ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้รักษาอุโบสถศีลนั้น ย่อมได้อานิสงส์ทั้งชาตินี้ชาติหน้า : หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม  (อ่าน 878 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29315
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ผู้รักษาอุโบสถศีลนั้น ย่อมได้อานิสงส์ทั้งชาตินี้ชาติหน้า : หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม


"...อันผู้รักษาอุโบสถศีลนั้นย่อมได้อานิสงส์ทั้งชาตินี้ชาติหน้าโดยอนุรูปแก่ความปฏิบัติของตน ดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ในตอนท้ายแห่งอุโบสถสูตรว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ที่อริยสาวกเข้าอาศัยอยู่แล้ว เป็นคุณมีผลใหญ่และอานิสงส์ใหญ่มีความรุ่งเรืองแผ่ไพศาลมาก"

ดังนี้ จะยกคุณประโยชน์แห่งการรักษาอุโบสถมาชี้ให้เห็นพอเป็นเครื่องบำรุงศรัทธาปสาทะดังต่อไปนี้

@@@@@@@

๑. ตามธรรมดาคนเรา วันปกติย่อมใช้กายวาจาใจให้สาละวนหมกมุ่น อยู่ในการงานทางบ้านนานาประการ การงานบางอย่างก็สะดวกบางอย่างก็ติดขัด ที่ติดขัดก็เป็นต้นตอก่อให้กายวาจาใจเศร้าหมอง เพราะต้องการให้สิ่งนั้นสำเร็จผลดังประสงค์

เมื่อนานวัน นานเดือน นานปี กาย วาจา ใจ ก็หม่นหมองเป็นมลทินขึ้นโดยลำดับ จนถึงกับไม่สามารถชำระล้างให้สะอาดได้ก็มี เมื่อสาธุชนถือโอกาสเข้ารักษาอุโบสถศีล ก็นับว่าเป็นอุบายชำระมลทินนั้น เพราะได้ปลดเปลื้องการงานทางบ้านออกจากกาย วาจา ใจ เป็นการปล่อยวางภาระของกาย วาจา ใจ ให้ได้พักผ่อนเสียครั้งหนึ่ง

๒. การพักการงานทางบ้าน แล้วไปหาอุบายควบคุมกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในกรอบศีลธรรมนับว่าเป็นอุบายให้คฤหัสถ์ชนมีโอกาสได้ชำระกาย วาจา ใจของตนเสียครั้งหนึ่งคือ ๖ วัน ๗ วันได้ชำระกันครั้งหนึ่งถึงจะไม่สะอาดจนผ่องก็เป็นทางไม่ให้หม่นหมองทวีขึ้นมากการรักษาอุโบสถนั้น โดยความมุ่งหมายก็เพื่อเป็นอุบายชำระกาย วาจา ใจ ดังกล่าวมานี้อีกประการหนึ่ง

๓. วันปกติที่ไม่รักษาอุโบสถ กาย วาจา ใจ ต้องเป็นทาสกรรมกรของตนและคนอื่นสัตว์อื่นอีกมากมายบางครั้งต้องเป็นทาสของลูกๆ หลานๆบางทีต้องเป็นทาสของวัวควายและเป็ดไก่ต้องยอมตนลงให้คนและสัตว์เหล่านี้ใช้เกือบจะไม่มีเวลาแสนที่จะเหนื่อย แสนที่จะลำบากแม้จะได้ค่าจ้าง คือ ทรัพย์และความยินดีเป็นค่าแรง ก็เพียงนิดหน่อยและให้คุณชั่วเวลาเพียงชาติเดียว

ส่วนวันรักษาอุโบสถ นับว่าเป็นโอกาสให้กับบุคคลพ้นจากความเป็นทาสเช่นนั้น แล้วเขามอบกาย วาจา ใจเป็นทาสของพระรัตนตรัย ซึ่งนับว่าเป็นทาสที่มีเกียรติและได้รับค่าแรงงานอันมีเกียรติด้วยกล่าวคือ ได้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของกาย วาจา ใจ และความเยือกเย็นเป็นสุขทั้งภพนี้และภพหน้าเป็นค่าแรงาน

๔. การเข้ารักษาอุโบสถ นับว่าเป็นการเข้าถือบวชของคฤหัสถ์ เพราะเป็นอุบายเว้นจากบาปและอบรมกาย วาจา ใจ ให้สุขเกิดรสหวานซึ่งเป็นผลที่ต้องการทั้งทางคดีโลก คดีธรรมจริงอย่างนั้น น้ำใจอัธยาศัย อันทำอบรมบ่มให้สุขแล้วย่อมเกิดรสหวาน คือ น่ารัก น่าเคารพน่าคบค้าสมาคมด้วยความสนิทสนม กาย วาจา และใจอันศีลอบรมบ่มให้สุขแล้วย่อมเกิดรสหวานกล่าวคือ กิริยาทางกายหวาน ตาน่าดูน่าชมคำพูดทางวาจาก็หวานหู ฟังไม่รู้เบื่อ

๕. ตามที่กล่าวมาแล้ว ๔ ประการนี้เป็นอานิสงส์ จะพึงเห็นได้ด้วยตนเองในชาตินี้ส่วนอานิสงส์ในชาติหน้านั้นแม้ถึงจะยังไม่มีผู้รับรองยืนยันเพราะทุกๆ คนยังไม่ตายหรือเคยตายมาแล้วก็เป็นการเหลือวิสัยที่จะจดจำนำมาเป็นพยานได้แต่ก็พอมีแนวทางที่จะคาดคะเนหรือสันนิษฐานลง


@@@@@@@

ด้วยเหตุผลว่า กาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์สะอาด ด้วยอำนาจศีลธรรมที่ได้ปฏิบัติไว้ในชาตินี้ นั้นแลฯ จะเป็นพืชพันธุ์ เป็นเครื่องรับประกันให้เกิดผลคู่ควรกันในชาติหน้าสมด้วยพระคาถาพุทธภาษิตว่า

"โยธมฺมจารี กาเยน วาจาย อุทเจตสา อิเทวนํ ปสงฺสนฺติ เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ"

(คำแปล) "ผู้ใดประพฤติเป็นธรรมด้วยกาย วาจา และใจ ในชาตินี้ เขาย่อมได้รับการสรรเสริญ ครั้นละโลกนี้ไปเขาย่อมบันเทิงเบิกบานในโลกสวรรค์ดังนี้"





ขอบคุณ : เว็บลานธรรมจักร
ขอบคุณ : https://www.naewna.com/likesara/588261
วันศุกร์ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 19.30 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 17, 2021, 06:49:12 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ