ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธศาสนามีความสุขุมลุ่มลึก | บางครั้งแม้จะรู้ได้ แต่อธิบายออกมาเป็นภาษาไม่ได้  (อ่าน 2323 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พุทธศาสนามีความสุขุมลุ่มลึก | บางครั้งแม้จะรู้ได้ แต่อธิบายออกมาเป็นภาษาไม่ได้

พุทธศาสนามีความสุขุมลุ่มลึกใน ๔ ลักษณะ คือ
     ๑. สุขุมลุ่มลึกโดย ผล (อัตถะ)
     ๒. สุขุมลุ่มลึกโดย เหตุ (ธัมมะ)
     ๓. สุขุมลุ่มลึกโดย เทศนา (เทสนา)
     ๔. สุขุมลุ่มลึกโดย คือ การบรรลุ, การเข้าถึง (ปฏิเวธ)
         บางครั้งผู้บรรลุก็บอกสิ่งที่ตนเองบรรลุออกมาเป็นบัญญัติทางภาษา หรือตามโวหารของชาวโลกไม่ได้ ต้องอาศัยหลักปริยัติในเทศนาโวหาร ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วเท่านั้น จึงแสดงออกมาได้
         สมดังที่ท่านพระอานนท์เถระกล่าวไว้ ในคราวกระทำปฐมสังคายนาว่า “นานานยปริปุณฺณํ อตฺถธมฺมเทสนาปฏิเวธคมฺภีรํ สตฺถุ สาสนํ” (คำแปล)พระดำรัสของพระศาสดา เต็มไปด้วยนัยหลายหลาก ลึกโดยอรรถ-ธรรม-เทศนา-และปฏิเวธ ฯ


@@@@@@@

(๑) ผล หรือวิบากต่าง ๆ นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นผลแห่งการกระทำ(กรรม)อะไร ? สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในภพภูมิต่าง ๆ มีรูปร่างเหมือนกัน ปฏิสนธิวิญญาณก็เหมือนกันบ้าง, มีรูปร่างเหมือนกัน ปฏิสนธิวิญญาณต่างกันบ้าง, มีรูปร่างต่างกัน ปฏิสนธิวิญญาณก็ต่างกันบ้าง, มีรูปร่างต่างกัน แต่มีปฏิสนธิวิญญาณเหมือนกันบ้าง เป็นผลมาแต่กรรมอะไร ชื่อว่า “สุขุมลุ่มลึกโดยผล”

นอกจากนี้ ธรรมที่เป็นผล (ปัจจยุปบันนธรรม) ที่ทรงแสดงไว้ในปฏิจจสมุปบาท, ผลธรรมต่าง ๆ ที่ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์มหาปัฏฐาน มีสาเหตุมาแต่ธรรมอะไร ? ธรรมที่เป็นผล ที่ทรงแสดงไว้ในอริยสัจ ๔ เป็นผลธรรมแห่งธรรมอะไร.? ทั้งหมดเป็นผลธรรมที่มีความสุขุมลุ่มลึก ยากแก่สัตว์ทั้งหลายที่จะรู้-เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง ทั้งนี้ ต้องอาศัยพระปัญญาญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น จึงจะทราบได้

อีกประการหนึ่ง ผลหรือวิบากของกรรม หรือของธรรมต่างๆนั้น ย่อมวิจิตรพิสดาร มีทั้งผลโดยตรง และผลโดยอ้อม, มีทั้งผลในปัจจุบันชาติ, ผลที่จะได้รับขณะปฏิสนธิกาล, ผลที่จะได้รับภายหลังแต่ปฏิสนธิกาลไปแล้ว หรือธรรมบางอย่างก็ไม่ส่งผล ไม่มีผล

(๒) เหตุ หรือธรรมที่เป็นเหตุ ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกันกับธรรมที่เป็นผล ก็ย่อมมีความสุขุมลุ่มลึกไม่แพ้กัน เหตุ มี ๔ อย่าง คือ
     ๑. เหตุเหตุ คือ เหตุที่เป็นมูล ได้แก่ กุศลเหตุ ๓ (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) อกุศลเหตุ ๓ และอัพยากฤตเหตุ ๓
     ๒. ปัจจยเหตุ คือ เหตุที่เป็นปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ที่เป็นปัจจัยเพื่อการบัญญัติรูปขันธ์
     ๓. อุตตมเหตุ คือ เหตุที่เป็นประธาน ได้แก่ กุศลธรรมและอกุศลธรรม ในฐานะแห่งการให้ผลของตน, อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ เป็นเหตุสูงสุดในฐานะแห่งกุศลวิบากและอกุศลวิบาก
     ๔. สาธารณเหตุ คือ เหตุทั่วไปแก่สรรพสัตว์. ได้แก่ อวิชชา เป็นปัจจัยแก่สังขารทั่วไป ทั้งที่เป็นกุศล-อกุศล

ทั้งธรรมที่เป็นเหตุ และธรรมที่เป็นผล (ปัจจัยธรรม และปัจจยุปบันนธรรม ตามนัยแห่งปัจจัย 24/47 ในคัมภีร์มหาปัฏฐาน) จัดว่าเป็นอจิณไตยธรรมอย่างหนึ่ง คือเป็นธรรมที่จะรู้ได้อย่างแท้จริงด้วยการคิดนึก ตรึกตรองเอานั้น ไม่ได้เลย ฉะนั้น จึงจัดว่ามีความสุขุมลุ่มลึก ฯ

(๓) เทศนา นัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น ก็มีมากมายหลายอย่าง เป็นไปตามสภาธรรมล้วนๆ บ้าง, เป็นไปตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์บ้าง เต็มไปด้วยโวหารต่างๆ ของชาวโลกบ้าง, แสดงธรรมไปตามลำดับบ้าง, ย้อนลำด้บบ้าง, แสดงตอนต้นไปจบที่ตอนกลางบ้าง, แสดงตอนกลางไปจนสุดเบื้องปลายบ้าง, แสดงตอนกลางไปย้อนไปสุดตอนต้นบ้าง, แสดงตอนปลายย้อนไปสุดตรงกลางบ้าง (แนวที่ทรงแสดงในปฏิจจสมุปบาท) / แสดงผลก่อน แล้วแสดงเหตุทีหลังบ้าง, จับเป็นคู่ ๆ (แสดงอริยสัจจ์ ๔) แสดงโดยความเป็นมูล มูลีบ้าง และอีกมากมายหลายประการ นี่เป็นความลุ่มลึกโดยเทศนา (การแสดง)

อีกประการหนึ่ง การแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีลักษณะเป็นไปต่าง ๆ คือ
     ๑. แสดงโดยตรง (มุขยนัย)
     ๒. แสดงโดยอ้อม (อุปจารนัย)
หรือพิสดารโดย นยะ, และ หาร ตามที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์เนตติปกรณ์, เนตติหารัตถทีปนี …

(๔) การบรรลุธรรม ในขั้นต่าง ๆ มี ฌาน อภิญญา วิปัสสนาญาณ มรรค ผล ล้วนเป็นธรรมที่สุขุมลุ่มลึก บางครั้งผู้บรรลุ ก็บอกสิ่งที่ตนเองบรรลุออกมาเป็นบัญญัติทางภาษา หรือตามโวหารของชาวโลกไม่ได้ อย่างเช่นพระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนพระอริยสาวกผู้บรรลุตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาศัยหลักปริยัติในเทศนาโวหารที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วเท่านั้น จึงแสดงออกมาได้ คือแสดงออกมาได้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วนั่นเอง

อนึ่ง ปฏิปทาอันเป็นเหตุให้บรรลุคุณวิเศษต่าง ๆ คือ ฌาน อภิญญา มรรค ผล ในพุทธศาสนานั้น แม้กล่าวโดยย่อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา, หรือกล่าวโดยองค์มรรคในอริยสัจ ๔, กล่าวโดยวิธีแห่งการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนบังเกิดลำดับญาณต่าง ๆ นั้น ก็เป็นปฏิปาทาที่สุขุมลุ่มลึกเช่นเดียวกัน ไม่ปรากฎในคัมภีร์ ตำรา อักษร ภาษาใด ๆ ในโลก ไม่มีในลัทธิหรือในศาสนาใด ๆ ในโลก

@@@@@@@

เพราะความที่พระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ในรูปของ ธรรม-วินัย, ที่อยู่ในรูปของปิฎกทั้ง ๓, ในลำดับแห่งเทศนา ๓ (ปฐมเทศนา,มัชฌิมเทศนา,ปัจฉิมเทศนา), ใน นิกาย ๕, ในนวังคสัตถุศาสน์ ๙, ในรูปแบบของธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ มีความสุขุมลุ่มลึกในลักษณะทั้ง ๔ อย่างดังกลาวมาแล้วนั้น ยากแก่การเข้าใจและเข้าถึง ผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนา พึงขวนขวายเรียนรู้ สดับรับฟังจากบัณฑิต จากสำนักอาจารย์ทั้งหลายผู้ถึงพร้อมด้วยปริยัติเถิด




ขอขอบคุณ :-
บทความขชอง : VeeZa ,๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
web : dhamma.serichon.us/2018/11/25/พุทธศาสนา-มีความสุขุมลุ/
25 พฤศจิกายน 2018, By admin.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ