ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรมัตถ์ ถิ่นกาขาว  (อ่าน 4579 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปรมัตถ์ ถิ่นกาขาว
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 11:42:33 am »
0
ปรมัตถ์ ถิ่นกาขาว

พุทธพยากรณ์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงเหตุปัจจัยที่เวไนย์สัตว์ ได้สดับสัทธรรมในกาลสุดท้าย
ในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรว่า.......พระสุภูติผู้มีอายุได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ยังจักมีสัตว์ใดได้สดับ พระธรรมบรรยายฉะนี้แล้ว 
แลบังเกิดศรัทธาอันแท้จริงนั้นหรือหนอ......"
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระสุภูติว่า "อย่ากล่าวอย่างนั้นซิ  สุภูติ............ 

เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว  500  ปี  หากมีบุคคลผู้ถือศีล  บำเพ็ญกุศลมา
บังเกิดความศรัทธาอันแท้จริงในพระธรรมบรรยายนี้  และเขาจักถือเป็นความจริงไซร้
เธอพึงสำเนียกไว้เถอะว่า.............

 
บุคคลนั้นหาได้ปลูกฝังกุศลเพียงในพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง  หรือพระพุทธเจ้าสองพระองค์  สามพระองค์  สี่พระองค์  ห้าพระองค์ไม่  แต่ว่าเขาได้ปลูกฝังกุศลมูลในพระพุทธเจ้า
นับด้วยพันเป็นเอนก  จักนับประมาณพระองค์มิได้ บุคคลใดได้สดับพระธรรมบรรยายนี้ 
บังเกิดศรัทธาอันบริสุทธิ์  แม้เพียงชั่วขณะหนึ่งเดียว  สุภูติ....   

ตถาคตย่อมรู้อยู่  ย่อมเห็นอยู่ในเขาเหล่านั้น  สัตว์ทั้งหลายนี้ได้บรรลุกุศลอันจักประมาณมิได้เลย....."

ในวรรคที่หกของวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  กล่าวถึง  หลังจากที่พระสุภูติได้รู้แจ้งว่า 
ธรรมอันมีรูปลักษณะทั้งปวงเป็นมายาแล้ว  ด้วยเมตตาจิต  คิดถึงเวไนย์สัตว์ทั้งหลายในอนาคต 
จึงกราบทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ...............  หากผู้ใดถึงพร้อมด้วยเหตุปัจจัยแห่งกุศลมูล 
เมื่อได้สดับพระสัทธรรม  เขาสามารถรับไว้ปฏิบัติโดยจิตจะไม่คิดเรรวน  ฉะนั้นหรือ"


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบแก่พระสุภูติว่า

"เธอมิต้องสงสัย  แม้ปริยัติธรรมจะลึกซึ้งยากแก่การเข้าใจ

แต่ภายหน้าในธรรมกาลยุคสุดท้าย  คือหลังจากตถาคตปรินิพพานแล้วสองพันห้าร้อยปี  ระหว่างนั้นจะมีผู้ที่ถือศีล บำเพ็ญกุศลเกิดขึ้นมากมาย  เมื่อนั้นแหละสัทธรรมจะได้เจิดจรัส  โปรดสัตว์ทั่วไปอีกครั้ง
 
ผู้บำเพ็ญกุศลทั้งหลาย  จะบังเกิดศรัทธาอันแท้จริงทั่วกัน  เมื่อได้สดับพระสัทธรรม  แต่เธอพึงรู้เถิดว่า.........บุคคลเหล่านั้นที่บังเกิดศรัทธาอันแท้จริง มิใช่เหตุปัจจัยอันบังเอิญ  แต่ด้วยกุศลอันปลูกฝังมาช้านาน ซึ่งมิใช่เพียงชาติเดียว  สองชาติ  หรือสาม  สี่  ห้าชาติ แต่ด้วยปลูกฝังกุศลมูลมากมายนับพันหมื่นชาติ อันประมาณมิได้แล้ว  ดังนั้นเมื่อได้สดับพระสัทธรรมจึงไม่เกิดความลังเลสงสัย  ไม่สับสน  บำเพ็ญทาน  โดยไม่ยึดถือและทั่วไป
 

สุภูติ......  วันนี้พระตถาคตเห็นด้วยจักษุทั้งห้า (มังสจักษุ,ทิพยจักษุ,ปัญญาจักษุ,ธรรมจักษุและพุทธจักษุ) ในอนาคตกาลห้าร้อยปีภายหลัง  (กึ่งพุทธกาลหลัง)  คนทั้งหลายได้สัทธรรมเช่นนี้
ต่างบำเพ็ญกุศลธรรม  คุณานิสงส์ที่เขาทั้งหลายจักได้รับ จากการบำเพ็ญมิอาจประมาณได้เลย  ดุจอากาศกว้าง ทั้งสิบทิศอันพึงคำนวณประมาณมิได้"

"ด้วยเหตุอันใดฤา  เหตุด้วยเขาเหล่านั้น รู้แจ้งในต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง  และเหตุดังนี้ 
จึงบังเกิดศรัทธาอันแท้จริงอันบริบูรณ์ต่อสัทธรรม ยิ่งบำราบจิต  มิให้ยึดถือผูกพันในสภาวะใดด้วยเหตุนี้เขาจักรู้แจ้งในหลักธรรมแท้แห่งมหายาน และจักได้คุณานิสงส์อันประมาณมิได้ ดุจอากาศกว้างทั้งสิบทิศ  ............"


หลังจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว คำพยากรณ์เหล่านี้แบ่งช่วงแสดงให้เห็นกำหนดที่ศาสนาจะเฟื่องฟูและเสื่อมลง  ช่วงละ  500  ปี หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า  มั่นคงทั้งห้า  ดังนี้

มั่นคงทั้งห้า 


1.วิมุติมั่นคง  500  ปีหลังพระปรินิพพาน สัทธรรมเฟื่องฟู  ผู้คนมากด้วยกุศลมูล 
มั่นคงในศรัทธา  และบรรลุแจ้งด้วยปัญญาปรมัตถ์กันมาก ฉะนั้นผู้หลุดพ้นจึงมีมาก 
(ตั้งแต่ พ.ศ. 1 - 500 )


2.ฌานมั่นคง  500  ปีที่สองหลังพุทธกาล กุศลมูลของผู้คนด้อยลง  การบำเพ็ญจึงหยุดอยู่ที่การฝึกฌาน ฉะนั้นผู้มี่ฝึกสมาธิวิปัสสนาจึงมีมาก  (จาก พ.ศ. 500 - 1000)

3.สวนะมั่นคง  500  ปีที่สาม  กุศลมูลของผู้คนด้อยลงกว่าเดิมอีก 
ผู้บำเพ็ญธรรมรู้จักแต่หลักธรรม  มากด้วยการค้นหาเหตุผล  แต่น้อยคนที่จะปฏิบัติจริง 
ฉะนั้นจึงมีผู้สดับธรรมสวนะกันมาก  (จาก พ.ศ. 1000 - 1500 )


4.วัดวาอารามมั่นคง  500  ปีที่สี่  ช่วงนี้แม้คนที่ออกบวช  ก็ไม่ยินดีในธรรมสวนะ 
รู้แต่จะสร้างวัด  สร้างเจดีย์  เสนาสนะ  เพื่อเชิดชูทัศนวิสัย  หรือเพื่อสถานบำเพ็ญอยู่พักสบาย
ในเพศบรรชิตแห่งตน  (จาก  พ.ศ. 1500 - 2000 )


5.ขัดแย้งมั่นคง  500  ปีที่ห้า  ช่วงนี้พุทธศาสนาเสื่อมลง  ผู้บำเพ็ญต่างละทิ้งไตรสิกขา 
แต่กลับขัดแย้งชิงดีกัน  สูญสิ้นพุทธวิสัย  ทำตัวนอกลู่นอกทาง  ประพฤติผิดหลักธรรม
จนเป็นที่ว่า  ทำดีมีที่ไหน  ทำชั่วได้ดีมีถมไป  (จาก พ.ศ.  2000 - 2500 )


ครั้นหนึ่งพระอานนท์ได้ฝันเห็นสิงโตใหญ่ตัวหนึ่งล้มตายลง และพลันก็เกิดหนอนชอนไชไปทั่วตัว  พระอานนท์จึงกราบทูลถามความฝันนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระพทุธองค์ทรงถอนพระทัย 
แล้วตรัสตอบแก่พระอานนท์ว่า"ภายหน้าพระพุทธศาสนาจะถูกทำลายลง  จากบุคคลภายใน"
 
ดังนั้นในยุคที่ห้านี้ ศาสนามากลัทธิ  ต่างชิงดีชิงเด่น  เกิดการขัดแย้งกันมากมาย
ต่างแย่งซึ่งลาภสักการะ  ผลประโยชน์กัน  ทั้งที่ลับและที่แจ้ง

"ห้าร้อยปีภายหลัง"  หมายถึงกำหนดกาลสุดท้าย  ในบัดนี้สองพันห้าร้อยกว่าปี 
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว  เป็นวาระที่สัทธรรมเวียนกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งหนึ่ง 
วงล้อธรรมกลับคืนสู่ยุคห้าร้อยปีแรก คือ  วิมุติมั่นคง ซึ่งเป็นยุคปัจจุบันแห่งการโปรดสรรพสัตว์ทั่วสามภพ

 
การนับยุคห้าร้อยปีหลังนี้  แท้ที่จริงเริ่มนับตั้งแต่  พ.ศ.  2475 เมื่อองค์พระศรีอาริยเมตไตรย์ขึ้นมาเป็น ประธานโปรดสรรพสัตว์ทั่วสามภพ  (Transmigrations) จึงเป็นวาระนับเข้าสู่ยุคขาว  พระองค์เข้ามาช่วยสืบศาสนจักร ให้ตลอดจวบสิ้นพุทธกาลแห่งองค์พระสมณโคดมพุทธเจ้า

กาลครั้งนี้องค์ต้นธาตุต้นธรรมได้โปรด ให้พระมหามุนีเจ้าลงมาเกิด เพื่อดับดาวสงคราม  สร้างดาวสันติ  มาเกิดเป็น
           

พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ)

ให้ปรมัตถ์แห่ง "วิมุติมั่นคง"  คืนสู่แผ่นดินสุวัณณภูมิ ที่เป็นแผ่นดินสืบศาสนจักร  อาณาจักร  มรรคผล  นิพพาน ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว  โดยให้........

1.  หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต  เป็นผู้"มั่น"ในพระสัทธรรมคืนสู่ศาสนจักร
(กำหนดกาล  100  ปี  มารขอไว้  20  ปี จึงดับขันธ์เมื่ออายุ  79 ปี  10 เดือน )

     


2.  หลวงพ่อคง  จตฺตมโล  ถ้ำอรหันต์  เขาสมโภชน์  ลพบุรี
     


เป็นผู้"คง"ศาสนจักรไว้ มีหน้าที่เปิดโลกและเปิดกรรมแห่งศาสนจักร  อาณาจักร  ออกให้หมด

(ด้วยบุญบารมีเก่าที่เคยเป็นพระร่วง  ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถา ไว้สั่งสอนปวงชนมาก่อน  ลงจุติแสดงธรรมะเปิดโลกแก่พุทธบริษัท โดยอาราธนาพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ  และอริยสังฆานุภาพมาเป็นอำนาจเปิดโลก  เพื่อให้พุทธบริษัททั้งหลายเข้าใจแจ้ง เรื่องกรรมและกลไกของกรรมโดยถ่องแท้  ด้วยกรรมฐานธรรมะเปิดโลก  กำหนดกาล  100  ปี แต่มารขอไว้  20  ปี  จึงดับขันธ์เมื่ออายุ  80  ปี  9 เดือน 3 วัน )

ทั้งนี้เพื่อการฟี้นฟูศีลธรรม พระสัทธรรมที่ถูกมรรคถูกผล ที่จะมีขึ้นในยุคห้าร้อยปีหลังนี้ และบัดนี้กาลต่าง ๆ ก็ได้เคลื่อนรัตนจักรอันประเสริฐ เข้าสู่ยุคห้าร้อยปีหลัง  คือ  กึ่งพุทธกาลหลัง   
         
สู่ยุคพระอริยภูมิ
จะกล่าวถึง  พระสาวกภูมิ  และ  พระอริยภูมิ  พระสาวกภูมินั้นต้องเรียนเอา  ตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แล้วเอาไปปฏิบัติตาม  เมื่อสำเร็จมรรคผลเป็นพระโสดาบันถึงพระอรหันต์  จึงเรียกว่าพระสงฆ์  สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทุกวันนี้สิ้นปี  พ.ศ.  2500  ก็หมดเขตสาวกภูมิแล้ว  ถึงแม้จะเรียนรู้พระไตรปิฎกสักร้อยครั้งพันครั้ง  แต่ก็ไม่อาจบรรลุธรรมไปได้  เพราะพระพุทธโคดมท่านได้กำหนดไว้เพียงแค่นี้ เหล่าพุทธบริษัทที่เหลืออยู่  ก็ต้องหวนกลับมาสร้างบารมีกันต่อไปอีก  จนกว่าบารมีจะเต็มจึงหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้ 

ส่วนพระอริยภูมินั้น  ท่านบำเพ็ญบารมีมาสำเร็จของท่านเอง  ด้วยบารมีของตัวเอง  มิได้ไปเรียนรู้ของใครมา  จึงเรียกว่าพระอริยภูมิ  เป็นพระสงฆ์เหมือนกัน  พระสาวกภูมิก็ดี  พระอริยภูมิก็ดี  เมื่อบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว  ก็เข้าไปสู่จุดหมายเดียวกันคือพระนิพพาน  ต่างกันที่สร้างบารมีมา  ปรารถนามาไม่เหมือนกัน  พระสาวกภูมิปรารถนารู้ธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า 

ส่วนพระอริยภูมิภูมินั้น..............ปรารถนารู้เอง  เห็นเอง  เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้า  และยุคต่อไปนี้  เป็นเขตอริยภูมิดังกล่าวคือ.......

เมื่อพระพุทธศาสนาผ่านมาถึง  2500  ปีไปแล้ว พระพุทธศาสนาก็ตกเป็นของยักษ์มาร  ตามที่ได้ขอไว้  เมื่อขอต่อแล้ว  เอาไปปฏิบัติรักษาไม่ได้  เพราะพวกเหล่านี้บารมีไม่เพียงพอ  จึงไม่รู้แจ้งในข้อวัตรปฏิบัติ  คุณของพระศาสนาก็เลยถูกปกปิด  และเสื่อมไปเหลือเพียงแต่ค่าเหล่าเกจิคณาจารย์ต่าง ๆ ไม่ยอมปลุกเสกตัวเอง 

จึงไม่ถึงอริยศีล  อริยธรรม  คุ้มครอง  หันไปปลุกเสกวัตถุมงคล  สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา   ประชาชนพลโลกถูกปกคลุมด้วยความโลภความหลง  ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก  ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปเดินไปทางไหน  ไม่รู้ว่าจะเชื่อสิ่งไหนดี  ผู้คนทุกวันนี้  จึงไม่เชื่อมั่นในตัวเอง  ไม่เชื่อตัวเอง  ทั้งที่ความเป็นจริง  ตัวตนของบุคคลต่าง ๆ เหล่านั้น  มีค่ามีคุณสูงยิ่งกว่าวัตถุมงคลใด ๆ  ถ้ามีศีลธรรมอยู่ในใจ  สุดล้ำเลิศประเสริฐยิ่งเหนือกว่าวัตถุมงคลใด ๆ ทั้งหลายทั้งปวง 

แต่มาบัดนี้....พุทธบริษัทส่วนมากได้ไปหลงวัตถุนอกกายเสียแล้ว  ก็แบ่งแยกเป็นพวกใครพวกมัน  นิกายใครนิกายมัน  ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันเสียแล้ว เนื่องจากถึงกาลเปิดกรรมแห่งศาสนจักรออกไปแล้ว  ตามโองการนวกาพรหม  นามแม่กาเผือกที่ได้ทำมาจนบัดนี้เพื่อเอาพระศาสนามาคืนเจ้าของเดิม  กรรมที่พระโคดมได้เปลี่ยนเอาดอกบัวพระศรีอาริย์ให้ขาดจากกัน 

แม้พระพุทธโคดมได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน  แต่กรรมตกอยู่กับพระศาสนาของท่าน  เพราะเมื่อเอาบัวบารมีของพระศรีอาริย์มา  คือการเอาผู้คนของวงศ์สิงห์มาด้วย  วงศ์สิงห์เป็นสัตว์ดุร้าย  อยู่ด้วยกาเบียดเบียนเข่นฆ่า  สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก  พระโคจึงต้องไปถือปฏิสนธิในป่า  ทั้ง ๆ ที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์  เมื่อเอาผู้คนเขามา  จึงต้องตั้งกติกาการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด  ศีลมีจำนวนมากข้อ  ต้องถือเพศพรหมจรรย์  จึงจะพาผู้คนเหล่านี้ขึ้นสู่ฝั่งได้
 
เพราะหัวหน้าเผ่าท้าวพญายุคท่านชอบตีชิงเบียดเบียนเขา  ประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก  ทั้งนี้ก็เป็นไปตามสัญชาติแห่งสิงห์  ผู้เป็นจ้าวป่า  เอาชีวิตสัตว์เล็กกว่าเป็นอาหาร 
      
ครั้นเมื่อพระอริยสาวกของพระพุทธโคดม  คือพระมหามุนีเจ้าลงมาเป็นผู้สะสางธาตุธรรมคืนสู่ความถูกต้อง  ให้กรรมของพระโคดมกับพระศรีอาริย์ขาดจากกัน  โดยท่านมาเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระศาสนาเสร็จสิ้นแล้ว  ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่องค์อริยสาวกได้  ชดใช้กรรมให้พวกพราหมณ์และยักษ์มารแทนพระโคดม  คือยอมให้พวกพราหมณ์ทำพิธีกรรมต่าง ๆ  และต้องยอมให้พวกยักษ์เอาชื่อท่านไปหาเงินและขายกิน 

กรรมนี้จึงสิ้นสุดเพียงสาวกของท่านเพียงเท่านี้  สิ่งเหล่านี้หรือกรรมเหล่านี้ได้เปิดออกหมดบอกแจ้งเหตุ  สะสางคืนสู่ความถูกต้อง  กรรมเหล่านี้จะไม่มีขึ้นกับพระศรีอย่างเด็ดขาดในทางธรรมทางพระศาสนา

ส่วนทางโลกนั้นเมื่อหมดยุคของพระโคดมกึ่งพุทธกาล  คุณพระศาสนาก็หมดตาม  ความร่มเย็นเป็นสุขทุกอย่างก็สิ้นสุดลงเช่นกัน  เหลือแต่กรรม  กรรมของศาสนจักร  อาณาจักร  พุทธจักรและกรรมก็ก่อผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วทุกวันนี้  ก็จะต้องเอากรรมนั้นมาถวายคืนบ้านเมืองในเขตศาสนา  ต้องมานับหนึ่งใหม่  แล้วผู้นำและหัวหน้าท้าวพญาทั้งหลาย  ที่อยู่ในเขตศาสนา  ก็ต้องมาขอกาใหม่


กาเก่านั้นเป็นของยักษ์  มาร  เป็นกาเมา  กาเม
ไม่ใช่กาชาด         ปรมัตถ์ของพระกกุสันโธพุทธเจ้า 
กาตั้ง                  ปรมัตถ์ของพระโกนาคมโนพุทธเจ้า
กาสั่ง                  ปรมัตถ์ของพระกัสสปะพุทธเจ้า
กาสอนและกาขาว  ปรมัตถ์ของพระพุทธโคดมพุทธเจ้า
แล้วจึงเป็นกาศิต    ปรมัตถ์ของพระศรีอาริยเมตไตรย์


เพราะศาสนจักรพระโคดมแบ่งเป็นสองยุค  กาสอนเป็นพระสาวกภูมิ  และกาขาวคือพระอริยภูมิ เมื่อกาลเวลามาถึงกึ่งพุทธกาล  ก็ต้องมาขอกาใหม่ไปตั้งเป็น  กาขาว   เพื่อขึ้นสู่ยุคถิ่นกาขาว  ถูกต้องเที่ยงตรงและเที่ยงธรรม บ้านเมืองถึงจะร่มเย็นเป็นสุข  ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง  ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล  ความรัดเอาเปรียบกันก็จะมีน้อย 

ปริศนาธรรมต่าง ๆ  ทั้งหลายนั้นได้เปิดให้โลกรู้  พุทธบริษัทก็รู้ตามความเป็นจริง  บาปกรรมก็เปิดให้รู้  บุญกรรมก็เปิดให้รู้  ใครทำกรรมดีสร้างเวรชั่ว  เมื่อมานั่งปฏิบัติก็จะรู้จะเห็นเอง  เชื่อตัวเองเป็นสันทิฐิโก  เป็นปัจจัตตัง  อันผู้รู้ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้เฉพาะตน  ทุกสิ่งทุกอย่างจะปิดบังไม่ได้อีก 

โองการนวกาพรหม  “นามแม่กาเผือก” 
ได้เปิดให้รู้มาตั้งแต่ศาสนาพระกกุสันโธองค์ต้นภัทรกัป 
ปริศนาธรรมต่าง ๆ...............  ของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์นั้นเปิดให้รู้ให้เห็น 

ส่วนปัญหาศาสนจักรของพระโคดมที่มากมายในกึ่งพุทธกาลนี้  เต็มไปด้วยกลิ่นมาร  ถึงวาระสะสางเข้าสู่ยุคพระอริยภูมิ  จึงมีโองการให้ไปเอาปรมัตถ์แห่งนาม  “ถิ่นกาขาว” 

เพื่อพลิกแผ่นดินให้กลิ่นใหม่  ลบกลิ่นมารที่เต็มไปทั่วศาสนจักรออก  ให้สดใสไปด้วยกลิ่นศีลธรรม  ไม่หลงกลิ่นมาร
 
พระพุทธศาสนาทุกวันนี้ต่างก็ได้แยกเหล่าแยกนิกาย  แยกสายไปทั่ว  ดังที่เรารู้กันอยู่ทุกวันนี้  สายบุญนั้น  สายบุญนี้  มีมากมายหลายสาย  จนไม่รู้ว่าจะเดินไปสายไหน  ไม่รู้ว่าทางสายไหนเป็นทางสายกลาง  ถูกมรรคถูกผล  ถูกนิพพาน  ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว  ซึ่งก็เป็นไปตามเรื่องของพงศ์เผ่าเหล่ากอ  ที่ไม่ดูความเป็นจริงของธรรมชาติ 


มันถึงเวลาแล้วที่สายการปฏิบัติต่าง ๆ   จะต้องรวมเป็นสายเดียวกัน  คือทำดีต้องได้ดี  ทำชั่วต้องได้ชั่ว  ตามกฎแห่งกรรม  เช่นเดียวกับแม่น้ำปิง  วัง  ยม  น่าน  ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา  แล้วแม่น้ำเจ้าพระยาจึงไหลลงสู่ท้องทะเล  รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  ธรรมชาติได้บอกสอนเอาไว้ให้รู้ให้เห็นเป็นอย่างนี้  โลกนั้นต้องอาศัยธรรม  ธรรมนั้นต้องไม่ขัดกับโลก  มีอยู่แต่ผู้อยู่ในโลกเท่านั้นที่ขัดกับธรรม..........

มาบัดนี้ถึงกาลเคลื่อนรัตนจักรเข้าสู่ถิ่นกาขาว เพื่อเข้าสู่ยุคพระอริยภูมิต่อไป

ที่มา  http://www.navagaprom.com/oldsite/job.php?id=1&db=job
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ