ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๑) : ปรารภเหตุ “ให้เป็นสติแก่คนที่พบเห็น”  (อ่าน 2765 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0






สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๑) : ปรารภเหตุ

เรื่องนี้ไม่ใช่เขียนผิดกาลเทศะนะครับ ขออนุญาตชี้แจงก่อน ค่านิยมอย่างหนึ่งของชาวเฟซบุ๊กก็คือ โพสต์เรื่องตามกาลเทศะ เช่น วันเด็กก็โพสต์เรื่องเด็ก วันแม่ก็โพสต์เรื่องแม่ วันครูก็โพสต์เรื่องครู หรือพูดเรื่องความรักก็เฉพาะวันวาเลนไทน์วันเดียว พ้นวันนั้นแล้วก็ไม่มีใครพูดถึงอีก ค่านิยมแบบนี้ก็เลยกลายเป็นการเอาเทศกาลเป็นกรอบบังคับ และกลายเป็นว่าใครพูดเรื่องอะไรผิดเทศกาลเป็นคนประหลาด

ผมตั้งชื่อเรื่องว่า “สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ” ก็จะต้องมีคนบอกว่า นี่วิสาขบูชาแล้วหรือ เอาเรื่องนี้มาพูดทำไม ทำไมไม่เอาไปเขียนตอนวันวิสาขะ วันนี้ (๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) เป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ ผมไปทำบุญที่วัดมหาธาตุราชบุรีตามปกติ ผมเดินไปและเดินกลับ เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลวัดอย่างหนึ่ง และเพราะประสงค์จะให้เป็นสติแก่คนที่พบเห็นอีกอย่างหนึ่ง

“ให้เป็นสติแก่คนที่พบเห็น” หมายความว่า ผมเดินไปตามทาง มีคนเห็น คนเห็นก็รู้ว่าผมไปวัด เพราะผมแต่งชุดอุบาสกเห็นผมไปวัดก็จะนึกได้ว่าวันนี้วันพระ นึกได้ว่าวันพระก็ควรจะนึกต่อไปได้อีกว่า วันพระเขาทำอะไรกัน
เท่านี้พอแก่การย์แล้ว

นี่เป็นสำนวนในเรื่อง "กามนิต" หมายความว่า ทำอะไรลงไปสักอย่างหนึ่ง ที่พอจะเกิดประโยชน์อะไรบางอย่างแก่เพื่อนร่วมโลกได้บ้าง

ก็เอาละ ผมเคยเชิญชวนเพื่อนฝูงให้ไปทำบุญวันพระ และเชิญชวนให้ถืออุโบสถ เคยมีคนตอบกลับมาว่า ความดีทำวันไหนก็ได้ ผมเชื่อว่าญาติมิตรทั้งปวงย่อมจะเห็นด้วยกับแนวความคิดเช่นนี้ ความดีทำวันไหนก็ได้ ผมกำลังจะหักมุมตรงนี้ว่า เมื่อความดีทำวันไหนก็ได้เช่นนี้แล้ว ทำไมจะต้องมาจำกัดว่า ชื่อเรื่องแบบนี้ควรจะเอาไปเขียนตอนวันวิสาขะ ก็ความดีทำวันนี้ก็ได้มิใช่หรือ

@@@@@@@

เข้าเรื่องตรงประเด็นนะครับ ชื่อเรื่อง “สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ” เนื้อหาไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับวันวิสาขะ แต่เหตุที่ทำให้คิดเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันวิสาขะ เรื่องเป็นดั่งนี้

เมื่อปี ๒๕๕๕ คือเมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว วันวิสาขบูชาตรงกับวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ วัดมหาธาตุ ราชบุรี มีกิจกรรมวิสาขบูชายืนพื้นมาทุกปีคือ ฟังเทศน์-สวดคาถาวิสาขะ-สนทนาธรรมะกันตลอดทั้งคืน วิสาขบูชาปี ๒๕๕๕ ผมได้สนทนาธรรมกับพระคุณเจ้ารูปหนึ่งในกิจกรรมฟังเทศน์และสนทนาธรรม พระคุณเจ้าตั้งปัญหาถาม ๓ เรื่อง คือ

๑. สิกขมานา หมายถึงใคร
๒. ธงชัยของพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไร
๓. ภิกษุเรียกภิกษุณี ใช้อาลปนะว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” มีนัยอย่างไร

ต่อไปนี้เป็นคำตอบของผมซึ่งได้ตอบในวงสนทนาธรรมนั้นไปแล้วและผมได้บันทึกเก็บไว้ ขออนุญาตนำมาเผยแผ่ให้แพร่หลายโดยไม่ต้องรอให้ถึงวิสาขบูชา เพราะทั้ง ๓ เรื่องไม่เกี่ยวกับวิสาขบูชา และเพราะ-ความดีทำวันไหนก็ได้


       นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
       ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ,๑๘:๓๕

ตอนต่อไป : ข้อ ๑. สิกขมานา หมายถึงใคร




ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/02/20/สามเรื่องที่คิดเห็นในค/
บทความ : สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๑) โดย ทองย้อย แสงสินชัย
20 กุมภาพันธ์ 2021, By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๒) : สิกขมานา หมายถึงใคร.?

คำถามข้อที่ ๑ ถามว่า สิกขมานา หมายถึงใคร.?

เราเข้าใจกันว่า สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี ต้องรักษาศีลแปดตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖ อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๒ ปี ครบแล้วจึงบวชได้ ในระหว่างนี้ถ้าละเมิดข้อใดข้อหนึ่ง จะต้องเริ่มนับเวลาใหม่ ช่วงเวลาที่รักษาศีล ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปีนี้แหละ มีชื่อเรียกว่า “สิกขมานา”

แต่มีข้อสงสัย เนื่องจากกรณีมารดาของพระกุมารกัสสปเถระซึ่งคลอดบุตรในขณะที่เป็นภิกษุณี คณะกรรมการสอบสวนอันมีพระอุบาลีเถระเป็นประธานลงความเห็นว่า ภิกษุณีตั้งครรภ์มาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส ข้อสงสัยคือ ถ้าก่อนจะบวชเป็นภิกษุณีได้ สตรีต้องเป็นสิกขมานาอยู่ ๒ ปี และต้องรักษาศีล ๖ ข้ออย่างเคร่งครัด ภิกษุณีมารดาของพระกุมารกัสสปเถระจะตั้งครรภ์ “ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส” ได้อย่างไร.?

สมมุติว่าตั้งครรภ์วันแรกก็เข้าเป็น “สิกขมานา” ทันที ก็ควรจะคลอดบุตรตั้งแต่ตอนที่เป็นสิกขมานา ใช่หรือไม่?
ถ้าตั้งครรภ์นานถึง ๒ ปีก็ต้องผิดปกติ และตามประวัติพระกุมารกัสสปเถระท่านบวชเป็นภิกษุอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ต้องนับเวลาที่อยู่ในครรภ์ด้วยจึงจะครบ (ท่านเป็นต้นบัญญัติเรื่องทดเวลาในครรภ์) ก็แปลว่าท่านคลอดตามเวลาปกติ

ถ้าสิกขมานาตั้งครรภ์ในระหว่างเป็นสิกขมานา กรณีก็คงจะไม่เรียบร้อยจนถึงกับให้บวชเป็นภิกษุณีได้ตามปกติ กรณีมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ ถ้าตั้งครรภ์ในระหว่างเป็นสิกขมานา ก็คงไม่ได้บวชเป็นภิกษุณี
คัมภีร์ที่เล่าเรื่องภิกษุณีมารดาของพระกุมารกัสสปเถระคลอดบุตร ก็ใช้คำว่า “ภิกษุณี” ตรงๆ ไม่ได้ใช้คำว่า “สิกขมานา” ประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้เกิดความสงสัยว่า “สิกขมานา” มาจากไหน และเป็นใครกันแน่


@@@@@@@

จากการสนทนาวิสาขะ ได้ข้อสรุปว่า "สิกขมานา" หมายเอาเฉพาะสามเณรีที่มีอายุครบจะบวชเป็นภิกษุณี จะต้องเป็นสิกขมานาก่อนเป็นเวลา ๒ ปี

สมมุติว่า เด็กหญิงคนหนึ่งบวชเป็นสามเณรีและตั้งใจจะบวชเป็นภิกษุณีต่อไปเมื่ออายุครบ ๒๐ สามเณรีนี้จะต้องเริ่มถือสิกขาบท ๖ เป็นสิกขมานาตั้งแต่อายุ ๑๘ จึงจะมีสิทธิ์บวชเป็นภิกษุณีเมื่ออายุครบ ๒๐ แต่ถ้าในระหว่าง ๒ ปีนี้ ไปละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่งเข้า ก็ต้องเริ่มนับเวลาใหม่ เช่นเหลืออีก ๑ วัน จะครบ ๒ ปี แต่ไปละเมิดศีลเข้า ก็ต้องตั้งต้นนับ ๑ ใหม่ แทนที่จะได้บวชเมื่ออายุครบ ๒๐ ก็ต้องเลื่อนไปอีก ๒ ปี อย่างนี้เป็นต้น

ส่วนสตรีทั่วไปที่มีอายุครบ ๒๐ หรือเกิน ๒๐ แล้ว และต้องการจะบวชเป็นภิกษุณี สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้ทันที ไม่ต้องเป็นสิกขมานา ๒ ปี เหมือนสามเณรี เพราะเช่นนี้ กรณีมารดาของพระกุมารกัสสปเถระจึงเป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ คือตั้งครรภ์แล้วไปบวชเป็นภิกษุณีทันที (ไม่ต้องเป็นสิกขมานาก่อน) จึงคลอดบุตรในขณะเป็นภิกษุณีได้ ตามเรื่องที่ปรากฏ

@@@@@@@

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “สิกขมานา” มีข้อความว่า

สิกขมานา : นางผู้กำลังศึกษา, สามเณรีผู้มีอายุถึง ๑๘ ปีแล้ว อีก ๒ มีจะครบบวชเป็นภิกษุณี ภิกษุณีสงฆ์สวดให้สิกขาสมมติ คือ ตกลงให้สมาทานสิกขาบท ๖ ประการ ตั้งแต่ ปาณาติปาตา เวรมณี จนถึง วิกาลโภชนา เวรมณี ให้รักษาอย่างเคร่งครัดไม่ขาดเลย ตลอดเวลา ๒ ปีเต็ม (ถ้าล่วงข้อใดข้อหนึ่ง ต้องสมาทานตั้งต้นไปใหม่อีก ๒ ปี) ครบ ๒ ปี ภิกษุณีสงฆ์จึงทำพิธีอุปสมบทให้ ขณะที่สมาทานสิกขาบท ๖ ประการอย่างเคร่งครัดนี้เรียกว่า นางสิกขมานา


     นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
     ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ,๑๙:๐๖

ตอนต่อไป : ข้อ ๒. ธงชัยของพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไร




ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/02/20/คำถามข้อที่-๑-ถามว่า-สิก/
บทความ : สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๒) โดย ทองย้อย แสงสินชัย
20 กุมภาพันธ์ 2021, By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๓) : ธงชัยของพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไร.?

คำถามข้อที่ ๒ ถามว่า ธงชัยของพระอรหันต์ มีความหมายอย่างไร.?

คำถามข้อนี้มีที่มาจากคำพูดที่ว่า “ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระอรหันต์” ตามที่เข้าใจกัน ก็เข้าใจกันว่า ผ้ากาวพัสตร์เป็นของสูง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของที่ควรเชิดชู เป็นของที่ให้กำลังใจแก่ผู้ทรงให้มุ่งมันที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์

ตรงนี้ทำให้นึกถึงธงยศธงตำแหน่งของทหารเรือ (ทหารเหล่าทัพอื่นก็คงเหมือนกัน) เช่นผู้บัญชาการทหารเรืออยู่ในเรือหลวงลำหนึ่ง เขาก็จะชักธงตำแหน่งขึ้นที่เรือลำนั้น ทหารเรือเห็นธงตำแหน่งก็รู้ได้ว่าผู้บัญชาการทหารเรืออยู่ที่เรือลำนั้น

ธงชัยของพระอรหันต์ก็น่าจะมีความหมายแบบนั้น หมายความว่า เห็นผ้ากาวพัสตร์ที่ไหน ก็รู้ได้ว่ามีพระอรหันต์อยู่ที่นั่น ถ้าตระหนักถึงความหมายเช่นว่านี้ก็จะรู้สึกได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นั่นคือ ท่านผู้ใดนุ่งห่มผ้ากาวพัสตร์ ก็เท่ากับท่านผู้นั้นกำลังบอกแก่คนทั้งหลายว่า พระอรหันต์อยู่ตรงนี้


@@@@@@@

ถ้าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วมานุ่งห่มผ้ากาวพัสตร์ จะหมายความว่ากระไร.?

ก็ต้องหมายความว่า ท่านกำลังกระทำสิ่งที่เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเข้าใจผิด-นี่ใช้ภาษาสุภาพ คำตรงๆ ว่ากระไร คงจะพอนึกกันออก แต่ไม่ต้องกลัว วิธีที่จะบรรเทาโทษได้ก็มี นั่นก็คือผู้นุ่งห่มผ้ากาวพัสตร์จะต้องเร่งปฏิบัติดำเนินเพื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ นั่นแหละจึงจะพออ้างได้ว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็จริง แต่ก็กำลังพยายามอยู่อย่างเต็มที่ อ้างแล้วก็ต้องทำจริงจนคนทั้งหลายเห็นแล้วยอมรับว่า เออ ท่านกำลังพยายามอยู่จริงๆ แฮะ จากนั้นเขาก็จะพากันอนุโมทนา ถวายกำลังใจให้ท่านพยายามต่อไป

ที่ชาวบ้านเราอุปถัมภ์บำรุงพระเณรด้วยปัจจัยสี่อยู่ทุกวันนี้ก็ด้วยเหตุผลเช่นว่านี่แหละครับ คือพระเณรจะได้มีกำลังปฏิบัติดำเนินเพื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ให้สมกับที่เอาธงชัยของท่านมานุ่งห่มอยู่ จะสำเร็จเมื่อไรก็ไม่ได้บังคับกะเกณฑ์ ขอให้พยายามจริงๆ ก็แล้วกัน

ผมเข้าใจว่า ความที่กล่าวมานี้ ท่านผู้ทรงธงชัยของพระอรหันต์อยู่ก็ดี ท่านผู้อุปถัมภ์บำรุงอยู่ก็ดี ทุกวันนี้น่าจะไม่เคยนึก หรือไม่ค่อยได้ระลึกกันแล้ว

@@@@@@@

ธงชัยของพระอรหันต์มีความหมายอย่างนี้เป็นนัยหนึ่ง

อีกนัยหนึ่ง ผ้ากาวพัสตร์มีอยู่ที่ไหน ก็ทำให้ที่นั่นเกิดความสง่างาม ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาระรานด้วยประการใดๆ
ในพระวินัยปิฎก เรื่องต้นเหตุทุติยปาราชิกคือลักของเขา ภิกษุที่เป็นต้นเหตุถูกสอบสวน ได้ความว่าทำผิดจริง พระเจ้าแผ่นดินยกโทษให้ด้วยเหตุผลสำคัญข้อเดียว คือจำเลยเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธงชัยของพระอรหันต์ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา เรียบร้อย

ธงชัยของพระอรหันต์มีความหมายแบบนี้ด้วยอีกนัยหนึ่ง

ความหมายอีกนัยหนึ่งที่ได้จากการสนทนากันคืนนั้น เป็นแนวคิดที่แตกต่างออกไปจากความเข้าใจทั่วไป แนวคิดนั้นก็คือ คฤหัสถ์ที่ปฏิบัติธรรมจนบรรลุอริยผลถึงภูมิพระอรหันต์แล้ว ถ้าไม่บวชก็จะปรินิพพานภายในวันนั้น
ภายในวันนั้นนะครับ ไม่ใช่ภายใน ๗ วัน อย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจผิด

พูดภาษาชาวบ้านฟังง่ายๆ ก็คือ ถ้าไม่บวชก็ตาย แต่ถ้าบวช ก็จะทรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ตามอายุขัยหรือตามเหตุปัจจัยเหมือนมนุษย์ทั่วไป พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ผ้าเหลืองช่วยไว้จึงไม่ตาย ที่กล่าวว่า “ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระอรหันต์” จึงมีความหมายหลายนัยดังได้แสดงมา


     นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
     ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ,๑๘:๓๘


ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/02/22/สามเรื่องที่คิดเห็นในค-2/
บทความ : สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๓) โดย ทองย้อย แสงสินชัย
22 กุมภาพันธ์ 2021, By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๔) : ภิกษุเรียกภิกษุณีว่า “ภคินิ” มีนัยอย่างไร.?

คำถามข้อที่ ๓ ถามว่า ภิกษุเรียกภิกษุณี ใช้อาลปนะว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” มีนัยอย่างไร.?

ทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า “อาลปนะ” (อ่านว่า อา-ละ-ปะ-นะ) ในที่นี้เป็นคำที่ใช้ในหลักภาษา หมายถึงถ้อยคำที่ใช้เมื่อร้องทักทายกัน เช่นนักการเมืองเรียกคนที่มาฟังคำปราศรัยหาเสียงว่า “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย”
คำว่า “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย” นี่คือ “อาลปนะ”

คนไทยใช้คำเรียกกันว่า คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย , ลุง-ป้า-ตา-ยาย นี่คือ “อาลปนะ”
เพื่อนสนิทเจอกัน ร้องทักกันว่า “เฮ่ย ไอ้…(สัตว์เลื้อยคลานสี่เท้า)” “เฮ่ย ไอ้…(สัตว์เลื้อยคลานสี่เท้า)” นี่คือ “อาลปนะ”

ประเด็นปัญหาก็คือ ในคัมภีร์ ปรากฏว่าภิกษุใช้คำอาลปนะเรียกภิกษุณีว่า “ภคินิ” ซึ่งนักเรียนบาลีในเมืองไทยแปลกันว่า “ดูก่อนน้องหญิง”

ภิกษุณีอายุแก่กว่าภิกษุ ภิกษุก็ยังใช้คำเรียกว่า “ภคินิ – ดูก่อนน้องหญิง”
ก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า การใช้คำเรียกขานเช่นนี้มีนัย หรือมีเงื่อนแง่อะไรแฝงอยู่กระนั้นหรือ?
ในการสนทนาครั้งนั้น ตั้งสมมุติฐานไว้ว่า คำว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” เท่านั้น ไม่ได้แปลเป็นอย่างอื่น


@@@@@@@

เมื่อตั้งกรอบไว้อย่างนี้ ข้อสันนิษฐานที่นำมาสนทนากันก็จึงถูกโยงไปที่ครุธรรมของภิกษุณี “ครุธรรม” แปลว่า “ธรรมอันหนัก” หมายถึง เงื่อนไขหรือหลักความประพฤติสำหรับนางภิกษุณีจะพึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันต้องปฏิบัติด้วยความเคารพไม่ละเมิดตลอดชีวิต มี ๘ ประการ คือ

๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้วก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว
๒. ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้
๓. ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายโดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน โดยรังเกียจ (รังเกียจ หมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติกรรมอะไรที่น่าเคลือบแคลง)
๕. ภิกษุณีต้องอาบัติหนัก ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์สองฝ่าย (คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ๑๕ วัน
๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์สองฝ่าย เพื่อนางสิกขมานา
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุไม่ว่าจะโดยปริยายใดๆ
๘. ไม่ให้ภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุ แต่ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้

ภาพรวมของครุธรรมก็คือ กำหนดให้ภิกษุณีต้องอยู่ใต้ภิกษุเสมอไป เริ่มต้นที่ต้องไหว้ภิกษุ และจบลงที่ต้องฟังภิกษุฝ่ายเดียวเท่านั้น จะสอนภิกษุไม่ได้ เรียกว่า ถ้ายังมีทิฐิมานะอยู่ในใจละก็เป็นภิกษุณีไม่ได้ ครุธรรมจึงนับว่าเป็นเครื่องมือกำราบกิเลสไปตั้งแต่ด่านแรกเลยทีเดียว

การพูดจากันระหว่างภิกษุกับภิกษุณี เป็นสิ่งที่ย่อมต้องมีในชีวิตประจำวัน การกำหนดคำเรียกขานภิกษุณีเพื่อกำราบทิฐิมานะ จึงเป็นวิธีการและเป็นโอกาสที่ดีมากๆ แบบว่า ขัดเกลากิเลสไปตั้งแต่คำร้องเรียกกันนั่นเลยทีเดียว

ลองนึกดู ภิกษุณีอายุคราวแม่ แต่ถูกภิกษุคราวลูกเรียกว่า “น้องหญิง” จะรู้สึกอย่างไร
ฟังคำเรียกขานจากภิกษุคราใด ก็เท่ากับได้กำราบกิเลสในใจตัวเองทุกครั้งไปว่า “อย่ามีทิฐิมานะ”

@@@@@@@

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมภิกษุจึงใช้คำอาลปนะเรียกภิกษุณีว่า “ภคินิ ดูก่อนน้องหญิง”
ขอย้ำว่า ข้อสันนิษฐานและข้อสรุปดังที่สนทนากันนี้ ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า คำว่า “ภคินิ” แปลว่า “ดูก่อนน้องหญิง” เท่านั้น

แต่ถ้าศึกษาวัฒนธรรมการใช้คำเรียกขานระหว่างนักบวชกับสตรี หรือระหว่างนักบวชชายกับนักบวชสตรี ก็อาจจะได้ข้อมูลเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่นั่นก็อยู่นอกกรอบขอบเขตของการสนทนากันในคราวนั้น

ถ้านักเรียนบาลีบ้านเราสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมการใช้คำเรียกขานของผู้คนในชมพูทวีป ก็จะได้หลักความรู้ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก น่าเสียดายที่นักเรียนบาลีบ้านเราตั้งเป้าหมายไว้ที่การสอบได้เป็นส่วนมาก ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่การศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์มีน้อยอย่างยิ่ง

วันนี้ (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ เริ่มสอบบาลีสนามหลวงชั้นเปรียญธรรม ๖ และ ๗ สอบ ๒ วัน ต่อด้วยวันที่ ๒๓-๒๔-๒๕ กุมภาพันธ์ สอบชั้นเปรียญธรรม ๘ และ ๙ ขอถวายกำลังใจ/ให้กำลังใจแก่ผู้เข้าสอบทุกท่าน สอบให้ได้ แล้วเอาความรู้ไปต่อยอด-ใช้ค้นคว้าพระไตรปิฎกกันต่อไปนะขอรับ อย่าปล่อยให้ลุงแก่ๆ ทำงานอยู่คนเดียว


     นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
     ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ,๑๙:๔๘




ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/02/22/ภิกษุเรียกภิกษุณีว่า-ภ/
บทความ : สามเรื่องที่คิดเห็นในคืนเพ็ญวิสาขะ (๔) โดย ทองย้อย แสงสินชัย
22 กุมภาพันธ์ 2021, By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ