"ปฏิบัติธรรม" มีความรักได้ไหม.? | อยู่ด้วยกันแล้วมีทุกข์ใดปรากฏ ก็ขอให้ใช้ทุกข์นี้เป็นบทเรียนนำไปสู่นิพพาน
ปุจฉา : ปฏิบัติธรรมแล้วยังมีความรักได้ไหม.?
วิสัชนา : ได้ แต่ต้องปฏิบัติกันเป็นจริงๆ ทั้งคู่ จะยิ่งรู้ว่ารักที่รุนแรงทั้งความรู้สึกทางกายและทางใจเป็นอย่างไร สำคัญ คือ แต่ละฝ่ายไม่เป็นกันจริง กับแค่ถือศีล ๕ ก็ไม่เข้าใจแล้วว่าถืออย่างไร ถือไปทำไม อย่าพูดถึงนั่งสมาธิ เอาสมาธิ มาเจริญปัญญากัน
เมื่อทั้งคู่รู้จักอริยสัจ ๔ จริง ๆ จะเข้าใจว่า พุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ เห็นซึ้งว่า จะปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ต่างฝ่ายต่างเป็นกำลังของกันและกัน เมื่ออีกฝ่ายอ่อนแรงลง ฝ่ายหนึ่งขี้เกียจ อีกฝ่ายก็เตือนให้ขยันตั้งสติ ตั้งสมาธิ ฝ่ายหนึ่งเผลอทำผิด อีกฝ่ายก็สะกิดให้ระลึกได้ว่า อย่างนี้เซแล้ว ต้องทรงตัวใหม่แล้ว
การดึงกันปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสร้างแรงดึงดูด ที่เหนือแรงดึงดูดด้วยกรรมร่วมชนิดอื่นใดทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นตัวสร้างความนับถือกันและกันอย่างสูง เป็นตัวสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียวที่แนบแน่นลึก ลงไปถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
@@@@@@@
คู่ทำบุญใส่บาตร
แค่คู่ที่ร่วมกันทำบุญใส่บาตร ร่วมกันช่วยเหลือคนและสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นนิตย์ ก็ประจักษ์แล้วว่า
ความดีที่ทำร่วมกันเป็นสิ่งลึกลับ เป็นเชือกร้อยรัดที่เหนียวแน่น สร้างความรู้สึกระลึกถึงกันในทางดีงาม เห็นอีกฝ่ายแล้วเกิดความอ่อนโยนในใจ
คู่ถือศีล ทำสมาธิ
แต่คู่ที่ทำบุญในระดับตั้งใจถือศีลร่วมกัน ปวารณาตัวให้อีกฝ่ายตักเตือนได้เมื่อเห็นตนเขว ทำท่าจะด่างพร้อย จะยิ่งเกิดความคิดถึง ความผูกพันลึกซึ้งยิ่งกว่าคู่ที่แค่ทำบุญใส่บาตรร่วมกันไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า
ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถสอนอีกฝ่ายให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ สร้างตัวรู้ขึ้นมาได้ หรือเป็นสมาธิด้วยกันทั้งคู่มาก่อน เข้าที่ภาวนา นั่งสมาธิร่วมกันเสมอ จะเข้าใจความรักฉันหญิงชายอีกแบบที่ประหลาดมาก แค่อยู่ใกล้กันเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไร ก็เหมือนเป็นแรงเสริมให้อีกฝ่ายเป็นสุขได้อย่างน่าแปลกใจ
ยิ่งหากแต่ละฝ่ายรู้จักคิด รู้จักพูดจา ก็จะมีมิติของสัมพันธภาพที่หลากหลาย เวลาหนึ่งอาจคุยกันได้มากมายสารพัดเรื่อง อีกเวลาหนึ่งอาจรู้จักการอยู่ร่วมกันเงียบ ๆ เพื่อฟังเสียงของใจแต่ละฝ่าย เมื่อคิดอะไรก็เหมือนจะรู้กัน เมื่อขยับนิดหนึ่งก็เหมือนเดาถูกว่า จะทำอะไร
มีคู่รักนักเขียนฝรั่งที่เข้าใจเรื่องการทำสมาธิร่วมกัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว เรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย
คู่เสริม - คู่ทำลาย : ผลเสียสำหรับผู้ต้องการพ้นทุกข์จากสังสารวัฎ
คนที่อยู่คู่กันนั้น เป็นแรงทำลาย แรงที่กดให้ใจอีกฝ่ายตกต่ำก็ได้ หรือจะเป็นแรงเสริมกันให้รู้สึกสูงส่ง ให้เกิดความสุขก็ได้ ยิ่งมีกำลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ผลบวกลบมากขึ้นเท่านั้น
ทีนี้ถ้าทำสมาธิถึงระดับที่มีกำลังแรง แถมลากจูงกันไปดี นอกจากเสริมกันในทางบวกแล้ว ยังสื่อใจถึงกันได้ เพราะคลื่นจิตใต้สำนึกและเหนือสำนึกสานกันในที่ใกล้บ่อย ๆ นั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจถ้าฝ่ายหนึ่งพบเรื่องน่ายินดีมาก อีกฝ่ายที่อยู่ไกลออกไปก็สามารถสำเหนียกถนัด
ถ้ามองในมุมของผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์จากสังสารวัฏจริง ๆ การอยู่ร่วมกันและปฏิบัติธรรมร่วมกันก็มีผลเสียร้ายกาจอยู่อย่าง นั่นคือ ถ้าปฏิบัติไปไม่ถึงขั้นปลดขอเกี่ยวให้จิตแยกจากอุปาทานได้แล้ว จะมีความติดเนื้อต้องใจกันชนิดแยกจากกันไม่ได้ เมื่อเย็นร่วมกันถึงที่สุด ก็ร้อนแรงตามครรลองโลกด้วยกันที่สุดเช่นกัน จะสลับขั้วร้อนเย็นเป็นช่วงเป็นพัก เหมือนพายเรือในอ่าง หนีไปไหนไม่รอด เสียเวลาในช่วงก่อนแก่ตัวไปกับวิถีโลกเป็นสิบ ๆ ปี หรือ อาจชวนกันอธิษฐานขอไปนิพพานกันในชาติอื่นไปเลย
@@@@@@@
ในมุมมองของผู้เห็นรูปนามเป็นทุกข์ การอยู่ตัวคนเดียว ปฏิบัติธรรมโดยลำพัง เที่ยวไปอย่างสันโดษเอกา นับเป็นความสุขอันประเสริฐแท้ แต่เมื่อยังข้องอยู่ ยังสงสัยอยู่ ยังอยากในรสอยู่ จะเรียนรู้ชีวิตคู่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ตั้งใจไว้ดี ๆ มองหน้าคู่รักเราแล้วอธิษฐานไว้ว่า
"อยู่ด้วยกันแล้วจะมีทุกข์ใดปรากฏ ก็ขอใช้เป็นบทเรียน ผลักดันให้ปรารถนาดับทุกข์จนสนิท เมื่ออยู่ร่วมกันจริง ๆ แล้วเกิดเหตุการณ์เลวร้าย หรือพลาดพลั้งตกทุกข์สาหัสประการใด จะได้มีภาคหนึ่งระลึกว่า เราเคยเตรียมใจรับเรื่องนี้มาก่อน จะใช้ทุกข์นี้เป็นบทเรียนไปนิพพาน และพยายามแก้ปัญหาด้วยน้ำใจเมตตา ปรารถนาเกื้อกูลกัน ไม่แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหา"
การได้คู่ครองที่ประเสริฐ ดึงกันไปดีนั้นยากแสนยาก แต่ถ้าหาได้ก็ควรหา อย่ายึดถือกันที่หน้าตา เพราะหน้าที่ฉาบบังความเลวไว้นั้นนานไปเหม็นได้ แต่ใบหน้าเรียบสงบที่อาบด้วยความดีงามนั้นหอมหวนไม่เปลี่ยนแปลงเลย แหล่งข้อมูล : บทความเชิงคุณธรรม ชุดที่2 รู้จักรัก/ข่าวน่ากลุ้ม-ดังตฤณ สืบค้นจาก
www.jozho.net เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 60
Thank to :
https://www.trueplookpanya.com/dhamma/content/53152Posted By มหัทธโน | 15 ม.ค. 53
ภาพ : pinterest