ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พลิกความคิด เปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิม  (อ่าน 803 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พลิกความคิด เปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิม - พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

ในทางการแพทย์ มีการทดลองค้นคว้าวิธีการที่จะทำให้สมองดีขึ้นหลากหลายวิธีด้วยกัน ทั้งการใช้อาหารบำรุงสมอง รวมทั้งการฝึกใช้สมอง ดังนั้น จึงเกิดกลวิธีบริหารสมองต่าง ๆ ขึ้นมากมาย แล้วเราควรจะเริ่มต้นการบริหารสมองอย่างไร มาดูกัน

กลวิธีบริหารสมอง

เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า ชีวิตคนเราประกอบด้วย “กาย” กับ “ใจ” ในส่วนของร่างกายนั้น เราจะต้องออกกำลังกายจึงจะแข็งแรง แต่สำหรับใจของเรา ต้อง “หยุดนิ่ง” จึงจะทรงพลัง

ในส่วนของกาย เรามีสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย สมองอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ พอเราเปิดกะโหลกออกมาดู ก็จะเห็นสมองมีลักษณะเป็นก้อน และมีรอยหยัก ซึ่งเราสามารถจับต้องได้

แต่บางคนเข้าใจผิด คิดว่าใจคนเรามีหน้าที่คิด จึงอาจจะคิดไปว่าสมองนี่เองก็คือใจ แต่จริง ๆ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ถ้าเปรียบเทียบสมองของคนคล้ายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะคิดคำนวณได้ดี แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่รอให้ผู้ใช้ (User) เข้ามาสั่งงาน ใจของคนเราก็เหมือน User นั่นเอง ส่วนสมองก็คือคอมพิวเตอร์ที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่นั่นเอง

หากถามว่าสมองสำคัญอย่างไร ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า “ร่างกายต้องออกกำลังจึงจะแข็งแรงส่วนใจของเราต้องหยุดนิ่งจึงจะทรงพลัง” เมื่อสมองคือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา จะฝึกสมองให้เก่งก็ต้องบริหารสมองด้วยการฝึกออกกำลังสมอง

คำถามคือ แล้วเราจะฝึกออกกำลังสมองอย่างไร จริง ๆ การออกกำลังสมองก็คือการฝึกคิดนั่นเอง เมื่อสมองทำหน้าที่คิด การออกกำลังสมองก็คือการฝึกเกี่ยวกับเรื่องการคิด เปรียบเทียบให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น



หลักการบริหารสมอง

เมื่อเราต้องออกกำลังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยหลากหลายอิริยาบถ เพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกาย สมองก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราคิดอะไรซํ้าเดิมเป็นประจำ ผลที่ได้คือ สมองจะใช้แต่ช่องทางเดิม ๆ เซลล์สมองไม่ได้ถูกใช้งานและเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง

ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการฝึกบริหารสมองรูปแบบใหม่ ๆ คือการสร้างกระบวนการคิดใหม่ ๆ ด้วยสิ่งเร้าใหม่ ๆ แทนที่เราจะคิดแบบเดิม ๆ ก็ลองเปลี่ยนมุมมองพลิกแพลงวิธีคิดรูปแบบใหม่ ๆ

เนื่องจากคนเรามักจะติดนิสัยแบบเก่า ๆ ที่เคยทำประจำ เช่น บางคนพอเจอเรื่องราวไม่ดีก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวทันที แต่ถ้าเราพลิกมุมมองใหม่คือ พอมีคนมาด่าว่าเรา แทนที่เราจะหงุดหงิดทันทีก็ปรับความคิดใหม่ให้เป็นบวกว่า ในอดีตชาติเราคงเคยไปด่าเขาไว้ ถือว่าเราได้ชดใช้วิบากกรรมกันไปในชาตินี้ วิบากกรรมเราจะได้ลดน้อยลงไป

เมื่อเราเปลี่ยนวิธีคิดพลิกมุมมองให้เป็นบวกอย่างนี้แล้วช่องทางเดินของเรื่องราวในสมองก็จะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การบริหารสมองเป็นไปได้อย่างทั่วถึงขึ้น

อีกวิธีหนึ่ง คือ กระตุ้นการบริหารสมองด้วยการเปลี่ยนสิ่งเร้าใหม่ ๆ ทั้ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เช่น บางคนชอบฟังเพลงร็อก ก็ให้ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงบรรเลงบ้าง หรือจะลองเปลี่ยนรูปแบบและรสชาติของอาหารที่กินในแต่ละวันบ้างก็ได้ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกว่ามีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต พอสิ่งเร้าเปลี่ยนรูปแบบไป สมองก็จะได้รับการกระตุ้นในส่วนที่เปลี่ยนไปด้วย ส่งผลให้สมองทำงานได้ทั่วถึงมากขึ้น

หลักการนี้เรียกว่า “Neurobics Exercise” คือ “การไม่ทำอะไรจำเจ” เช่น บางคนถนัดเขียนหนังสือด้วยมือขวา ก็ให้ลองเปลี่ยนมาเขียนด้วยมือซ้ายดูบ้าง ตัวหนังสืออาจจะโย้ ๆเย้ ๆ แต่เราก็จะพบว่ามีความรู้สึกใหม่ ๆ เกิดขึ้น

ตอนอาบนํ้าเราเคยลืมตาหยิบสบู่มาถูตัว ก็ลองหลับตาถูสบู่ดูบ้าง หรือเราเคยลืมตาดูโทรทัศน์ก็ให้ลองเปลี่ยนมาหลับตาตั้งใจฟังเสียงดูบ้าง จากเดิมที่เคยนั่งลืมตาฟังเพลงก็ลองหลับตาฟังเพลงดูบ้าง จากที่เคยเดินกลับบ้านเส้นทางเดิม ๆ ก็ลองเดิน อ้อมไปอีกทางหนึ่ง เปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ให้ซํ้าซากจำเจดูบ้าง

หลักการบริหารสมองที่สำคัญประการต่อมา คือ สมอง จะต้องมีช่วงเวลาพักผ่อนด้วย ในขณะที่ร่างกายเราต้องยังมีช่วงเวลาพัก ไม่สามารถวิ่งหรือเดินได้ตลอดเวลา สมองของเราก็ต้องมีช่วงเวลาหยุดพักด้วยเช่นกัน ช่วงพักสมอง คือ ช่วงเวลาที่เราหยุดคิดนั่นเอง

ดังนั้น เราต้องรู้จักออกจากความคิดบ้าง บางคนคิดจนกระทั่งมีอาการคล้าย ๆ สมองเป็นตะคริว เพราะรับสิ่งเร้าเข้ามามากเกินไป เช่น ดูหนังมาก ๆ เล่นเกมคอมพิวเตอร์มาก ๆ ก็เกิดอาการเกร็ง สมองมึนงง เหมือนเครื่องกำลังจะแฮงก์ พอหลับตาก็นอนตาค้างเบิกโพลง เพราะรู้สึกว่ามีเรื่องราววนเวียนอยู่ ในหัวเต็มไปหมด นั่นคืออาการของคนที่ใช้สมองมากเกินไปจนมันเกร็งตัว เราต้อง รู้จักพักสมองบ้าง โดยการออกจากความคิดแล้วทำจิตใจให้สงบ หลับตาทำสมาธิภาวนา



เปลี่ยนความคิดด้วยหลักธรรม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “สัมมาสังกัปปะ” หนึ่งใน “มรรคมีองค์แปด” คือดำริชอบ ได้แก่ คิดชอบ คิดถูก ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ซึ่งเป็นหลักธรรมนำทางเปลี่ยนความคิด ดังนี้

1. คิดออกจากกาม

คิดออกจากกาม คือ ไม่หมกมุ่นในความโลภความอยาก ไม่อยากได้ของคนอื่นเขา ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ใช่สิ่งที่เราเองควรได้ แต่เรากลับหมกมุ่นไปแสวงหาโดยมิชอบหรือว่าไปคิดหมกมุ่นเรื่องกามมากเกินไป จนทำให้คุณภาพใจเสียสมองเสื่อมคุณภาพ

2. ไม่คิดพยาบาท

ลองสังเกตคนที่คิดแค้นใครมาก ๆ แค่ได้เห็นหน้าหรือได้ยินชื่อคนคนนั้น เขาก็จะรู้สึกโกรธจนใจสั่นมือไม้สั่น เลือดฉีด ขึ้นหน้า บางคนโกรธถึงกับทำท่าทางจะชักดิ้นชักงอลงไปเลย เพราะสมองเกิดอาการเกร็ง คล้ายกับคนที่ไปออกกำลังกายผิดท่า แล้วกล้ามเนื้อเกร็ง กล้ามเนื้ออักเสบ เกิดการขัดยอกหรือฉีกขาด

หากเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ไม่ยํ้าคิดยํ้าทำในด้านการเพิ่มความโกรธความอาฆาตพยาบาท แต่ให้คิดทางบวกอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว เราก็จะสบายใจมีความสุข เพราะฉะนั้นอย่าเผลอไปคิดผิดท่า จนเกิดอันตรายแก่สมองและใจของเรา เราควรตั้งความปรารถนาดี และแผ่เมตตาจิตให้มาก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ตลอดวัฏสงสารที่ยาวนาน ไม่มีใครเลยไม่เคยเกิดมาเป็นญาติกัน” คนที่เราเกลียดแสนเกลียดเขา ได้ยินชื่อเขาก็แทบจะดิ้นชัก ภพใดภพหนึ่งในอดีตเขาอาจจะเคยเป็นพ่อแม่ของเรา เคยเป็นลูกสุดที่รักของเรา หรืออาจจะเคยเป็นสามีภรรยาของเราก็ได้ เพียงแต่เราลืมไปแล้วเท่านั้นเอง

พอเราเข้าใจหลักความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ให้มองทุกคนด้วยความรักและปรารถนาดี ซึ่งจะเป็นผลดีกับสมองของเราแล้วส่งผลเนื่องไปถึงใจของเราด้วย

3. ไม่คิดเบียดเบียน

การไม่คิดเบียดเบียนมีผลต่อเนื่องมาจากเรื่องความพยาบาท บางคนพยาบาทแค่ในความคิด บางคนเลยเถิดไปถึงคิดเบียดเบียน คือ อยากจะเล่นงานให้เขาเดือดร้อน วางแผนทำลายทรัพย์สินเขา ทำร้ายร่างกายเขา คิดแต่จะก่อเรื่องก่อราวให้เขาได้รับความเดือดร้อน เรียกว่า “ขุดหลุมพรางวางเหยื่อล่อ” คิดแต่ในทางลบ จับจ้องว่าเมื่อใดคนอื่นเขาจะเดือดร้อน แต่จริง ๆ แล้วคนที่เดือดร้อนก่อนใครก็คือตัวเราเอง เพราะมัวแต่คิดร้าย คิดผิดทางจนสมองเกิดอาการเกร็งตัว สมองอักเสบจนเกิดการขัดยอกทางสมอง เรียกว่าระบบการทำงานของร่างกายรวนไปหมด คุณภาพใจก็เสื่อมตาม

@@@@@@@

เพราะฉะนั้น อย่าตกหลุมพราง 3 ข้อนี้ คือ คิดหมกมุ่นในกาม คิดโลภอยากได้ของคนอื่นในทางทุจริต คิดพยาบาทอาฆาตและคิดเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งจะเป็นการป้องกันการใช้สมองในทางที่ผิดได้อย่างดีเยี่ยมเลย แต่ถ้าใครไปทำเข้า เรียกว่า “มิจฉาสังกัปปะ” คือความคิดในทางที่ผิด

ถ้าบริหารสมองได้ถูกหลัก ทั้งกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า ออกกำลังสมอง รู้จักขบคิดพิจารณาให้สมองได้ถูกใช้ทุกส่วนสมองของเราก็จะแข็งแรง แล้วพอเราไม่ใช้สมองในทางที่ผิด เราก็จะเป็นคนที่มีสมองยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ แล้วทำให้เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข

สมองเราคอยรับสิ่งเร้าต่าง ๆ เข้ามาแล้วแปลผลออกมาในกระบวนการคิด ซึ่งมีทั้งคิดดีและคิดไม่ดี ในทำนองกลับกัน สมองก็เป็นตัวถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ที่ออกมาจากใจว่าเราจะคิดพูดอย่างไรแล้วจึงส่งออกไปเป็นความคิด คำพูด และการกระทำ

เพราะฉะนั้น เราเป็นผู้เลือกที่จะรับข้อมูลจากภายนอกที่มากระตุ้นให้เราคิด และเลือกที่จะคิดพูดทำสิ่งใด ถ้าเราเลือกรับข้อมูลที่ดี ฝึกคิดทางบวก คิดพูดทำในแนวทางที่เป็นกุศล จิตผ่องใส สมองก็จะทำงานได้ดีนั่นเอง

                    เจริญพร






Thank to : https://today.line.me/th/v2/article/vXZY6Jj
เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว • พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ