« เมื่อ: มีนาคม 30, 2022, 03:36:55 pm »
0
ตำนานวัดสังข์กระจาย กับ "มหานิมิต" วันปลุกเสก "หลวงพ่อกัจจายน์" องค์จำลอง
ประวัติวัดสังข์กระจาย จากหนังสือของกรมศิลปากรชั้นและตำบลที่ตั้งวัด
วัดสังข์กระจาย เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิด "วรวิหาร" ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของถนนอิสรภาพ บนฝั่งเหนือคลองบางกอกใหญ่ ใกล้สะพานเจริญพาศน์ ตําบลท่าพระ อําเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี วัดนี้ เดิมมีชื่อเรียกและเขียนกันหลายอย่าง คือ วัดสังกระจาย วัดสังฆจาย วัดสังฆจายน์ วัดสังข์กัจจายน์ และวัดสังข์กระจาย แต่ปัจจุบัน เรียกและเขียนชื่อหลัง คือ วัดสังข์กระจาย
ในพระอุโบสถ มีคำโคลงจารึกบนแผ่นหิน เกี่ยวกับ ชื่อวัดไว้ว่า
(ด้านหน้า) สังข์กจายสังกจัดด้วย เหตุใด
พระเอย สังฆเภทฤาพาลไภย ออกอ้าง
สังข์ทรงจักรไกร เกรียงเดช ดอกพ่อ
สังขราพนารายน์มล้าง ต่างลี้ หนีกจาย
(ด้านหลัง) สังกจายหมายชื่อ ใช่สงฆ์ กจายเอย
สงขบจากเขตคง ถิ่นนี้
สังข์ราพต่อยุทธองค์ สังข์จัก กรีนา
สังข์หมู่สังขอสูร หลบเร้น กจายหาย
เรื่องที่เกี่ยวกับ ชื่อวัด และโคลง ทั้ง ๒ บทนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เคยทรงวินิจฉัย กันมาแล้วในพระนิพนธ์เรื่องสาส์นสมเด็จ ขอคัดมาลงไว้ ดังต่อไปนี้
ลายพระหัตถ์ของสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ กราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๘๔ มีข้อความ ตอนหนึ่งว่า
“โคลงหน้าโบสถ์กับหลังโบสถ์เป็นโคลงอย่างเดียว กัน ยึดเอาสังขอสูรเป็นชื่อวัด ออกจะไม่เก่งที่เอาเรื่อง ไสยศาสตร์มาใส่กับพุทธศาสตร์ ทั้งสังขอสูรก็ดูเหมือน ไม่มีบริวารด้วย”
ลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลง วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๘๕ มีข้อความว่า
“โคลงที่วัดสังข์กระจายนั้น ทั้ง ๒ บทความเกี่ยว กัน สำนวนเป็นกวีผู้สันทัดแต่งโคลง อาจจะเป็นคน เดียวกันแต่งทั้ง ๒ บทก็ได้ เหตุใดจึงเอาไปเขียนไว้เป็น เครื่องประดับที่ฝาผนังโบสถ์ หม่อมฉันเห็นว่าผู้แต่งเห็นจะมีบรรดาศักดิ์สูงถึงเป็นเจ้านายก็ได้ แต่งประทานพระ ราชาคณะเจ้าอาวาสฯ เป็นผู้ให้เขียนไว้ จะเลยทูลวินิจฉัย เรื่องชื่อวัดสังข์กระจายต่อไป อันวัดสังข์กระจายนั้นเดิม เป็นวัดราษฎร สร้างในแขวงจังหวัดธนบุรีแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
หม่อมฉันเคยคิดเห็น ถึงได้แสดง ปาฐกถามาแต่ก่อนว่า วัดที่ราษฎรสร้างหรือเรียกโดยย่อ ว่า วัดราษฎร์ นั้น โดยมากไม่ได้มีชื่อมาแต่แรกสร้าง ทั้งผู้สร้างและคนอื่นในท้องถิ่นเรียกกันแต่ว่า “วัด” ถ้าในถิ่นหนึ่งมีกว่าวัดเดียวก็เรียกกันว่า “วัดเหนือ” “วัดใต้” หรือ “วัดใหญ่” “วัดน้อย” หรือ “วัดนอก” “วัดใน” ให้ผิดกัน
ชื่ออย่างอื่นที่เรียกวัดเกิดแต่คนต่างถิ่นเรียกกัน ถ้ามีแต่วัดเดียวก็เอาชื่อตำบลเรียกเช่นว่า “วัดบางว้า” และ “วัดบางยี่เรือ” ถ้าในตำบลนั้น มีหลายวัดก็เอาคุณศัพท์ที่ชาวบ้านเรียกเข้าต่อท้าย เช่น “วัดบางว้าใหญ่” “วัดบางว้าน้อย” วัดบางยี่เรือใน วัดบางยี่เรือกลาง และ วัดบางยี่เรือนอก
หรือมิฉะนั้นก็เรียกตามชื่อผู้สร้าง วัดเช่นว่า “วัดเจ้าขรัวหงส์” “วัดจางวางดิศ” และ “วัดจางวางพวง” มิฉะนั้นก็เอาชื่อสิ่งสำคัญซึ่งอยู่ใกล้วัดเรียกเป็นชื่อวัด เช่น “วัดโรงฆ้อง” “วัดท้ายตลาด” หรือเอาของแปลกที่มีอยู่ในวัดเรียกเป็นชื่อวัดเช่น “วัดโพธิ์“ วัดโบสถ์ วัดเจดีย์แดง แม้จนวัด(ต้น)เสียบ และ วัด(มีรูป)ลิงขบ เป็นต้น
@@@@@@@
วัดสังข์กระจายเดิมผู้สร้างก็เห็นจะไม่ได้ตั้งชื่อ น่าจะเป็นคำของคนต่างถิ่นเรียกว่า “วัดสังกะจาย” ด้วยมีอะไรเป็นนิมิตให้เรียกชื่ออย่างนั้น คิดดูไม่เห็นมีอะไรอื่นนอกจากพระท้องพลุ้ยที่เรียกกัน ทั่วไปว่า พระสังกะจาย จะเป็น นิมิตให้เรียกชื่อว่า “วัดสังกะจาย” หม่อมฉันจึงเห็นว่าที่วัดนั้นเริ่มเห็นจะมี รูปพระสังกจายน์ แต่หักพังสูญไปเสียแล้วแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ยังอยู่แต่ชื่อเรียกกันว่า “วัดสังกะจาย” (ไม่มีทั้งตัว ข. การันต์ต่อ สัง หรือตัว ร. ต่อหลัง ก. และตัว น. ต่อคำจาย)
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้ปฏิสังขรณ์เป็น วัดของ คุณเสือ ชื่อวัดสังกจายจึงโด่งดังขึ้นเมื่อเป็น วัดหลวง น่าสงสัยว่าจะมีผู้รู้อักษรศาสตร์ เช่น อาลักษณ์ เป็นต้น เขียนตัว ข. การันต์ลงในชื่อวัดเมื่อแรกเป็น วัดหลวงนั่นเอง ความจึงกลายเป็น วัดสังข์แตก ก็เลยเกิด เป็นปัญหาสำหรับพวกนักเรียนเล่นแปลชื่อวัดสังข์กระจาย แต่นั้นมา
ข้อนี้จึงเห็นได้ในนิราศนรินทร์อิน ซึ่งแต่งเมื่อตอนต้นรัชกาลที่ ๒ นรินทร์อินแปลเพียงว่า สังข์ของพระนารายณ์ ผู้แต่งโคลง ๒ บท รู้มากออกไปว่ามาแต่ เรื่องนารายณ์ ๑๐ ปาง จึงแต่งโคลงประมูลนรินทร์อิน แต่ที่จริงหม่อมฉันคิดไม่เห็นว่า ชาวเมืองธนคนที่สร้างวัดนั้นก็ดี หรือแม้คนต่างถิ่นที่ริเรียกชื่อวัดนั้นก็ดี จะรอบรู้ถึงเรื่องนารายณ์ ๑๐ ปาง หรือเลื่อมใสว่าเอาชื่อ สังข์พระนารายณ์ มาเข้าในชื่อวัดจะได้บุญมากขึ้น ชื่อวัดสังกะจายเดิมคงหมายความว่า พระท้องพลุ้ยเท่านั้น
จะทูลต่อไปอีกสถานหนึ่ง สังเกตดูชื่อวัดที่เอาชื่อเทวดามาเรียกก็มีหลายวัด เช่น วัดอินทาราม และ วัดจันทาราม เป็นต้น แต่ก็ล้วนเป็นเทวดาสัมมาทิฐิอันมีชื่อในพระบาลีทั้งนั้น ที่จะเอาชื่อเทวดาทางไสยศาสตร์ เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระพิฆเนศ เป็นต้น มาใช้เป็นชื่อวัดหามีไม่ แม้ชื่อที่เรียกว่าวัดพระรามก็ดี หรือที่ทำรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณที่หน้าบันโบสถ์ก็ดี ก็หมายเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน มิใช่เป็นการบูชา พระวิษณุหรือพระราม โดยวินิจฉัยดังทูลมา หม่อมฉัน เห็นว่าทั้งที่เพิ่ม ช. การันต์เข้าต่อสังก็ดี ที่เข้าใจว่าชื่อ สังข์แตกก็ดี ที่พวกกวีว่าสังข์ในชื่อวัดสังกจาย เป็นสังข์ ของพระวิษณุก็ดี เหลวหาสาระมิได้หมดทุกข้อ”

เขตวัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่กัลปนา(เจ้าของที่อุทิศให้วัด)
วัดนี้มีอาณาเขตดังนี้ คือ ด้านทิศตะวันออกจดปากคลองบางบัวทอง และคลองบางกอกใหญ่ ตอนเหนือ ด้านทิศตะวันตกจดคลองหลังวัดและคลองข้างวัด ด้านทิศเหนือจดคลองหลังวัดและคลองบางวัวทอง ด้านทิศใต้จดคลองข้างวัดและคลองบางกอกใหญ่ตอนใต้ รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๕ ไร่ ๑ งาน ๔๐ ตารางวา
ที่ธรณีสงฆ์ของวัด มีสวนติดกับเขตวัดออกไปอีก ๒ ขนัด ขนัดหลังวัดมีเนื้อที่ 4 ไร่ ๒ งาน ๒๔ ตารางวา ขนัดข้างเขตวัดตอนหลังมีเนื้อที่ ๓ งาน ๒๑ ตารางวา
ที่กัลปนาของวัด เป็นที่นา อยู่ตำบลคลองหกวา สายฝั่งใต้ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งนาง ฤทธิ์ณรงค์รอน (แจ่ม แสงมณี) ถวาย รวมทั้งสิ้นเป็น เนื้อที่ ๒,๖๔๕ ไร่ ๒ งาน ๔ ตารางวา
ผู้สร้างและปฏิสังขรณ์วัด
ผู้สร้างวัดในหนังสือประวัติวัด เล่าเรื่องเดิมของวัดก่อนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จะทรงสถาปนา โดย อาศัยคําของพระเถระผู้ใหญ่ ๒ รูป คือ เจ้าคุณพระ สังวรานุวงศ์เถระ (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม กับ เจ้าคุณ พระอริยศีลาจารย์ (วรรณ) วัดสังข์กระจาย เล่าไว้เป็น ๒ นัย คือ
นัยหนึ่ง เล่าว่า วัดนี้เป็นวัดโบราณมาก่อน สร้างขึ้นราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาคาบเกี่ยวกับตอนต้น สมัยกรุงธนบุรี เมื่อเจ้าคุณพระอริยศีลาจารย์ (วรรณ) ปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ พบลูกนิมิตฝังอยู่ใต้พื้นที่หลัง พระวิหารปัจจุบันหลายลูก หลักฐานอย่างอื่นไม่พบ เข้าใจว่าเป็นวัดเล็กๆ ไม่มีถาวรวัตถุมากนัก หรือหากมี ก็คงจะถูกรื้อถอนไปเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯให้สถาปนาใหม่ และว่า วัดคง จะร้างไปในตอนที่บ้านเมืองเกิดศึกสงครามกับพม่า ตอน เสียกรุงศรีอยุธยาและตอนกู้เอกราชในสมัยกรุงธนบุรี
อีกนัยหนึ่ง เล่าว่า นายสังข์ ชาวบ้านปากคลองบางวัวทอง ห่างจากวัดลึกเข้าไปประมาณ ๗ เส้นเศษ เป็นข้าราชการ ตำแหน่งนายสารบบในกรมพระสุรัสวดี และเป็นอุบาสก ประจําวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) มีจิตศรัทธาสร้างขึ้น ในราวปลายสมัยกรุงธนบุรี สถานที่สร้างเป็นสวนของ นายสังข์ สร้างเป็นวัดเล็กๆขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยขยับขยายตามกำลังทรัพย์
ต่อมา คุณจอมแว่นหรือคุณเสือ พระสนมเอกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ให้นางจ่ายข้าหลวงคนสนิทไปเฝ้าสวนของตนที่อยู่ติดกับสวนของนายสังข์ คนทั้งสองเลยรู้จักและสนิท สนมกันจนถึงกับชักชวนกันสร้างวัดเพิ่มเติม นางจ่ายรับอาสาขอทุนคุณจอมแว่นๆ ก็มอบทุนทรัพย์ให้มาสร้างเพิ่มเติมตามความประสงค์
เมื่อสำเร็จแล้ว นายสังข์กับนาง จ่ายต่างจะเอาชื่อของตนตั้งเป็นชื่อวัด ครั้นตกลงกันไม่ได้ นางจ่ายจึงนำความแจ้งแก่คุณจอมแว่น คุณจอมแว่นจึงกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขอพระราชทานชื่อวัด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชดำรัสว่า “วัดไม่สวย ไม่สมกับเป็นวัดพระสนมเอก”
จึงโปรดเกล้าฯให้สถาปนาขึ้นใหม่ พระราชทานคุณจอมแว่น และในตอนที่ขุดพื้นที่เพื่อสร้างพระอุโบสถนั้น พบพระกัจจายน์หล่อด้วยสัมฤทธิ์องค์หนึ่ง ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๐ นิ้ว ไม่มีฐาน กับสังข์ตัวหนึ่ง โดยเฉพาะ สังข์นั้นชํารุดเพราะแรงเครื่องขุด เมื่อสร้างวัดเสร็จตามพระราชประสงค์แล้ว จึงพระราชทานนามวัดว่า “วัดสังข์กัจจายน์” ตามนิมิตที่พบพระกัจจายน์และสังข์
สิ่งก่อสร้างสมัยเมื่อคุณจอมแว่นให้ทุนทรัพย์มาสร้างเพิ่มเติม คือ กุฎีสงฆ์ ๔ คณะ อยู่มุมวัดด้านใต้ แต่ละคณะมีกุฏิ ๔ หลัง หลังหนึ่งๆมี ๒ ห้อง ส่วน กุฏิเจ้าอาวาสอยู่ทางด้านตะวันออกของกุฏิสงฆ์ทั้ง ๔ คณะ หมู่กุฏิเหล่านี้ เป็นตึกก่อด้วยอิฐถือปูน มีกำแพงอิฐ ล้อมสูง ๑ วา มีประตูเข้าออกทั้ง ๔ ด้าน
เรื่องนายสังข์ นางจ่าย สร้างวัด และเรื่องขุดพบพระกัจจายน์กับสังข์ คราวพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนาใหม่ คงจะเป็นที่มาของความแตกต่างเรื่องชื่อวัดดังกล่าวแล้ว
@@@@@@@
ส่วนประวัติวัดตามที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือนั้น มีเป็นเรื่องสั้นๆ เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. คลี่ สุทัศน์) เรียบเรียงทูลเกล้า ฯ ถวายในรัชกาลที่ ๕ ว่า
“วัดสังข์กระจายอยู่ในคลองบางกอกใหญ่ฝั่งเหนือ เป็นวัดโบราณ ในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนาพระราชทานเจ้าจอมแว่น หรือ นัยหนึ่งเรียกว่า คุณเสือ พระสนมเอก ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์”
สิ่งก่อสร้างเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา คือ พระอุโบสถอยู่ เคียงข้างหมู่กุฎีสงฆ์เดิม แต่หันหน้าไปทางคลองบางวัว ทอง กับกุฎีสงฆ์อีกหมู่หนึ่ง ตรงมุมพระอุโบสถด้านใต้
การสถาปนาวัดในรัชกาลที่ ๑ ไม่ปรากฏว่าเป็น วันเดือนปีใด แต่เมื่อพิเคราะห์ข้อความบางตอนในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาแล้ว เห็นว่า น่าจะทรงสถาปนาขึ้นก่อนหรือในตอนต้นๆปี ที่เสวยราชย์ เพราะข้อความในหนังสือทั้ง ๒ นั้น กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงตั้งพระราชพิธีปราบดาภิเษก วันจันทร์ เดือน ๘ บุรพาษาฒจากนั้นได้ทรงประดิษฐานพระราชวงศ์ ตั้งข้าราชการวังหลวงวังหน้า และพระราชาคณะโดยลำดับ
ในเรื่องพระราชาคณะนั้น ปรากฏว่า เมื่อได้ทรงเปลี่ยนแปลงให้วิเสทนอกจักกัปปิยจังหันเช้าถวายพระราชาคณะ แทนการพระราชทานเบี้ยหวัดตามคำของ "พระธรรมธราราชมหามุนี" ที่ถวายพระพรว่า ไม่ควรถวายเงินพระสงฆ์ พระสงฆ์รับเป็นอาบัติปาจิตตีย์แล้ว
พระเทพมุนี(เรื่อง) วัดบางว้าใหญ่(วัดระฆัง) ข้าหลวงเดิมเข้าเฝ้าถวายพระพรว่า อย่าทรงเชื่อ "พระธรรมธีราราชมหามุนี" นัก เพราะเป็นพวกอาสัตย์สอพลอ เคยทำให้แผ่นดินเจ้าตากฉิบหายมาแล้ว ทรงพิโรธว่า "พระเทพมุนีข้าหลวงเดิมเจรจาหยาบช้า แสร้งจะให้เหมือนแผ่นดินเจ้าตาก" จึงดำรัสให้ถอดออกจากตำแหน่งพระราชาคณะ แล้วโปรดให้พระเทพโมลีวัดสังข์กระจายเป็นพระเทพมุนี
ข้อความที่อ้างมานี้ แสดงให้เห็นว่า ในปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงกระทำพระราชพิธีปราบดาภิเษกอย่างสังเขปในปีแรกที่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตินั้น วัดสังข์กระจาย เป็นวัดสำคัญมีพระราชา คณะผู้ใหญ่ชั้นเทพครองแล้ว ดังนั้นการสถาปนาจึงน่าจะก่อนหรือในตอนต้นๆปี ที่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ฯลฯ (ยกมาแสดงบางส่วน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2022, 05:18:24 pm โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ