ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่น แม้ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมีโทษมากเหมือน "มิจฉาทิฏฐิ" นี้เลย  (อ่าน 2378 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


มิจฉาทิฏฐิ : เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่น แม้ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมีโทษมากเหมือน "มิจฉาทิฏฐิ" นี้เลย

เมื่อวันพระก่อน ผมไปทำบุญที่วัดมหาธาตุราชบุรีตามปกติ ขณะเดินกลับบ้าน กำหนดอิริยาบถไปพลาง ตรึกถึงข้อธรรมไปพลาง คงไม่มีใครสงสัยว่ากำหนดอิริยาบถกับตรึกข้อธรรมเป็นกิจคนละอย่างกัน ทำพร้อมกันไปได้หรือ ตามหลักแล้วทำคนละขณะจิตกันครับ แต่เพราะความเร็วของจิตจึงทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าทำพร้อมกัน

ข้อธรรมที่ผมตรึกก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ” นึกถึงพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่ตรัสว่า

    "นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกธมฺมํปิ สมนุปสฺสามิ ยํ เอวํ มหาสาวชฺชํ ยถยิทํ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏฺฐิ, มิจฺฉาทิฏฺฐิปรมานิ ภิกฺขเว วชฺชานีติ."

     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง"
____________________________________
อังฺคุตรนิกาย เอกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ ๑๙๓ ปปัญจสูทนี ภาค ๓ อุปาลิวาทสุตฺตวณฺณนา หน้า ๖๓

@@@@@@@

มิจฉาทิฏฐิเป็นโทษอย่างยิ่ง

มิจฉาทิฏฐิ (พจนานุกรมสะกด มิจฉาทิฐิ ตัด ฏ ปฏักออก) แปลว่าเห็นผิด หมายถึงเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่นความจริง “ดำ” แต่กลับเห็นเป็น “ขาว” ปัญหาที่เถียงกันไม่จบก็คือ จะเอาอะไรมาตัดสินว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง จริงของฉันก็จริงของฉัน จริงของคุณก็จริงของคุณ อาจเป็นคนละจริงกัน แต่ก็จริงทั้งคู่

หลักความจริงก็คือ “จริง” ต้องมีสิ่งเดียว หมายความว่า ถ้ามองแง่นั้น มุมนั้น ประเด็นนั้น เพื่อหาความจริง จะต้องพบ “จริง” ตรงกัน พบต่างกันแล้วอ้างว่าจริงทั้งคู่ไม่ได้ เช่นคนคนเดียวกัน นี่คือ “จริง” คือเป็นคนคนนั้นจริง ณ เวลาเดียวกัน มีคน ๒ คนอ้างว่าเจอคนคนนั้น แต่อยู่ต่างสถานที่กัน แล้วยืนยันว่าคนที่เขาเจอ ณ เวลานั้น “เป็นคนคนนั้นจริง”

แน่นอนว่า ต้องมีคนหนึ่งที่ “ไม่จริง” เพราะคนคนนั้นมีคนเดียว และคนคนเดียว ตามสภาพปกติธรรมดาธรรมชาติจะอยู่ต่างสถานที่กันในเวลาเดียวกันไม่ได้

ที่ว่า “จริง” ต้องมีสิ่งเดียว มีความหมายตามนัยนี้
คำว่า “เห็นผิดจากความเป็นจริง” มีความหมายตามนัยนี้

เมื่อเข้าใจตามนัยนี้ ก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องเถียงกันว่า จะเอาอะไรมาตัดสินว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง เพราะ “ความจริง” มันมีของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องมีใครมาตัดสินว่าที่มีอยู่นั้นมันจริงหรือเปล่า หน้าที่ของเรา ก็คือ มองมันและเข้าใจมันให้ตรงกับความเป็นจริงที่มันเป็นอยู่


@@@@@@@

อันที่จริงมีตัวอย่างง่ายๆ เช่น คนเราแก่มาแล้วตั้งแต่เกิด แต่คนส่วนมากมองไม่เห็น นั่นคือ เห็นผิดจากความเป็นจริง “แก่” คือ ความเปลี่ยนแปลงของรูปธรรม นี่คือ คำจำกัดความที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่เฉพาะเปลี่ยนจากผิวหนังเต่งตึงเป็นผิวหนังเหี่ยวย่นจึงจะเรียกว่า “แก่” ตามที่คนส่วนมากรู้สึกเช่นนั้น
     เปลี่ยนจากก้อนเลือดเป็นตัวคน นั่นก็แก่
     เปลี่ยนจากเด็กแบเบาะเป็นเด็กน้อย นั่นก็แก่
     เปลี่ยนจากเด็กน้อยเป็นหนุ่มสาว นั่นก็แก่
     เห็น+เข้าใจอย่างนี้คือ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องแก่ แต่มีเรื่องอื่นๆ อีกเป็นอเนกอนันต์ที่คนเรามักเห็นผิดจากความเป็นจริง ซึ่งนั่นก็คือ ที่ท่านเรียกว่า “มิจฉาทิฏฐิ”

ยังมีความเห็นผิดที่ซ้อนอยู่ในความเห็นผิดนั่นเองอยู่อีก นั่นคือความเห็นผิดว่า ตนมิได้มีความเห็นผิด คือ ทั้งๆที่ตนเห็นผิดอยู่แท้ๆ ก็ยังเชื่อมั่นว่าตนมิได้เห็นผิด อย่างนี้ท่านเรียกว่า “นิยตมิจฉาทิฏฐิ” แปลตามศัพท์ว่า “ความเห็นผิดเที่ยงแท้” บางท่านแปลว่า “ความเห็นผิดชนิดดิ่ง” คือ ชนิดที่แก้ไขไม่ได้

คงพอเทียบได้กับคำที่เราพูดกันว่า “นั่นแหละคือตัวตนของเขา” หรือ “นิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น” หรือ “เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละ ใครอย่าไปพูดเสียให้ยากเลย” ใช้คำไทยหยาบๆ ให้กระทบใจเล่นก็ว่า สันดานเป็นอย่างนั้นเอง

@@@@@@@

ปัญหาหนึ่งที่น่าจะนำมาขบคิดกันให้จงหนักก็คือ เกิดมาเป็นคนและมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อะไรคือสาระของชีวิต แนวคิดก็จะเข้าทำนองเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้น นั่นคือ สาระของฉันก็สาระของฉัน สาระของคุณก็สาระของคุณ อาจเป็นคนละสาระกัน แต่ก็เป็นสาระทั้งคู่ สาระใครสาระมัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

เกณฑ์การตัดสินก็จะเป็นทำนองเดียวกันกับ “ความจริง” นั่นแหละ คือถ้าสิ่งนั้นเป็น “สาระจริง” ก็จะต้องตรงกัน ถ้าไม่ตรงกัน ก็แปลว่า ไม่ใครก็ใครกำลังไปคว้าเอาสิ่งที่ไม่ใช่สาระจริง มายึดถือว่าเป็นสาระจริงเข้าแล้ว

ผมคิดมาถึงตรงนี้ก็หยุดคิด ความคิดต่อจากนี้ควรจะเป็นอย่างไร หรือว่าเรื่องนี้ควรจบอย่างไรดี ผมคาดว่าแต่ละคนควรจะหาทาง “จบ” เอาเองได้ แต่ละคนอาจจบไม่เหมือนกัน แต่จบที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคนนั่นเอง อาจทำให้ได้คำตอบตรงกันว่า “มิจฉาทิฏฐิ” หมายความว่าอย่างไร





ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/08/28/มิจฉาทิฏฐิ/
บทความของ นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ ,๑๑:๑๙ น.
Posted date : สิงหาคม 2021 , By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 29, 2021, 06:44:29 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ