึงการสูญเสียความมั่งคั่งจากการค้า เพราะขุนนางเป็นผู้ประกอบการค้ารายใหญ่ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่าในการทำสงครามกับอยุธยาและสงครามตีเชียงตุง เชียงใหม่สูญเสียขุนนางชั้นสูงจำนวนมาก เฉพาะคราวที่รบกับกองทัพอยุธยาที่ลำปาง เชียงใหม่ก็สูญเสียขุนนางไม่น้อยกว่าสิบคน๔ ส่วนการสูญเสียไพร่ หมายถึงการลดลงของผลผลิตในตลาด (เพราะมีการลดลงของส่วยและภาษีอากรต่างๆ ซึ่งเจ้าและขุนนางนำมาขายในตลาดต่างๆ)

ความเสื่อมของเชียงใหม่และล้านนานับแต่รัชกาลพญาแก้ว เห็นได้ชัดจากการที่กฎหมายโบราณซึ่งพบที่วัดป่าลาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าในรัชกาลพญาแก้วเป็นต้นมา ค่าของเงินตรา (เบี้ย) ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ หรือเกิดปัญหาเงินเฟ้อขึ้น๕ เข้าใจว่าสาเหตุที่ค่าของเงินตราลดลงเป็นเพราะสินค้าในตลาดมีน้อยลงจนทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ส่วนในด้านการเมืองก็มีการแย่งชิงอำนาจบ่อยครั้ง มีการปลงพระชนม์กษัตริย์โดยขุนนาง หรือการปลดกษัตริย์ออกจากตำแหน่ง หรือการสละราชสมบัติ๖ และใน พ.ศ. ๒๑๐๑ ภายหลังการแต่งชินกาลมาลีปกรณ์ เพียง ๓๐ ปีเท่านั้น เชียงใหม่ก็อ่อนแอจนกระทั่งตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า

อนึ่งแม้ว่าพญาแก้วจะทรงเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งของล้านนาที่ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาก แต่วัดสำคัญในเชียงใหม่ก็สร้างมาตั้งแต่ต้นรัชกาล เมื่อถึงปลายรัชกาล คือช่วงที่พระรัตนปัญญาเถระแต่งชินกาลมาลีปกรณ์นี้ เชียงใหม่คงเสื่อมโทรมลงจนคนทำบุญให้ทานน้อยลง และเป็นไปได้อย่างมากว่า ปัญหาต่างๆ อันเป็นผลกระทบจากการทำสงครามขยายอำนาจของพญาแก้ว รวมทั้งการที่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยายกทัพมาโจมตีตอบแทน จนพญาแก้วต้องทรงทุ่มเททรัพยากรไปในการป้องกันราชอาณาจักร เช่น การก่อสร้างกำแพงเมือง ทั้งเมืองลำพูนและเมืองเชียงใหม่ด้วยอิฐ ทำให้พระรัตนปัญญาเถระไม่ต้องการให้กษัตริย์เชียงใหม่ทำสงครามขยายอำนาจอีกต่อไป ดังนั้นพระรัตนปัญญาเถระจึงต้องเล่าตำนาน “พระแก้วมรกต” ที่พยายามปฏิเสธว่า “พระแก้วมรกต” ไม่ใช่แก้วมณีโชติ และเขียนประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาที่เน้นคติปัญจอันตรธาน เพื่อเร่งให้คนทำบุญให้ทานสร้างกองการกุศล บำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อจะได้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์ ดังปรากฏรายละเอียดในชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งหากความคิดทางพุทธศาสนาดังกล่าวนี้เป็นที่รับรู้และเชื่อถืออย่างกว้างขวางแล้ว ก็จะช่วยทำให้เกิดความสงบสุขขึ้นในสังคม เพราะเมื่อคนทำตามหลักธรรมะของพระพุทธศาสนา ก็ย่อมมีผลในการจัดระเบียบและควบคุมสังคมได้ดียิ่งกว่าการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งในเวลานั้นรัฐล้านนากำลังเสื่อมอำนาจลงจนน่าจะขาดประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาต่างๆ อันเกิดจากการละเมิดประเพณีหรือระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม

กล่าวได้ว่าสงครามและภัยธรรมชาติ ทำให้พระรัตนปัญญาเถระกับคนทั้งหลายในล้านนาต้องการให้การแย่งชิงอำนาจและการขยายอำนาจสิ้นสุดลง แล้วหันมาเร่งทำบุญให้ทานเพื่อสะสมบุญ ก่อนที่พระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมจะอันตรธานไป พระรัตนปัญญาเถระจึงพยายามสร้างคำอธิบายใหม่เกี่ยวกับ “พระแก้วมรกต” ว่าแท้ที่จริงแล้วพระพุทธรูปนี้เป็น “แก้วอมรกต” มิใช่แก้วมณีโชติ เพื่อจะลบความเชื่อเดิมที่ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นแก้วมณีโชติของพระจักรพรรดิราชลงเสีย

นอกจากนี้อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อมีการแต่ง “ตำนานพระแก้วมรกต” ขึ้นมาใน พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๐๗๑ นั้น หากเน้นประวัติ “พระแก้วมรกต” ว่าทำมาจากแก้วมณีโชติ ก็จะไม่สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ล้านนากำลังเสื่อมอำนาจลง และจะส่งผลให้ชาวล้านนาทั้งปวงสูญเสียความศรัทธาใน “พระแก้วมรกต” ด้วย จำเป็นต้องเล่าว่า “พระแก้วมรกต” ทำมาจากแก้วอมรกตซึ่งพระอินทร์ได้มาจากบริเวณใกล้เคียงกำแพงแห่งแก้วมณีโชตินั้น

๑ พระเจ้าเก้าตื้อ, ๒ หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดยศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวิทูร

ยุคที่ “พระแก้วมรกต” ได้รับการประดิษฐานในล้านช้าง

ในระหว่างที่เชียงใหม่อ่อนแอลง อาณาจักรหลวงพระบางรุ่งเรืองอย่างยิ่ง กษัตริย์หลวงพระบางคือพระโพธิสารราชเจ้า (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๑) ซึ่งพระนามเต็มคือ “สมเด็จพระโพธิสารราชมหาธรรมิกทศลักขกุญชรมหาราชาธิปติจักรพรรดิภูมินทร์นรินทรราชเจ้า” สะท้อนคติที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์และทรงเป็นพระจักรพรรดิราช หนังสือประวัติศาสตร์ลาว ของมหาสิลา วีระวงส์ ระบุว่า สมเด็จพระโพธิสารราชนี้เองที่ทรงเป็นผู้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ออกจากเชียงใหม่ไปยังเชียงคำ (หลวงพระบาง) มิใช่พระไชยเชษฐาธิราชดังที่นักประวัติศาสตร์ของไทยเชื่อกัน (รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์ว่า “เมื่อพระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วออกไปจากเมืองเชียงใหม่ในครั้งนี้ เป็น…พระพุทธศาสนกาล ๒๐๙๕”๗) ซึ่งปี พ.ศ. ๒๐๙๕ นี้อยู่ในรัชกาลพระไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรหลวงพระบาง

อย่างไรก็ตามปี พ.ศ. ๒๐๙๕ อาจเป็นปีที่ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐานในเชียงทองก็เป็นได้ กล่าวคือ สมเด็จพระโพธิสารราชสวรรคต พ.ศ. ๒๐๙๓ แต่พระไชยเชษฐาธิราชมิได้เสด็จขึ้นครองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ในทันที เนื่องจากเวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เชียงใหม่ กลุ่มการเมืองอื่นที่อยู่ใกล้พระโพธิสารราชเจ้าอาจได้ครอบครอง “พระแก้วมรกต” ก่อน กว่าพระไชยเชษฐาธิราชจะทรงยึดอำนาจได้และได้ครอบครอง “พระแก้วมรกต” ก็อาจจะเป็นปี พ.ศ. ๒๐๙๕ ก็ได้

ในที่นี้ใคร่ขอวินิจฉัยว่า ผู้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ออกจากเชียงใหม่ น่าจะเป็นสมเด็จพระโพธิสารราช ตามที่มหาสิลา วีระวงส์ ซึ่งใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของลาวได้เขียนไว้ เพราะในเวลาที่เสด็จออกจากล้านช้างมาครองเชียงใหม่นั้น พระไชยเชษฐาธิราชทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๔ พรรษา และทรงครองเชียงใหม่ในฐานะเป็นเมืองประเทศราชของสมเด็จพระโพธิสารราชแห่งอาณาจักรหลวงพระบาง อำนาจของพระไชยเชษฐาธิราชในเมืองเชียงใหม่ตั้งอยู่ได้ในช่วงสองปีที่ครองราชสมบัติ ก็ด้วยเหตุที่มีพระราชอำนาจของสมเด็จพระโพธิสารราชพระราชบิดาค้ำจุนอยู่นั่นเอง เพราะพระราชบิดาได้เสด็จมายังล้านนาพร้อมด้วยกองทัพที่แห่พระไชยเชษฐาธิราชมาครองเมือง และก่อนจะเสด็จเข้าไปทำพิธีราชาภิเษกพระราชโอรส ณ เมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระโพธิสารราชก็ได้เสด็จไปเมืองต่างๆ ในล้านนาหลายเมือง เพื่อแสดงบุญบารมีของพระองค์ในฐานะจักรพรรดิราชให้ปรากฏในเมืองเหล่านั้น

หลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระโพธิสารราชเสด็จมาล้านนาในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เมืองสำคัญทั้งหลายในล้านนายอมอ่อนน้อมต่อพระองค์แต่โดยดี และพระองค์ก็ได้ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งแก่การเป็นพระจักรพรรดิราชตามคติพุทธศาสนา ดังนั้นจึงน่าจะทรงมีพระราชอำนาจมากพอที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญไปจากล้านนา ดังความในหนังสือประวัติศาสตร์ลาว กล่าวว่า

พร้อมกับการแห่แหนพระราชโอรสไปคราวนี้ พระองค์ได้มีพระราชอาชญาแต่งตั้งให้พระยาเวียงกับแสนนครเป็นแม่ทัพ…ยกขึ้นไปตีเอาเวียงพระบึงด้วย…สมเด็จพระโพธิสารราชเจ้าก็ยกรี้พลโยธาหาญออกจากพระนคร แห่พระราชโอรสไปถึงนครเชียงแสน…ขณะที่ประทับอยู่นครเชียงแสน พระองค์ได้บำเพ็ญพระราชกุศล ทำพิธีบวชกุลบุตรในอุทกุกเขปสีมาน้ำโขงเป็นปฐมฤกษ์ก่อน…เสด็จประทับอยู่นครเชียงราย ๙ วัน จึงยกขบวนเสด็จไป…ถึงปะรำชัยของหมื่นขอม กำนันหนองแก้วที่นครเชียงใหม่ได้มาปลูกไว้รับเสด็จ…พวกเสนาอำมาตย์นครเชียงใหม่…ได้จัดเครื่องราชูปโภคออกมาถวายอยู่ปะรำชัย…


หอพระแก้ว หลวงพระบาง สร้างสมัยพระไชยเชษฐาธิราช ภาพนี้เป็นภาพปัจจุบัน หลังการบูรณะในปี พ.ศ. ๒๔๗๙

ครั้น (พระราชพิธีราชาภิเษก) เสร็จบริบูรณ์แล้ว พระโพธิสารธรรมิกราชพระราชบิดาก็ทรงบริจาคพระราชทรัพย์อันนำมาแต่นครเชียงทองกับที่เสนาอำมาตย์นครเชียงใหม่นำมาถวาย ออกให้ทานแก่พระสังฆเจ้าและยาจกวณิพกคนอนาถาเป็นอันมาก

ในขณะที่พระโพธิสารราชเจ้าประทับอยู่นครเชียงใหม่นี้ สมเด็จพระเจ้าบุเรงนอง…ได้ส่งทูตมาขอผูกพระราชไมตรี…ชักชวนพระโพธิสารราชเจ้าไปตีเอากรุงศรีอยุธยา…

สมเด็จพระโพธิสารราชเจ้าประทับอยู่เมืองเชียงใหม่พอสมควรแล้ว ก็เสด็จคืนมานครเชียงทอง และพระองค์ได้เชิญเอาพระแก้วมรกตกับพระแซกคำที่สถิตอยู่ในวิหารวัดปุพพารามมาด้วย๘

เหตุที่สมเด็จพระโพธิสารราชสามารถเสด็จมาล้านนาในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เมืองสำคัญๆ ในล้านนายอมอ่อนน้อมแต่โดยดี และพระองค์สามารถเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในเมืองเหล่านั้นเพื่อประกาศพระบรมเดชานุภาพในฐานะจักรพรรดิราชได้อย่างราบรื่น ก็เพราะว่าก่อนจะทรงขยายพระราชอำนาจมาสู่ล้านนานั้น สมเด็จพระโพธิสารราชได้ทรงประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือและทางตะวันตกมาก่อนแล้ว ในรัชกาลของพระองค์มีเมืองขึ้นที่ถวายบรรณาการแก่พระองค์อย่างกว้างขวาง เช่น เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง เมืองแสนหวี และมีเจ้าทางไดเวียด นำคน ๓,๐๐๐ คนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารด้วย หนังสือประวัติศาสตร์ลาว ของมหาสิลา วีระวงส์ ระบุด้วยว่า กษัตริย์จามแห่งเมืองจำปาศักดิ์และกษัตริย์เขมรแห่งพระนครธมก็ถวายบรรณาการแก่สมเด็จพระโพธิสารราชเช่นกัน๙ นอกจากนี้ภายหลังจากเจ้านายแห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่ง คือพระไชยราชา ทรงหนีภัยการเมืองมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร กองทัพอยุธยาได้ยกมาตีถึงเมืองชายแดนล้านช้างแต่ถูกกองทัพล้านช้างตีแตกกลับไป ฝ่ายอยุธยาต้องสูญเสียไพร่พลและช้างม้าเป็นอันมาก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๗๗ สมเด็จพระโพธิสารราชก็ยกทัพใหญ่มาหมายจะตีอยุธยา เข้าใจว่ายกมาช่วยพระไชยราชาชิงราชสมบัติ (หรืออาจจะถือโอกาสเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยามาเป็นเมืองขึ้น) ซึ่งปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๒๐๗๗ นี้ พระอาทิตยราชได้เสด็จสวรรคตและพระไชยราชาธิราชได้เสด็จขึ้นครองราชย์แทนเรียบร้อยแล้ว กองทัพของสมเด็จพระโพธิสารราชจึงยกกลับโดยมิได้ทำสงครามแต่อย่างใด

ก่อนเสด็จล้านนา สมเด็จพระโพธิสารราชน่าจะทรงมีอิทธิพลมาถึงบริเวณเมืองพิษณุโลกและนครพนมด้วย เมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการค้าทางบกสำคัญที่เชื่อมโยงอาณาจักรหลวงพระบาง กับเมืองท่าทางทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้มีพระราชประสงค์จะครอบครองเมืองสำคัญแห่งนี้ เมื่อสมเด็จพระโพธิสารราชทรงผนวชนั้นสมเด็จพระสังฆราชมหาศรีจันโทซึ่งเป็นชาวพิษณุโลกเป็นพระอุปัชฌาย์ และใน พ.ศ. ๒๐๗๘ พระองค์ก็ได้เสด็จยกทัพไปตีพิษณุโลก สี่ปีต่อมาภายหลังการยกทัพไปตีพิษณุโลก พระองค์ก็ทรงประกาศพระบารมีในแถบนครพนมโดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นหลังหนึ่งในบริเวณพระธาตุพนมและทรงกัลปนาข้าอุปัฏฐากพระธาตุพนมถึง ๓,๐๐๐ คน๑๐

ในการเสด็จล้านนาเพื่อราชาภิเษกพระไชยเชษฐาธิราชโอรสขึ้นครองเชียงใหม่ ปรากฏว่าสมเด็จพระโพธิสารราชได้รับผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างมาก เพราะเท่าที่ปรากฏหลักฐานนั้นกองทัพของพระองค์ได้ช้างป่าถึง ๒,๐๐๐ เชือก และได้กวาดต้อนกำลังคนจากเวียงพระบึงกลับมาถึง ๔๐,๐๐๐ คนกับช้างอีก ๑,๐๐๐ เชือก๑๑

เมื่อสมเด็จพระโพธิสารราชเสด็จสวรรคต พระไชยเชษฐาธิราชก็ต้องรีบเสด็จออกมาจากเมืองเชียงใหม่ มิฉะนั้นก็อาจถูกขุนนางบางกลุ่มวางแผนกำจัดพระองค์เช่นเดียวกับที่พญาเกศเชษฐราชพระอัยกาของพระองค์ได้เคยถูกกำจัดมาแล้ว พระไชยเชษฐาธิราชได้รับการสนับสนุนจากขุนนางล้านช้างกลุ่มหนึ่ง มีพระยาศรีสัทธรรมไตรโลกเป็นผู้นำ ช่วยกำจัดกลุ่มอำนาจของพระล้านช้าง จึงสามารถเสด็จกลับไปยังเชียงทอง (หลวงพระบาง) ได้ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ เชียงทองแล้ว ต้องทรงแต่งตั้งพระยาศรีสัทธรรมไตรโลกให้เป็นผู้ปกครองเมืองเวียงจันซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญทางการค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาต่อมาเมื่อพระไชยเชษฐาธิราชเสด็จยกทัพกลับมาตีเชียงใหม่เพื่อยึดล้านนาคืนมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง พระองค์ทรงเกณฑ์ทัพพระยาศรีสัทธรรมไตรโลกจากเวียงจันมาช่วย แม้ว่ากองทัพล้านช้างจะไม่สามารถยึดเชียงใหม่จากพม่าได้ แต่พระไชยเชษฐาธิราชกับกลุ่มขุนนางที่เป็นพันธมิตรได้ถือโอกาสนั้นกำจัดพระยาศรีสัทธรรมไตรโลกเสีย แล้วใน พ.ศ. ๒๑๐๓ ก็ทรงย้ายราชธานีไปยังเวียงจันพร้อมกับอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง

พระแก้วมรกตได้รับการอัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองเวียงจันในเวลาที่เวียงจันมีความสำคัญทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการขยายตัวของการค้าระหว่างเวียงจันกับอยุธยา กัมพูชา และภาคกลางของเวียดนาม๑๒

จะเห็นได้ว่าอิทธิพลทางการเมืองที่สมเด็จพระโพธิสารราชทรงมีอยู่อย่างกว้างขวาง ทำให้พระองค์ทรงต้องการอุดมการณ์จักรพรรดิราช เพื่อเป็นพื้นฐานทางอุดมการณ์ในการปกครองราชอาณาจักรและการทำสงครามขยายพระราชอำนาจ ดังนั้นจึงต้องทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาอย่างมาก และสิ่งหนึ่งที่จะช่วยยืนยันการเป็นจักรพรรดิราชของพระองค์ได้เป็นอย่างดี ก็คือการอัญเชิญพระแก้วมรกต ซึ่งคนส่วนใหญ่น่าจะยังคงเชื่อว่าเป็น “แก้วมณีโชติ” ไปสู่อาณาจักรล้านช้างของพระองค์นั่นเอง๑๓

หากพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองของล้านนาในช่วงก่อนที่สมเด็จพระโพธิสารราชจะเสด็จมาราชาภิเษกพระราชโอรส จะเห็นภาพค่อนข้างชัดเจนว่า ไม่นานหลังจากพญาแก้วสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๐๖๗ ล้านนาอาจขึ้นต่อกษัตริย์แห่งล้านช้าง พญาเกศต้องถวายราชธิดาให้สมเด็จพระโพธิสารราช (พระราชธิดาพระองค์นี้ต่อมาทรงมีพระโอรสคือพระไชยเชษฐาธิราช ซึ่งเมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษาแล้วนั้นได้ครองเชียงใหม่ ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๐ และครองล้านช้าง ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๔) พญาเกศซึ่งเป็นพระอัยกาของพระไชยเชษฐาธิราชนี้หาได้ทรงมีอำนาจไม่ ทรงครองราชย์ได้ไม่นานก็ถูกขุนนางถอด เมื่อขุนนางสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์อีกครั้งหนึ่งก็ทรงครองราชย์อยู่ได้เพียงสองปีก็ถูกขุนนางจับปลงพระชนม์ ก่อนที่พระไชยเชษฐาธิราชเสด็จมาครองเชียงใหม่นั้น ล้านนาอ่อนแอมากจนไม่สามารถต้านทานการรุกรานของอยุธยาได้ ในสมัยพระมหาเทวีจิรประภา คือใน พ.ศ. ๒๐๘๘ เชียงใหม่ได้ถูกกองทัพพระไชยราชาธิราชจากกรุงศรีอยุธยายกมาโจมตี พระมหาเทวีจิรประภา ต้อง “แต่งเจ้าขุนเอาบรรณาการไปถวาย”๑๔ ในการรบครั้งต่อมาซึ่งเกิดขึ้นในปีเดียวกันนั้นปรากฏว่ากองทัพพระไชยราชาธิราชถึงกับเผาเมืองเชียงใหม่บางส่วน หลังจากนั้นหัวเมืองไทยใหญ่บรรดาเมืองเล็กเมืองน้อยทั้งปวงที่เคยขึ้นกับล้านนาก็เข้าปล้นเมืองเชียงใหม่ และยังมีกองทัพเงี้ยวเมืองนายกับเมืองยองห้วยพยายามถมคูเมืองเพื่อเข้ายึดเชียงใหม่ด้วย แม้ว่ากองทัพเงี้ยวเมืองนายกับเมืองยองห้วยจะเข้าเมืองไม่ได้ แต่ก็ได้เผาทัพเชียงใหม่ที่เวียงสวนดอกแล้วจึงยกทัพกลับไป๑๕


๑ หนังสือประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรลาวล้านช้าง โดยโยชิยูกิ มาซูฮารา, พิมพ์ในชุดศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ, พ.ศ. ๒๕๔๖, ๒ ภาพลายเส้นหอพระแก้ว โดยเดอลาปอร์ท เขียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙

ความสนใจของสมเด็จพระโพธิสารราชที่มีต่อการขยายอำนาจในล้านนาคงมาจากปัจจัยสำคัญสามประการ

๑. ความต้องการที่จะใช้ล้านนาเป็นแดนป้องกันทัพพม่า มิให้ยกมาถึงล้านช้างโดยง่าย เวลานั้นพม่ากำลังขยายอำนาจมาสู่ล้านนาและอยุธยา

๒. ความต้องการกำลังคนและช้าง ดังปรากฏว่าระหว่างทางเสด็จกลับล้านช้างทรงได้ช้างป่าถึง ๓,๐๐๐ เชือก และกวาดต้อนคนจากเมืองรายทางได้ถึง ๔๐,๐๐๐ คน (แต่เสด็จสวรรคตเพราะถูกช้างล้มทับ)

๓. ความต้องการที่จะครอบครองศูนย์ความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนา รวมทั้งพระแก้วมรกต และเพื่อแสดงบุญญาบารมีในเมืองต่างๆ ในฐานะพระจักรพรรดิราช

ก่อนที่สมเด็จพระโพธิสารราชได้เสด็จมายังล้านนาเพื่อทรงแสดงแสนยานุภาพให้พระราชโอรสได้ครองเมืองเชียงใหม่อย่างราบรื่นนั้น พระองค์ได้ทรงรับพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ของล้านนามาเผยแพร่ในล้านช้างได้ระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ทรงทราบถึงความหมายและความสำคัญของ “พระแก้วมรกต” เป็นอย่างดี กล่าวคือ สมเด็จพระโพธิสารราชทรงแต่งราชทูตขอพระไตรปิฎกและพระสังฆเจ้าจากเชียงใหม่ในรัชกาลพญาแก้ว ทำให้พระพุทธศาสนาในล้านช้างรุ่งเรือง หลังจากนั้นได้ทรงห้ามประชาชนนับถือผีฟ้าและผีแถน

มีพระราชอาชญาประกาศให้บ่าวไพร่พลเมืองเลิกนับถือผีฟ้าผีแถน อันเคยมีมาแต่โบราณกาลนั้นเสียหมด บรรดาหอโรง กว้านศาล อันเป็นสถานที่ขึ้นฟ้าขึ้นแถนของพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนนั้น พระองค์ก็ได้รื้อถอนทิ้ง แล้วทรงสร้างพระอารามขึ้นแทน๑๖

ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนเคารพพระองค์ในฐานะ “สมเด็จพระโพธิสารราชมหาธรรมิกทศลักขกุญชรมหาราชาธิปติจักรพรรดิภูมินทร์นรินทรราชเจ้า” และยอมรับกฎหมายที่ทรงตราขึ้น (คือกฎหมายโคสาราษฎร์) นั่นเอง กฎหมายโคสาราษฎร์นี้ถูกนำมาใช้ในล้านนาสมัยที่พระไชยเชษฐาธิราชเสด็จมาครองเชียงใหม่ด้วย หลักธรรมะของพระพุทธศาสนามีความสำคัญมากต่อกฎหมายโบราณของล้านช้าง เนื่องจากมาตราต่างๆ ของกฎหมายได้ถูกแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ตามหลักศีลห้าของพระพุทธศาสนา เช่นการฆ่าตีกัน จัดเป็นหมวดปาณาติบาต การลักขโมย ฉ้อโกง ปล้นสะดม ซื้อขาย จัดเข้าในหมวดอทินนาทาน กฎหมายลักษณะผัวเมียและข้าทาสจัดเข้าในหมวดกาเมสุมิจฉาจาร เป็นต้น๑๗

เมื่อสมเด็จพระโพธิสารราชสวรรคตแล้ว พระไชยเชษฐาธิราชได้เสด็จกลับมาแย่งราชสมบัติในล้านช้าง ทั้งนี้ก็เพราะในเวลานั้นการค้าทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขยายตัวมาก โดยมีอาณาจักรอยุธยาและกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการค้าดังกล่าว และเวียงจันตั้งอยู่ในตำแหน่งที่จะทำการค้ากับอยุธยาและกับเมืองท่าในกัมพูชาตลอดจนเวียดนามได้สะดวก สามารถสร้างระบบส่วยและระบบหมุนเวียนสินค้าภายในอาณาจักรที่ทำให้มีสินค้าส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศผ่านทางกรุงศรีอยุธยาและพนมเปญ ได้แก่สินค้าประเภทแร่ธาตุ เช่น ทอง เงิน เหล็ก ตะกั่ว ดีบุก และสินค้าประเภทของป่า เช่น กำยาน ครั่ง นอแรด งาช้าง หนังกวาง ชะมดเชียง๑๘ เมื่อประกอบกับความต้องการที่จะถอยออกห่างจากการรุกรานของพม่าให้มากที่สุด สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชก็ได้ย้ายราชธานีไปยังเวียงจัน ใน พ.ศ. ๒๑๐๓

พระองค์ได้เชิญเอาพระแก้วมรกตและพระแซกคำกับราชสมบัติทั้งมวล…ลงมาอยู่ ณ นครเวียงจันทน์…พระองค์ก็ได้สร้างมหาปราสาทราชวังขึ้นใหม่ พร้อมทั้งหอพระแก้ว พระแซกคำ อย่างวิจิตรพิสดารยิ่งนัก๑๙

ดังนั้น “พระแก้วมรกต” จึงประทับอยู่ที่เชียงคำชั่วระยะเวลาอันสั้น แต่ประทับอยู่ ณ นครเวียงจันสืบมา แม้ว่าอาณาจักรล้านช้างจะถูกแบ่งแยกออกเป็นสามอาณาจักรคือเวียงจัน หลวงพระบาง จำปาศักดิ์ นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๔๑ อันเป็นผลมาจากการที่กลุ่มผู้ปกครองท้องถิ่นมีอำนาจสูงขึ้น เพราะสามารถทำการค้าอย่างเป็นอิสระจากเวียงจัน โดยที่ผู้นำท้องถิ่นเหล่านี้จะส่งสินค้าที่กินระวางต่ำแต่มีมูลค่าสูงซึ่งรวบรวมได้ในท้องถิ่น ไปจำหน่ายยังศูนย์กลางการค้าต่างๆ ในภาคพื้นทวีปโดยตรง โดยไม่จำเป็นจะต้องส่งสินค้าออกสู่ตลาดต่างประเทศโดยผ่านทางเวียงจันเพียงแห่งเดียว๒๐ ซึ่งทำให้กษัตริย์แห่งเวียงจันอ่อนแอลง และสามารถรักษาพระแก้วมรกตเอาไว้ได้อีกราวแปดสิบปี แต่ความหมายของ “พระแก้วมรกต” ในช่วงก่อนที่เวียงจันจะตกเป็นเมืองประเทศราชของกรุงเทพฯ ก็เปลี่ยนจากการเป็นแก้วมณีโชติของพระจักรพรรดิราช มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองแทน๒๑

ส่วนทางล้านนานั้น ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๐๙๔ หลังจากพระไชยเชษฐาเสด็จไปล้านช้างแล้ว เชียงใหม่ก็ว่างกษัตริย์ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ระบุว่า “เกิดเป็นกลียุคมากนัก”๒๒ ไม่กี่ปีต่อมาล้านนาก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า กล่าวได้ว่าความเสื่อมของล้านนาทำให้ต้องสูญเสีย “พระแก้วมรกต” และความรุ่งเรืองของล้านช้างก็ทำให้กษัตริย์แห่งล้านช้างได้ “พระแก้วมรกต” ไปครอบครองแทน ตราบจนกระทั่งเวียงจันเสื่อมอำนาจลงไปเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ภายในล้านช้าง เวียงจันจึงเสีย “พระแก้วมรกต” ให้แก่กรุงธนบุรี ซึ่งทำให้ความหมายของ “พระแก้วมรกต” เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหนึ่ง ดังจะกล่าวต่อไปข้างหน้า



เชิงอรรถ :-
๑. เรื่อง “พระแก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้างถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ” นี้ ปรับปรุงจากบทความที่ผู้เขียนนำเสนอในงาน “มติชน แฮปปี้ บุ๊คเดย์” ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗.
๒. โปรดดู สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. หน้า ๑๔๙.
๓. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. หน้า ๑๔๗-๑๔๙.
๔. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ปริวรรตโดยทน ตนมั่น กรุงเทพฯ : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๑๔. หน้า ๑๗๐-๑๗๑.
๕. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. หน้า ๒๐๘.
๖. โปรดดูรายละเอียดในสรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. หน้า ๒๐๔-๒๐๙.
๗. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, “ตำนานพระแก้วมรกต สำหรับอาลักษณ์อ่านในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันสวดมนต์เย็น พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๗๓ .
๘. สิลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว แปลโดยสมหมาย เปรมจิตต์. หน้า ๘๑-๘๓.
๙. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๘-๗๙.
๑๐. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๘-๘๐.
๑๑. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๘-๘๓.
๑๒. โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘.
๑๓. แม้ว่าจะมี “ตำนานพระแก้วมรกตฉบับหลวงพระบาง” ซึ่งยังคงเล่าว่าพระแก้วมรกตมิใช่แก้วมณีโชติ แต่ “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะแต่งขึ้นภายหลังรัชกาลสมเด็จพระโพธิสารราช และน่าจะแต่งหลังจากที่ “พระแก้วมรกต” มิได้ประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระบางแล้ว เพราะ “พระแก้วมรกต” ประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระบางเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เหตุที่เรียกว่าฉบับหลวงพระบาง น่าจะเป็นเพราะเจ้าผู้ครองหลวงพระบางซึ่งได้ช่วย “สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก” ตีเวียงจันใน พ.ศ. ๒๓๒๑-๒๓๒๒ เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย
๑๔. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. หน้า ๗๓.
๑๕. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. หน้า ๒๐๙.
๑๖. สิลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดยสมหมาย เปรมจิตต์. หน้า ๗๘.
๑๗. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๑๘.
๑๘. โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรลาวล้านช้าง. หน้า ๑๙๑-๑๙๓.
๑๙. สิลา วีระวงส์, ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดยสมหมาย เปรมจิตต์. หน้า ๙๒.
๒๐. โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรลาวล้านช้าง. หน้า๑๖๘-๑๗๐.
๒๑. “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง
๒๒. สรัสวดี อ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา. หน้า ๒๐๖.

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2547
ผู้เขียน : สายชล สัตยานุรักษ์
เผยแพร่ : วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2563
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 27 เมษายน 2560
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/history/article_8666
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2020, 06:27:30 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ