บันทึกเรื่อง “ทุเรียน” ในประวัติศาสตร์ไทย ลาลูแบร์บอก “กลิ่นเกินทน”ความดีงามของฤดูร้อนอย่างหนึ่งก็คือ มีผลไม้หลายชนิดให้เลือกกิน ตั้งแต่มะม่วง, ทุเรียน, เงาะ, มังคุด, ลำใย ฯลฯ แต่ที่ถือว่า “แรง” ทั้งเรื่องราคา, กลิ่น คงต้องยกให้ “ทุเรียน”
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่เป็นที่รู้จักและบริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่ในโลกตะวันตกนั้น ทุเรียนกลับเป็นที่รู้จักมาเพียงระยะเวลา 600 ปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกสุดชาวยุโรปรู้จักทุเรียนจากบันทึกของนิกโกเลาะ ดา กอนตี (Niccolò Da Conti) ที่เดินทางท่องเที่ยวไปในภูมิภาคดังกล่าว ในช่วงระยะเวลาคริสต์ศตวรรษที่ 15 [1]
ในเมืองไทย คนไทยกินทุเรียนกันมานาน อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีบันทึกของ ลาลูแบร์ ราชทูตจากฝรั่งเศส เป็นหลักฐาน เขาเขียนถึงทุเรียนไว้ตอนหนึ่งว่า [2]
“ผล Durion ในภาษาสยามว่า ทุเรียน (Tourien) เป็นผลไม้ที่มีผู้ชอบบริโภคกันมากในชมพูทวีป แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทนไม่ไหวเพราะกลิ่นอันเลวร้ายของมัน ผลไม้ชนิดนี้มีขนาดเท่าๆ กับแตงไทยของเราหุ้มด้วยเปลือกมีหนามเหมือน ผลเซท์นัท (châtaigne) มีพูหลายพูเหมือนขนุน แต่ใหญ่ขนาดเท่าไข่ไก่ เป็นเนื้อผลไม้ที่เขาใช้บริโภคกัน ข้างในมีเมล็ดอีกเมล็ดหนึ่ง ในทุเรียนผลหนึ่งยิ่งมีจํานวนพูน้อยลงเท่าใด ก็จะยิ่งมีรสชาติดีมากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีน้อยกว่า 3 พูเลย” [เน้นโดยผู้เขียน]
ภาพทุเรียนในบันทึกของลาลูแบร์
ส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของทุเรียนในสมัยธนบุรีถึงรัตนโกสินทร์นั้น สารานุกรมฉบับเยาวชน [3] บันทึกไว้ว่า
“พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) ได้กล่าวถึงการแพร่กระจายพันธุ์ของทุเรียน จากจังหวัดนครศรีธรรมราช มายังกรุงเทพฯ ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2318 และมีการทำสวนทุเรียนในตำบลบางกร่าง ในคลองบางกอกน้อยตอนใน มาตั้งแต่ พ.ศ. 2397 ในระยะต้น เป็นการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และพัฒนามาเป็นการปลูกด้วยกิ่งตอน จากพันธุ์ดี 3 พันธุ์ คือ อีบาตร ทองสุก และการะเกด”
แต่ชาวสวนจำนวนหนึ่งก็พบปัญหาว่าไม่สามารถหากิ่งตอนจากพันธุ์ดีได้ จึงต้องขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2397 จนกระทั่งก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ใน พ.ศ. 2485 รวมระยะเวลากว่า 80 ปี ทำให้เกิดทุเรียนพันธุ์ลูกผสมจำนวนมาก และมีการขยายพันธุ์ปลูกในที่ต่างๆ
เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ใน พ.ศ. 2485 ทุเรียนหลายสายพันธุ์ ในเขตจังหวัดนนทบุรี และธนบุรีสูญหาย เพราะสวนล่ม บางสวนที่รอดจากน้ำท่วมกลายเป็นแหล่งพันธุ์ แต่เนื่องจากการขยายพันธุ์ปลูก ทำได้ไม่รวดเร็วพอ เกษตรกรจึงต้องใช้เมล็ดเป็นพันธุ์ปลูก ทำให้ได้ทุเรียนพันธุ์ลูกผสมเพิ่มเติม
@@@@@@@
คาดว่า “ทุเรียน” คงเป็นผลที่ได้รับความนิยมมาก “วชิรญาณวิเศษ” จึงเตือนให้ระมัดระวัง “การเรอ” หลังจากกินทุเรียนไว้ [4]
“ประการหนึ่ง ควรที่ไทยผู้ดีจะรวังตนจงหนัก ในเวลาที่เข้าไปอยู่ในพวกผู้ดี ห้ามอย่าให้เรอส่งกลิ่นอาหารซึ่งได้บริโภค โดยถือว่าโอชารส แต่เปนที่รังเกียจแก่ท่านผู้อื่น เช่นกระเทียมดองหรือทุเรียนเปนต้นนั้นจงกวดขัน ถ้าเวลามีกิจจะเข้าไปในที่ประชุม ก็ควรจะงดเว้นเสียไม่บริโภค หรือชำระอย่าให้มีกลิ่นฟุ้งไปให้ปรากฎแก่มหาชนได้” [เน้นโดยผู้เขียน]
ถึงวันนี้ “ทุเรียน” ที่คนส่วนใหญ่กินและคุ้นเคยมักเป็น หมอนทอง, ชะนี และก้านยาว ทว่า เรายังมีทุเรียนรสดี, เนื้อละเอียด, กลิ่นหอมชวนกินอีกหลายชนิด แต่มีขายน้อยหรือไม่มีขายเลย เพราะไม่ค่อยรู้จักขายยาก, มีผลผลิตน้อยไม่พอส่งมาขายในตลาดขนาดใหญ่ ฯลฯ
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) บันทึกไว้ใน “พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน” [5] ลองดูว่ามีกี่ชนิดที่ท่านผู้อ่านเคยล้มลองมาแล้ว
เชิงอรรถ :-
[1] เว็บไซต์คลังข้อมูลสารสนเทศระดับภูมิภาค (ภาคใต้) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์กรมหาชน) สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2563
[2] มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ (เขียน), สันต์ ท.โกมลบุตร (แปล), จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2557
[3] เว็บไซต์สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2563
[4] วชิรญาณวิเศษ, เล่มที่ 9 แผ่นที่ 37 วันที่ 12 กรกฎาคม ร.ศ. 113
[5] พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร), พรรณพฤกษากับสัตวาภิธาน, โรพิมพ์พิพรรฒธนากร พ.ศ. 2471
เผยแพร่ ; วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2564
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ : เมื่อ 10 เมษายน 2563
ขอบคุณ :
https://www.silpa-mag.com/history/article_48285