ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมทานเป็นเลิศ | ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง  (อ่าน 2274 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29335
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ธรรมทานเป็นเลิศ | ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง

การให้ธรรมเป็นทาน

ภิกษุที่แสดงพระธรรมเทศนา ชื่อว่าให้ "ธรรมเป็นทาน" คฤหัสถ์ที่กล่าวธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว ได้ศึกษามาแล้วให้ผู้อื่นได้รู้ตาม เช่นเรื่องของนางขุชชุชตรา ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แล้วกลับมาแสดงธรรมแก่พระนางสามาวดีและบริวาร ให้ได้บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันก็ดี ครูอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนศิษย์ให้อยู่ในกรอบแห่ง ศีลธรรมก็ดี บิดามารดาที่สอนบุตรหลานให้ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ ในศีล ๕ ก็ดี เหล่านี้ชื่อว่า เป็นการให้ธรรมเป็นทานทั้งสิ้น

มังคลัตถทีปนี้แปล เล่ม ๓ หน้า ๔๗-๕๘ กล่าวว่า พระธรรมกถึกในพระศาสนานี้ ชี้แจงให้ผู้ฟังเห็นกรรม และวิบากคือผลแห่งกรรม จําแนกธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล แจกแจงให้เห็นว่าธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้บุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขทั้งโลกนี้โลกหน้า

การแสดงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศแล้ว อันเป็นเหตุให้สิ้นทุกข์ และนําสุขมาให้ ชื่อว่า "ธรรมทาน" เช่น อุปติสสะได้ฟังธรรม ของพระอัสสชิเถระแล้ว ได้บรรลุโสดาปัตติมรรค กลับมากล่าวธรรมนั้นแก่โกลิตะ ตามกติกาที่ให้แก่กันไว้ว่า หากผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจักมาบอกข่าวให้กันทราบโกลิตะได้บรรลุโสดาปัตติมรรคเมื่อฟัง ธรรมนั้น ในกรณีนี้ธรรมที่พระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะ และธรรมที่อุปติสสะกล่าวแก่โกลิตะ ชื่อว่า "ธรรมทาน"

@@@@@@@

เวลาต่อมา อุปติสสะและโกลิตะพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดาทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่ออุปสมบทแล้วพระพุทธองค์ทรงประทานนามตามนามของมารดาทั้งสองท่านว่า สารีบุตร และโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะได้บรรลุพระอรหัตภายในเวลา ๗ วัน พระสารีบุตรบรรลุพระอรหัตในเวลาล่วงไป ๑๕ วัน พระบรมศาสดาทรงแต่งตั้งท่านทั้งสองไว้ในตําแหน่งคู่อัครสาวก ในพระศาสนานี้ ในบรรดาทานทั้งสอง คือ อามิสทาน และธรรมทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ท้าวสักกะว่า ธรรมทานเป็นเลิศ ตรัสคาถาว่า

    "ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปาง ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง"

ในมงคลสูตร พระพุทธองค์ตรัสการให้ธรรมเป็นทาน ว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งคุณทั้งหลาย คือ นอกจากการแจกแจงให้ผู้ฟังได้รับรู้สัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศ และพระวินัยที่ทรงบัญญัติ แนะนําในเรื่องที่ควรแนะนํา เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว ขณะที่ภิกษุกําลังแสดงธรรมตามที่ได้เรียนมา แม้ภิกษุผู้แสดงก็ย่อมได้ความซาบซึ้งในอรรถและในธรรมตามที่แสดงนั้นด้วย เป็นการได้ทั้งประโยชน์ ตนประโยชน์ท่าน จึงตรัสว่าการให้ธรรมทานเป็นมงคล

@@@@@@@

องค์คุณแห่งพระธรรมกถึก

อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๓ หน้า ๓๓๓-๓๓๔ กล่าวถึงองค์คุณของพระธรรมกถึก ๕ ประการ ได้แก่ ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งใจว่า

    - เราจักแสดงธรรมไปโดยลําดับ ๑
    - เราจักแสดงอ้างเหตุผล ๑
    - เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑
    - เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑
    - เราจักไม่แสดงธรรมให้กระทบตนและผู้อื่น ๑

ภิกษุพึงแสดงธรรมโดยลําดับเช่น แสดงศีลในลําดับต่อจาก ทาน แสดงสวรรค์ในลําดับต่อจากศีล เป็นต้น แสดงเหตุแห่งเนื้อความ ในธรรมที่กําลังแสดง อาศัยความเอ็นดูว่าเราจักเปลื้องสัตว์ทั้งหลายให้ พ้นจากความยากลําบาก แสดงธรรมโดยไม่หวังลาภคือปัจจัย ๔ เพื่อตน แสดงธรรมโดยไม่ยกตนข่มผู้อื่น ภิกษุพึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ ภายในใจ แล้วจึงแสดงธรรม

@@@@@@@

อานิสงส์แห่งการฟังธรรม

อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ธัมมัสสวนสูตร หน้า ๔๔๘ กล่าวถึงอานิสงส์แห่งการฟังธรรมไว้ ๕ ประการ คือ

    - ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
    - ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๑
    - ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ ๑
    - ย่อมทําความเห็นให้ตรง ๑
    - จิตของผู้ฟังย่อมบังเกิดความเลื่อมใส ๑





ขอบคุณภาพจาก : youtube
จากหนังสือ : ตามรอยพระธรรม ของ พระบรมศาสดา ผู้เขียน สุรีย์ มีผลกิจ
ขอบคุณ : https://www.nirvanattain.com/สิ่งที่ควรทำ/สร้างบุญบารมี/ทาน-การให้-การแบ่งปัน-การเสียสละ.html
02 พฤษภาคม 2563
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 08, 2021, 07:25:25 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ