ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ฉิบหายเสียจากประโยชน์ทั้งสอง | เสื่อมเสียจาก "โภคทรัพย์และสามัญผล อันจะพึงได้รับ  (อ่าน 933 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ฉิบหายเสียจากประโยชน์ทั้งสอง | เสื่อมเสียจาก "โภคทรัพย์และสามัญผล อันจะพึงได้รับ

เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งสมัยพุทธกาล มีสามีภรรยาคู่หนึ่งผู้เกิดมาในกองเงินกองทองไม่เคยแสวงหาโภคทรัพย์นับแต่เกิดมา มารดาบิดาทั้งสองผ่ายได้มอบเงินสดให้บุตรธิดาของตนคนละ ๔๐ โกฏิ รวมเข้ากันเป็น ๘๐ โกฏิ สมบัตินอกนี้มีบ้านเรือนและเครื่องแต่งตัวเป็นต้นไม่นับ

เริ่มแต่วันแต่งงาน คู่รักผู้ระเริงในกามคุณทั้ง ๕ พากันกระหยิ่มยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ราวกับว่าจะเย้ยความอนาถาในอนาคต ความเห็นมันช่างตรงกันเอาเสียเหลือเกิน ในเมื่อผลกรรมมันจะตามสนองสองสามีภรรยาพากันปรารภว่าสมบัติมหาศาลเห็นปานนี้ ถึงแม้ไม่แสวงหามนุษย์คนไหนจะมีอายุ ๑๐๐ ปีก็ใช้ไม่หมด

ประโยชน์อะไรกับการแสวงหาทรัพย์เป็นการยุ่งยากเปล่าๆ อย่าเลยเราทั้งสองจงพากันมาหาความสุขในชีวิตนี้ให้สมปรารถนาเสียดีกว่า แล้วทั้งสองก็พากันใช้จ่ายทรัพย์อย่างชนิดที่เรียกว่ามือเติบ ต้องการอะไรใช้จ่ายไม่อั้น สุดแล้วแต่ชอบใจในทางไหน ซึ่งตนเห็นว่าจะเป็นที่ทำให้ร่าเริงใจได้

เขาทั้งสองก็มีนิสัยชอบใจเช่นเดียวกันกับมนุษย์เพื่อนร่วมโลกอื่นๆ นั่นก็คือสุรา นารี พาชี และกีฬาเป็นต้น ซึ่งตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ตรัสว่าเป็นอบายมุข ใครประกอบเข้าแล้วย่อมนำมาซึ่งความฉิบหาย สองสามีภรรยาคู่นี้ก็อยู่ในข่ายนั้นเหมือนกัน

@@@@@@@

ความคิดในเบื้องต้นผิดพลาดไปหมดเมื่อแก่เฒ่าชรามากทำงานไม่ไหวแต่ตัวยังไม่ตาย ใช้จ่ายทรัพย์หมดไปก่อน หมดตลอดถึงบ้านเรือนไร่นา ปศุสัตว์ต่างๆ จำหน่ายขายมาบำรุงอบายมุข ทำอย่างไรทีนี้ยังเหลืออยู่วิธีเดียว ซึ่งเป็นวิธีของคนอนาถา วิธีนั้นก็คือพากันปรารภจะออกขอทานตามหมู่บ้านและทุกตรอกซอกซอยตามถนนต่างๆ

วันหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตูศาลา เพื่อรอรับอาหารที่เหลือเศษจากภิกษุสามเณร พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตร แล้วตรัสแก่พระอานนท์ว่า

เศรษฐีคนนี้ถ้าเธอประกอบอาชีพเมื่ออยู่ในปฐมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีที่หนึ่งในกรุงราชคฤห์นี้
ถ้าเธอประกอบอาชีพเมื่ออยู่ในมัชฌิมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีที่สอง ในกรุงราชคฤห์นี้
ถ้าเธอประกอบอาชีพเมื่อปัจฉิมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีคนที่สามในกรุงราชคฤห์นี้

หากเธอออกบวชแต่วัยต้น เขาจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ภรรยาของเขาจะได้สำเร็จพระอนาคามี
หากเธอออกบวชในวัยกลาง เขาจะได้สำเร็จพระอนาคามี ภรรยาของเขาจะได้สำเร็จพระสกทาคามี
หากเธอออกในวัยสุดท้ายเขาจะได้สำเร็จเป็นสกทาคามี ภรรยาเขาจะได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน

นี่เขามาฉิบหายเสียจากประโยชน์ทั้งสอง คือ เสื่อมเสียจากโภคทรัพย์ และสามัญผลอันจะพึงได้รับ


@@@@@@@

ดั่งนี้ ที่ชักอุทาหรณ์มาเล่าให้ฟังนี้ ก็พอจะมองเห็นแล้วว่า กาลเวลามีความสำคัญแก่ความเป็นอยู่ของคนเราอย่างไร วัน คืน เดือน ปี ถึงแม้จะเป็นธรรมดาของดินฟ้าอากาศก็ตามที แต่ชีวิตอายุของมนุษย์สัตว์ ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้น วัน คืน เดือน ปี เป็นเครื่องวัดชีวิตอายุของมนุษย์ทั้งหลาย

ถึงใครจะคำนวณนับมันหรือไม่ก็ตาม แต่มันจะต้องนำเอาชีวิตอายุของมนุษย์ทั้งหลาย ถึงใครจะคำนวณนับมันหรือไม่ก็ตาม แต่มันจะต้องนำเอาชีวิตของมนุษย์เหล่านั้นไปด้วยทุกขณะ ชีวิตของมนุษย์สัตว์จะหมดไปตามมันทุกขณะ

ผู้ประมาทแล้วได้ชื่อว่าปล่อยให้วันคืน เดือน ปี กลืนกินชีวิตอายุหมดไปเสียเปล่า โดยไม่มีอะไรเป็นเครื่องตอบแทน ผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมดูถูกชีวิตของตน โดยเห็นเป็นของเล็กน้อยด้วย เป็นของไม่มีสาระเปล่าจากประโยชน์ด้วยและรักษาได้ยากด้วย

แต่ไม่ประมาทในการสร้างคุณงามความดี เพื่อให้ทันกับความเป็นอยู่ อันมีประมาณน้อยนั้นๆ ฉะนั้น กาลเวลาจึงมีคุณค่าแก่ผู้ไม่ประมาทแล้วอย่างมหาศาล สามารถให้ผู้เจริญฌานสมาธิโดยปรารภความเสื่อมความสิ้นไปแห่งอัตภาพอันนี้ให้ถึงมรรคผลนิพพานได้




โอวาทธรรม : วันคืนล่วงไปๆ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต ขอบคุณลานธรรมจักร
ขอบคุณ : https://www.naewna.com/likesara/572578
วันพุธ ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 19.26 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ