ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดเบื้องหลัง ปลอมพระพิมพ์ ปลุกพระเครื่อง ทำกันอย่างไร.?  (อ่าน 822 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29315
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระพิมพ์ดินดิบพบที่ถ้ำเขาประสงค์ ชาวบ้านหนองควาย อำเภอท่าชนะ สุราษฎร์ธานี มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ


เปิดเบื้องหลัง ปลอมพระพิมพ์ ปลุกพระเครื่อง ทำกันอย่างไร.?

สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนและออกไปสำรวจวัดร้างและโบราณสถานกับพ่อ [มานิต วัลลิโภดม] อยู่นี้ได้พบเห็นการปลอม พระพิมพ์ และ พระเครื่อง กันแล้ว เพราะการปลอมนั้นไม่ยาก เพียงแต่นำพระพิมพ์เก่าไปทำแม่พิมพ์ขึ้นใหม่แล้วกดพิมพ์ออกมาเท่านั้น แต่ในบางแห่งเวลาขุดกรุก็พบแม่พิมพ์พระพิมพ์รวมอยู่ด้วย ทำให้มีการใช้แม่พิมพ์เหล่านั้นเป็นแม่แบบต่อมาได้

แต่พระพิมพ์ปลอมจะพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จแค่ไหนนั้น เขามองกันที่เนื้อสนิม จึงเกิดมีผู้เชี่ยวชาญในการพิสูจน์พระพิมพ์ พระเครื่อง กันมาก พ่อข้าพเจ้าก็นับเนื่องเป็นคนหนึ่งด้วย เพราะชอบเอากล้องส่องดูเนื้อพระพิมพ์ที่ได้มาจากกรุและไปเปรียบเทียบกับพระพิมพ์ที่เป็นของผู้อื่น เลยทำให้รู้ว่าอะไรใหม่หรือเก่า

แต่บางทีดูเนื้อก็แทบไม่ออก เพราะคนทำปลอมนิยมเอาบรรดาเศษชิ้นของพระพิมพ์ที่เคยพบตามกรุมาเป็นส่วนผสมของพระพิมพ์ที่ปลอมขึ้น เลยมาตรวจสอบด้วยวิธีอื่นๆ แทน

@@@@@@@

ข้าพเจ้าเลยสนใจที่จะรับรู้เรื่องพระเครื่องบ้างแต่ไม่สนใจในการดูเนื้ออย่างผู้เชี่ยวชาญเขาสนใจกัน แต่สนใจรูปแบบและคุณสมบัติของพระเครื่องในเรืองที่เกี่ยวกับความเชื่อ เช่น แบบไหนมาจากไหน และมีคุณสมบัติในทางอยู่ยงคงกระพัน หรือเมตตามหานิยมอะไรทำนองนั้น รวมทั้งเรื่องราวในทางอภินิหารที่เกิดจากบรรดาพระพิมพ์พระเครื่องเหล่านั้น

เหตุนี้จึงทําให้ข้าพเจ้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของการปลุกพระที่มักมีผู้ชอบปลูกกันในสมัยนั้น เป็นเรื่องไม่ยากอะไร คือคนปลุกต้องเป็นคนที่ไม่มีการสักอะไรในร่างกาย เพียงนําพระเครื่องที่ผูกห่อในผ้าเช็ดหน้าไปถือไว้แล้วนั่งบริกรรมว่านะโมเพื่อให้จิตว่าง

พระก็จะขึ้นมาด้วยการแสดงอาการต่างๆ ของผู้ปลุก เช่น ถ้าเป็นพระลําพูนเขียวก็จะขึ้นท่าร่ายรําเพลงหอกและการกระโดดที่โลดโผน, ถ้าเป็นพระอู่ทองที่มาจากกรุทางอยุธยาจะขึ้นเป็นท่าร่ายรําเพลงดาบแบบพรหมสี่หน้า หรือถ้าเป็นพระขุนแผนจะออกอาการเจ้าชูร่ายรําผัดหน้าทาแป้งหวีผมหรืออะไรทํานองนั้น คนปลุกจะแสดงอาการขึ้นลงตลอดเวลา แต่ถ้าหากผู้ดูกลัวก็จะหาทางเลิกได้โดยเข้าไปที่ตัวผู้ปลุกแล้วตบตรงข้างหู คนปลุกก็จะรู้สึกตัว

แต่สิ่งที่แปลกใจสําหรับการปลูกพระนี้ก็คือ ข้าพเจ้าสังเกตว่าคนปลุกพระจะไม่รู้ว่าพระเครื่องที่ตนจะปลูกนั้นเป็นแบบใด มีประวัติความเป็นมาอย่างใดเลย เพราะพระพิมพ์พระเครื่องจะถูกห่อผูกกับผ้าเช็ดหน้าไม่มีทางเห็นได้ อีกทั้งผู้ที่ต้องการให้ปลุกก็มักจะอําพรางไม่บอกผู้ปลุกว่า เป็นพระอะไรด้วย


@@@@@@@

พระแต่ละองค์เมื่อปลุกขึ้นมานั้นแสดงอาการที่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าเคยลองเอาพระเครื่องที่ปลุกแล้วมาให้ปลุกใหม่โดยไม่บอกคนปลุกว่าเป็นพระอะไร ก็มีอาการแสดงออกเช่นเดียวกันกับการปลุกครั้งแรก เช่นพระอู่ทองมักจะปรากฏอาการการร่ายรําทําเพลงไหว้ครูที่เรียกว่าพรหมสี่หน้า เป็นต้น เลยอดคิดไม่ได้ ว่าใครเป็นคนใส่โปรแกรมนี้ไว้ในพระเครื่อง เขาทํากัน อย่างไรจึงสื่อมายังคนปลุกพระได้

คลิกอ่านเพิ่มเติม :-
ต้นกำเนิด “พระเครื่อง” เมื่อคนเดือดร้อนไม่มั่นคง และวิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้
ทำไมคนไทยสมัยก่อนไม่เอา “พระพุทธรูป” เข้าบ้าน ไม่ใส่ “พระเครื่อง” ที่ตัว?

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ พระเครื่องในเมืองสยาม โดย ศรีศักร วัลลิโภดม (สำนักพิมพ์มติชน, 2537)





ที่มา : หนังสือ พระเครื่องในเมืองสยาม
ผู้เขียน   : ศรีศักร วัลลิโภดม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ.2564
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 28 กันยายน  2564
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_75362
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ