ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จุดเสื่อม “เมืองพระนคร” จากปัญหาภายในและศาสนา สู่การปิดฉากโดยกองทัพอยุธยา  (อ่าน 1174 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



จุดเสื่อม “เมืองพระนคร” จากปัญหาภายในและศาสนา สู่การปิดฉากโดยกองทัพอยุธยา

อาณาจักรเขมรในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับว่าเป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากยุคหนึ่ง เห็นได้จากการสร้างเมืองนครธมให้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร แม้จะเป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นร่มเย็นมั่นคง ดังปรากฏในจารึกพิมานอากาศตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “ในรัชกาลก่อน อันแผ่นดินแม้ปกด้วยร่มเศวตฉัตรหลายองค์ แต่ก็ทุกข์ร้อนอย่างแสนสาหัส กระนั้นก็ตามในรัชกาลของพระองค์ [หมายถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7] ซึ่งมีร่มเศวตฉัตรเดียว นับเป็นเรื่องแปลกนักที่แผ่นดินได้รับการปลดเปลื้องจากความทุกข์ทรมานโดยสิ้นเชิง”

แต่ปัญหาความซับซ้อนด้านสังคมและศาสนา ผนวกกับการเมืองภายในและนอก ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า และสะสมเรื่อยมาจนถึงหลังสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทำให้อาณาจักเขมรในสมัยเมืองพระนครนี้ต้องถึงกาลอวสาน

ปราสาทตาพรหม ตั้งอยู่ห่างออกจากเมืองพระนคร ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ความเจริญรุ่งเรืองในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นการสร้างความเป็นเอกภาพแก่อาณาจักรเขมรในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น กระทั่งพระองค์สวรรคตในช่วงราว พ.ศ. 1762 [1] ขณะที่ทรงมีพระชนมายุกว่า 90 พรรษา โดยอ้างจากหลักฐานการครองราชย์ของพระองค์ในช่วง พ.ศ. 1744 เมื่อทรงส่งคณะทูตไปยังราชสำนักจีน โดยทรงได้รับการเฉลิมพระนามภายหลังสวรรคต ดังที่ปรากฏในจารึกว่า “มหาบรมสุคตบท”

โดยก่อนหน้านี้ อาณาจักเขมรต้องทำสงครามกับอาณาจักรจามปา แม้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จะทรงสามารถควบคุมอาณาจักรจามปามาได้ตลอดรัชกาลและในที่สุดสามารถรวมอาณาจักรจามปาเป็นหนึ่งเดียวกับอาณาจักรเขมรในช่วง พ.ศ. 1746-1763 แต่เป็นไปได้ว่าการสิ้นพระชนม์ลงของพระองค์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายขึ้นภายในอาณาจักร จนนำมาสู่การเสื่อมลงของพระราชอำนาจจากศูนย์กลางในเวลาต่อมา

ภายหลังรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พบหลักฐานจารึกถึงที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงจากการนับถือพุทธศาสนานิกายมหายานมาเป็นศาสนาฮินดู และการแพร่หลายของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ประกอบกับพบการดัดแปลงรูปเคารพและศาสนสถานหลายแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งทรงนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ถูกแปลงเปลี่ยนให้เป็นแบบศาสนาฮินดู อาจเป็นไปได้ว่ากษัตริย์แห่งเมืองพระนครผู้ครองราชย์ในลำดับต่อจากพระองค์อาจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงภายในราชสำนัก และการยอมรับนับถือศาสนาฮินดูที่มีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น

พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขึ้นครองราชย์สืบต่อและยังทรงสืบต่อคติพุทธศาสนานิกายมหายานจากพระราชบิดา แต่ในรัชกาลต่อมาคือ ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 พระราชนัดดา (หลาน) ในพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาณาจักรเขมรเริ่มเข้าสู่ความวุ่นวายจากปัญหาทั้งภายในและภายนอก อิทธิพลของพวกพราหมณ์อาจมีบทบาทมากขึ้นและนำไปสู่ความขัดแย้งภายในราชสำนัก โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ทรงหันมายอมรับนับถือศาสนาฮินดู และพบว่ามีการทำลายรูปเคารพและศาสนสถาน ซึ่งอาจเป็นผลของความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงผู้อุปถัมภ์ศาสนาในราชสำนัก


พระอวโลกิเตศวร สันนิษฐานว่า ใบหน้าถ่ายแบบมาจาก พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า หลังจากรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 อาณาจักรเขมรเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในอีกครั้ง เมื่อผู้ครองราชย์ต่อมาคือ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 ซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย) ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ทรงตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น แล้วทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแพร่หลายทั่วไปทั้งในราชสำนักและในหมู่ประชาชน ในรัชสมัยของพระองค์ได้พบจารึกภาษาบาลีขึ้นเป็นครั้งแรกและการสร้างวัดในพุทธศาสนานิกายเถรวาทอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม พระราชโอรสของพระองค์คือ พระเจ้าอินทรชัยวรมัน ผู้ครองราชย์ต่อมา กลับไปนับถือศาสนาฮินดูอีก ในช่วงเวลาดังกล่าวอิทธิพลจากภายนอก ทั้งการแยกตัวเป็นอิสระของเครือข่ายอาณาจักรเดิม และการเกิดศูนย์กลางอำนาจใหม่ของพวกสยามทางทิศตะวันตกและพวกมองโกลทางตอนเหนือ ทำให้อาณาจักรเขมรเข้าสู่ความถดถอย กษัตริย์เขมรในปลายสมัยเมืองพระนครซึ่งได้แก่ พระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร ทรงไม่สามารถต้านทานการรุกรานจากภายนอกและความวุ่นวายภายใน จึงได้ทรงล่าถอยจากเมืองพระนครไปในราว พ.ศ. 1974 อันเป็นจุดสิ้นสุดของความรุ่งเรืองในเมืองพระนครที่ดำเนินมากว่า 5 ศตวรรษ

การเริ่มเสื่อมลงของอาณาจักรเขมรภายหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ดูจะเป็นความคลุมเครือและอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งมีปัจจัยจากภายนอกมาเป็นตัวกระตุ้น การเกิดใหม่ของศูนย์กลางอำนาจในดินแดนอื่น ๆ อย่างสยาม เหล่านี้มีบทบาทต่อการคงอยู่ของอาณาจักรเขมรมากพอ ๆ กับความขัดแย้งภายในสังคมเขมรเอง

ยอร์ช เซเดส์ และหลุยส์ ฟีโนต นักวิชาการฝรั่งเศส สันนิษฐานว่า ความเสื่อมลงของอาณาจักรเขมรอาจเกิดขึ้นทีละน้อย จากความเหนื่อยล้าของชนชั้นแรงงานและทาส ที่ต้องทำงานหนักเพื่อก่อสร้าง เพาะปลูกอาหาร และทะนุบำรุงศาสนสถานมากมายมหาศาลของกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน หรือศาสนาฮินดู ซึ่งดำเนินมาหลายศตวรรษ ความเป็นไปในสังคมที่เริ่มก่อตัวขึ้นและการเปิดรับพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่มีแนวคิดที่ต่างออกไปได้เผยแพร่เข้าสู่สังคมเขมรเป็นเวลานานแล้ว และค่อย ๆ เพิ่มความสำคัญมากขึ้น ประชาชนอาจยินดีรับศาสนาใหม่ที่จรรโลงจิตใจและเน้นความพอเพียง การรุกรานและสงครามกับสยามอาจเป็นเสมือนหนึ่งการปลดปล่อยและการหลุดพ้น


ปราสาทนครวัด ศูนย์กลางของเมืองพระนครวัด ในสมัยหลังพระนคร

จิตร ภูมิศักดิ์ นักประวัติศาสตร์ไทยได้เสนอมุมมองไว้อย่างน่าสนใจในงานเขียนประวัติศาสตร์สนทนาเรื่องตำนานแห่งนครวัด ใน พ.ศ. 2501 จิตรสนับสนุนแนวความคิดของเซเดส์ที่กล่าวข้างต้น ในตอนหนึ่งของงานเขียนฉบับนี้เขากล่าวว่า

“ความหายนะของอาณาจักร มีสาเหตุขั้นพื้นฐานจากความขัดแย้งกันเกิดขึ้นภายในสังคมของกัมพูชาเอง นั่นคือการปฏิวัติประชาชน การรัฐประหารภายในหมู่ชนชั้นปกครอง และความขัดแย้งที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดทางศาสนา ระหว่างพุทธศาสนาฝ่ายหินยานกับศาสนาพราหมณ์ ส่วนการรุกรานของไทยเป็นเพียงพลังจากภายนอก ที่เปิดโอกาสให้ความขัดแย้งภายในปรากฏผลอันสมบูรณ์ออกมารวดเร็วยิ่งขึ้น”

แนวความคิดของจิตรยังมุ่งเน้นไปที่ประเด็นมุมมองทางสังคม ความขัดแย้งในสังคมเขมรโบราณระหว่างชนชั้นทาส ในหมู่ผู้คุมทาส และชนชั้นปกครอง เขาปฏิเสธแนวทางของเซเดส์ ซึ่งนำเอาประวัติศาสตร์เป็นแกนหลัก โดยชี้ให้เห็นถึงมุมมองด้านอื่นเช่น ตำนาน ที่ปรากฏในพงศาวดารเขมร ซึ่งเขียนขึ้นโดยผูกเรื่องเล่าเข้ากับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โดยแฝงนัยของการสื่อสารการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมเขมร

ตำนานดังกล่าวนั้นเป็นตำนานปรัมปราเรื่องหนึ่งที่จิตรเขียนไว้ในหนังสือเรื่องตำนานแห่งนครวัด ซึ่งกล่าวถึงเมื่อครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมายังอาณาจักรกัมพูชา ได้พบขอทานพิการยากจนผู้หนึ่งซึ่งได้รับทานมาเป็นข้าวก้อนหนึ่ง แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธองค์จึงถวายข้าวนั้นใส่ในบาตร นิ้วมือที่เป็นแผลก็ได้หลุดร่วงลงในบาตรด้วย เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยข้าวได้พบนิ้วมือ จึงทรงพยากรณ์ว่า “บุรุษผู้นี้จะได้เกิดเป็นคนพิการ แล้วได้เป็นกษัตริย์ในนครอินทรปรัสถ์ และจะได้ทำการลบศกราชไสยศาสตร์”

ซึ่งกลายเป็นพุทธทำนายของกษัตริย์พิการนามพระเจ้าสินธพอมรินทร์ที่มีเรื่องเล่าไว้อย่างพิสดาร อย่างไรก็ตาม เรื่องราวดังกล่าวเป็นการสื่อสารแนวคิดที่สามัญชนคนธรรมดาสามารถเป็นกษัตริย์ปกครองหากมีความชอบธรรมและมีนัยของปรัชญาทางพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่เรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะมาแทนที่ความเชื่อของศาสนาฮินดูและพิธีกรรมของพวกพราหมณ์

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงม้า ภาพสลักผนังระเบียงคดด้านทิศตะวันตกปราสาทบายน

เราไม่อาจทราบถึงข้อเท็จจริงความรุนแรง และความเป็นไปของเหตุการณ์ในช่วงหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และการเสื่อมลงของอำนาจจากศูนย์กลางอาณาจักรได้ชัดเจนนัก เนื่องจากขาดหายไปของหลักฐานจารึก ดังนั้น การสันนิษฐานจากเรื่องราวในตำนานอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่บอกได้ถึงแนวโน้มทางความคิดในสังคมยุคนั้น

นักวิชาการบางส่วนสันนิษฐานว่า อาจเป็นช่วงของปลายสมัยเมืองพระนครและการเข้าสู่สมัยหลังเมืองพระนคร ซึ่งเป็นการเปลี่ยนอำนาจจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 สู่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 ผู้นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท และมีนัยของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจากฮินดูสู่พุทธเถรวาท ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนสังคมรากหญ้าและสังคมชั้นปกครอง เป็นการผสมผสานแนวคิดแบบพุทธเถรวาทและปฏิเสธการผูกขาดทางลัทธิความเชื่อทางศาสนาและการเมืองการปกครองอันยาวนานของเขมรหลายร้อยปีลง




อ้างอิง : วรรณวิภา สุเนต์ตา. (2548). ชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรกัมพูชา ผู้เนรมิตสถาปนาปราสาทบายน และเมืองนครธม. กรุงเทพฯ : มติชน.
เผยแพร่ ; วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2564
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 1 มิถุนายน 2564
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/history/article_68367
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2021, 05:27:01 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ