« เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2021, 07:03:35 am »
0
ปปัญจธรรม : นิปปปัญจธรรม
ถามว่า : ธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ ก็คือ ปปัญจธรรม 3 ได้แก่ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ย่อมมีการดิ้นรน ไข่วคว้าให้วัฏฏทุกข์ยืดยาว แต่ทำไมธรรมที่มีสภาพตรงกันข้าม คือ นิปปปัญจธรรม คือ ธรรมที่ปราศจากเหตุเนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ บารมีธรรม 10 เช่น
ทานบารมีก็เป็นปฏิปักษ์ต่อความตระหนี่
ศีลบารมีก็เป็นปฏิปักษ์ต่อความทุศีล ฯลฯ
สติปัฏฐาน 4 ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อวิปัลลาส 4 และ
ตัณหากับทิฏฐิ วิปัสสนาญาณ ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อความยึดติดวัฏฏทุกข์
แม้อริยมรรค 4 อันเป็นทางหลุดพ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอริยผล 4. อันเป็นสถานภาพความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ไฉนถึงยังมีกิจขวนขวาย มีการเรียนพระปริยัติ เป็นต้นอีกเล่า.?
@@@@@@
นิปปปัญจปัญหา (ปัญหาเกี่ยวกับธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์)
พระเจ้ามิลินท์ : ”พระคุณเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคทรงภาษิตความข้อนี้ไว้ว่า
‘นิปฺปปญฺจาราโม ภิกฺขเว วิหรถ นิปฺปปญฺจรติโน
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีนิปปปัญจธรรมไว้ยินดี มีความยินดีอยู่ในนิปปปัญจธรรมเถิด‘ ดังนี้
นิปปปัญจธรรมเป็นไฉน.? โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้แก่ ธรรมประเภทไหนเล่า.?“
พระนาคเสน : ”ขอถวายพระพร เป็นธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้แก่ อริยผล 4 อันเป็นธรรมที่เป็นสถานภาพความเป็นพระอริยบุคคล 4 ประเภท มี
โสดาปัตติผลบุคคล1.
สกทาคามิผลบุคคล 1.
อนาคามิผลบุคคล 1.
อรหัตผลบุคคล 1.
@@@@@@@
พระเจ้ามิลินท์ : ”พระคุณเจ้านาคเสน ถ้าหากว่าอริยผล 4 นับเป็นนิปปปัญจธรรมอันยิ่งยวดแล้วไซร้ ถ้าอย่างนั้นภิกษุเหล่าใดยังยก นวังคสัตถุศาสน์(คำสอนของพระศาสดามีองค์ 9 มี สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาย อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ) ขึ้นแสดงขึ้นไต่ถามอยู่ ยังยุ่งเกี่ยวกับงานก่อสร้างอยู่ ยังยุ่งเกี่ยวกับทานและการบูชาอยู๋ ภิกษุเหล่านั้นจักไม่ถือว่า ประพฤติปฏิบัติตนขัดแย้งกับพระพุทธดำรัสหรือหนอ.?
พระนาคเสน : ”ขอถวายพระพร ภิกษุเหล่าใด ยังจำเป็นต้องยกนวังคสัตถุศาสน์ขึ้นแสดงขึ้นไต่ถามอยู่ ยังจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับการก่อสร้างอยู่ ยังจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับทานและการบูชาอยู่ ภิกษุเหล่านั้นล้วนชื่อว่า กระทำเพื่อการบรรลุนิปปปัญจธรรมในส่วนที่เป็นอริยพล 4 ทั้งสิ้น
ขอถวายพระพร ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ด้วยกิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชา เป็นต้น และมีบารมีเต็มเปี่ยมาแล้ว ย่อมบรรลุนิปปปัญจธรรม อันเป็นส่วนอริยผล 4 โดยต่อจากอริยมรรค 4 เพียงขณะจิตเดียว(ไม่มีระหว่างคั่น) ส่วนภิกษุเหล่าใด ยังเป็นผู้ที่ตาปัญญามีธุลีมากอยู่ ภิกษุเหล่านั้นจะบรรลุความเป็นผู้มีนิปปปัญจธรรมอันเป็นส่วนอริยผล 4 ด้วยประโยคะ คือ ความพยายามขวนขวาย กิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชา เป็นต้น นั่นเอง.
ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า บุรุษคนหนึ่ง หว่านพืชไว้ในที่นาดีแล้ว ก็พึงใช้ความพยายามตามสมควรแก่กำลังของตน เก็บเกี่ยวธัญญชาติ(ข้าว)ได้ โดยเว้นการล้อมรั้ว, ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง ทั้งๆที่หว่านพืชในนาดีแล้วเหมือนกัน ก็ยังจำเป็นต้องเข้าป่าตัดท่อนไม้และกิ่งไม้มาทำรั้วล้อม จึงจะมีโอกาสก็บเกี่ยวธัญญชาติได้ อุปมาเป็นฉันใด อุปมัยก็เป็นฉันนั้นนั่นแหละ
@@@@@@@
ขอถวายพระพร หมายความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยกิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชา เป็นต้น และเต็มเปี่ยมด้วยบารมีที่ได้อบรมไว้แล้วในภพก่อน, ภิกษุเหล่านั้นย่อมบรรลุนิปปปัญจธรรมอันเป็นส่วนอริยผล 4 ได้ โดยขณะจิตเดียว คือต่อจากอริยมรรค 4 ทันทีไม่มีระหว่างคั่น จึงเปรียบได้กับบุรุษผู้เก็บเกี่ยวธัญญชาติได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีรั้วกั้นนั่นเอง
ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ที่ตาปัญญายังมีธุลีอยู่มาก ภิกษุเหล่านั้นย่อมบรรลุนิปปปัญจธรรมอันเป็นส่วนอริยผล 4 ได้ ก็โดยยังจำเป็นต้องอาศัยประโยคะ คือ ความเพียรพยายามขวนขวาย กิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชาเป็นต้น จึงเปรียบได้กับบุรุษที่จำเป็นต้องทำรั้วล้อมไว้ก่อน ถึงจะมีโอกาสเก็บเกี่ยวธัญญชาติได้นั่นเอง
ขอถวายพระพร อีกอุปมาหนึ่ง เปรียบเหมือน ช่่อผลมะม่วงที่มีอยู่บนต้นมะม่วงใหญ่ บุรุษผู้มีฤทธิ์ย่อมเหาะเก็บเอาช่อมะม่วงไปได้สะดวก ส่วนบุรุษผู้ไม่มีฤทธิ์ ย่อมไม่สะดวกจำเป็นต้องตัดไม้และเถาวัลย์ผูกเป็นะะองก่อน จึงจะไต่ไปเก็บเอาช่อมะม่วงได้ อุปมาเป็นฉันใด อุปมัยก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
ขอถวายพระพร อีกอุปมาหนึ่ง เปรียบเหมือน พ่อค้าที่ฉลาดรอบรู้มีทักษะประสพการณ์มาดีแล้ว ย่อมแสวงหากำไรได้โดยลำพังตนเอง ส่วนพ่อค้าผู้ไม่รอบรู้ แต่มีทุนทรัพย์ ก็ย่อมแสวงหากำไรได้ โดยจ้างกลุมชนที่รอบรู้ช่วย อุปมาเป็นฉันใด อุปมัยก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
ขอถวายพระพร อนึ่ง นิปปปัญจธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหน ก็ล้วนสำคัญด้วยกันทุกส่วน เหตุเพราะทุกส่วนเนื่องกันอยู๋ ไม่ได้ตัดขาดออกจากกันเสียที่เดียว ขึ้นอยู่กับสถานภาพของบุคคลที่ฝึกมามากน้อยต่างกัน ตัวอย่างท่านพระสารีบุตรเถระ มีกิจฟังพระคาถาสั้นน้อยนิดจากพระอัสสชิเพียงพระคาเดียวก็บรรลุโสดาบันทันที ดังนั้นแล ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย พึงมีนิปปปัญจธรรมไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนๆก็ตามไว้ยินดีเถิด สมดังพระดำรัจที่พระเจ้ามิลินท์ได้นำมาตั้งเป็นปัญหาถามพระนาคเสนเถระ เพื่อประเทืองปัญญาให้แก่พวกเรานั่นแล
ขอบคุณ :
dhamma.serichon.us/2020/10/17/ปปัญจธรรม-โลภะ-ทิฏฐิ-มาน/ บทความของ สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ ,17 ตุลาคม 2020 By admin.