มารวิชัยสลับมือ ‘ผิดพลาด’ หรือ ‘นอกรีต’.?
ทำปางมารวิชัยคว่ำมือซ้าย จงใจหรือไม่รู้
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน มีพระพุทธรูปสมัยหริภุญไชยอยู่องค์หนึ่ง แกะสลักด้วยหินทรายเนื้อละเอียด เป็นประติมากรรมนูนสูง ที่ประภามณฑลแผ่นหลังตกแต่งด้วยลายรัศมีเปลวเป็นรูปกระหนกผักกูด
ครั้งหนึ่งพระพุทธรูปองค์นี้เคยลงชาดสีแดง เพราะยังเหลือร่องรอยอยู่บางส่วน แต่จะมีการปิดทองคำเปลวด้วยหรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้ ความสูงขององค์พระปฏิมา 111 เซนติเมตร กว้าง 82 เซนติเมตร เลขทะเบียนโบราณวัตถุที่ 366/18 ส่วนประวัติความเป็นมาระบุเพียงแค่ว่าย้ายมาจากวัดพระธาตุหริภุญชัยปี 2518
สิ่งสะดุดตาผู้พบเห็นมากที่สุดคือ การทำพระหัตถ์สองข้างสลับกันในปางมารวิชัย กล่าวคือ โดยทั่วไปแล้วพระพุทธรูปปางมารวิชัยจะต้องวางพระหัตถ์ซ้ายบนพระเพลา (หน้าตัก) เอาพระหัตถ์ขวาคว่ำลง ชี้นิ้วเรียกพระแม่ธรณีมาเป็นพยานแห่งการตรัสรู้ธรรม
ทว่า พระพุทธรูปหริภุญไชยองค์นี้ กลับเอาพระหัตถ์ขวาวางบนพระเพลา แล้วเอาพระพระหัตถ์ซ้ายวางพาดพระชงฆ์ (หน้าแข้ง) ลงมา ซึ่งในที่นี้ พระหัตถ์ที่วางพาดด้านซ้ายนั้นแตกกะเทาะ หรือถูกถากไปเช่นเดียวกับส่วนของพระพักตร์

พระพุทธรูปปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย ศิลปะหริภุญไชย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 14-15 จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย
มีผู้ตั้งคำถามกันมากว่า เหตุไรจึงทำปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์สลับข้างกันเช่นนี้ มีตัวอย่างที่อื่นให้ดูเปรียบเทียบไหม เป็นความจงใจหรือไม่รู้ ฤๅว่าแท้จริงแล้วสามารถทำสลับกันไปมาได้ทั้งสองข้างแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงแต่ลักษณะคว่ำพระหัตถ์ซ้ายพบน้อยกว่า
สารพัดคำถามนี้ หาคำตอบได้ไม่ง่ายเลย เพราะมีแต่ผู้ตั้งคำถาม ทว่า หาผู้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้น้อยมาก เท่าที่เห็นก็มีแต่ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงสุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ อดีตอาจารย์ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งความเป็นรุ่นอาจารย์รุ่นน้องจากคณะโบราณคดี ดิฉันมักเรียกท่านติดปากว่า “พี่หม่อมนก” หรือ “อาจารย์หม่อมนก”พระพุทธรูปนูนสูงปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี รัฐศรีเกษตร ประเทศเมียนมา
บทความชิ้นแรกที่อาจารย์หม่อมนกได้นำเสนอในวารสารคือ Remarks on Buddha Images with the Left Hand in maravijaya in Thailand and Myanmar : Recent Interpretations. ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Maekong Societies Vol.12 No. September-December 2016 หน้า 1-26
ต่อมาท่านได้นำเนื้อหานี้มาสังเคราะห์แนวความคิดขึ้นใหม่แล้วเขียนเป็นบทความชื่อ ประติมานวิทยาท้องถิ่นในลักษณะของพระพุทธรูปปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย ตีพิมพ์ในหนังสือ “หลากเรื่องเมืองม่าน ที่ระลึกครบรอบ 72 ปี อาจารย์ ดร.หม่อมราชวงศ์รุจยา อาภากร” โครงการจัดพิมพ์ผลงานวิชาการศูนย์เมียนมาร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2560 เล่มที่ 2
เนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มนี้ อาจารย์หม่อมนกมุ่งตรงไปยังประเด็นคำถามเดียวกันกับที่ทุกคนต่างสงสัยว่า ทำไม อย่างไร มีด้วยหรือ การทำปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้ายวางบนพระชงฆ์ โดยอาจารย์หม่อมนกได้นำตัวอย่างพระพุทธรูปที่พบในรัฐศรีเกษตร (ประเทศเมียนมา) ศิลปะแบบปยู่ มาศึกษาเปรียบเทียบกันอีกด้วย
บทสรุปของการศึกษาวิจัยงานดังกล่าว อาจารย์หม่อมนกให้ความเห็นว่าสิ่งที่ดูเหมือนสลับขั้วสลับข้าง คล้ายจะผิดฝาผิดตัวนี้ แท้จริงแล้ว “ไม่ใช่ความไม่รู้ แต่เป็นการสร้างอย่างจงใจต่างหาก”
พระพุทธรูปนูนสูงปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี รัฐศรีเกษตร ประเทศเมียนมา
“ผิดพลาด” หรือ “นอกรีต”
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวได้อ้างถึงพระพุทธรูปปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้ายที่เจดีย์เบเบ เป็นศิลปะปยู่ในรัฐศรีเกษตร รัฐเดียวกันนี้ได้พบพระพิมพ์ที่เจดีย์บอบอ ทำพระพุทธรูปปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้ายอีกเช่นกัน
คำถามที่ตามมาจาก “จงใจ” หรือ “ไม่รู้” ก็คือ “ผิดพลาด” หรือ “นอกรีต”? ถ้าหากยืนยันว่าจงใจ ไม่ได้ผิดพลาด ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่า “จงใจจะนอกรีต” หรือเช่นไร ทำไมจึงกล้าหาญชาญชัยเช่นนั้น
ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงสุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ อธิบายไว้ในงานวิจัย สอดคล้องกับความเห็นของนักวิชาการอีกท่านซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและพุทธศิลป์อินเดีย-อุษาคเนย์ชื่อ ดร.ปีเตอร์ สกิลลิ่ง (Dr. Peter Skilling) ว่า
“พุทธลักษณะที่แตกต่างไปจากประติมานวิทยาต้นแบบที่อินเดียเช่นนี้ คือประจักษ์พยานถึงวัตรปฏิบัติและพิธีกรรมของตนเองในแต่ละท้องถิ่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่บนพื้นฐานคตินิกายศาสนาจากภายนอก”
แล้วคติศาสนาที่ว่า “ประดิษฐ์ใหม่จากภายนอก” นั้นคือนิกายอะไรเล่า? คำตอบที่ อาจารย์หม่อมนกและ ดร.สกิลลิ่งได้นำเสนอก็คือ “นิกายอารี” ซึ่งอาจนิยามได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนานิกายวัชรยาน หรือนิกายเถรวาทแบบ “นอกรีต”
พระพิมพ์ดินเผาปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย พบที่เจดีย์บอบอ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12
นิกายอารี จากปยู่สู่หริภุญไชย
ชื่อของ “นิกายอารี” (Ari) ออกเสียงภาษาพม่าเป็น “อะยี” เป็นนิกายดั้งเดิมในรัฐศรีเกษตรที่มีมาก่อนการรับเอาพระพุทธศาสนานิกาย “บริสุทธิ์” มาจากลังกา
กลุ่มชนที่นับถือนิกายอารีนี้ เริ่มจากชาวปยู่ (Pyu) ก่อน ซึ่งกระจายตัวอยู่ที่รัฐศรีเกษตร ลุ่มแม่น้ำอิรวดีในพม่า ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11-16 เป็นนิกายที่มีทั้งการบูชาผีนัต ผสมพญานาค และพระพุทธเจ้า
ข้อสำคัญนิกายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐหริภุญไชยอย่างแนบแน่นอีกด้วย นักจารึกวิทยาชาวเยอรมัน ดร.ฮันส์ เพนธ์ (Dr. Hans Penth) ได้อ่านและถอดความพงศาวดารพม่าฉบับหนึ่งชื่อ “ปะกันยาซาหวิ่นธิต” (พุกามราชวงศ์) มีการกล่าวถึง เหตุการณ์สมัยของพระเจ้าครรชิต หรือจันสิตถา ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1627-1655 ร่วมสมัยกับพระญาสรรพสิทธิ์ หรือสววาธิสิทธิของหริภุญไชย
ยุคสมัยของพระเจ้าจันสิตถาได้มีนักบวชจากดินแดนพุกามของพระองค์เดินทางไปจาริกแสวงบุญยัง “นครหริภุญไชย” ครั้นเมื่อกลับมา พระองค์ได้จัดกองทหารของรัฐพุกามเข้ารับการเสกเป่าจากผู้วิเศษด้านคาถาอาคมซึ่งได้ไปร่ำเรียนมาจากหริภุญไชย
ดร.ฮันส์ เพนธ์ เห็นว่า “ผู้วิเศษที่มีคาถาอาคมในการเสกเป่า” ให้แก่กองทัพทหาร ก็คือกลุ่มสงฆ์นอกรีตของนิกายอารีนั่นเอง
หลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ที่พระเจ้าจันสิตถามีต่อนิกายอารีอีกหนึ่งชิ้นก็คือ ช่วงที่พระองค์ถูกพระเจ้าอนิรุท ปฐมกษัตริย์ผู้เป็นมหาราชแห่งพุกาม เนรเทศ (ด้วยข้อหาว่ามารดาของจันสิตถาอาจเป็นชู้กับทูต) จันสิตถากบดานตัวเองอยู่ในราชสำนักของชาวมอญฝ่ายมารดา
หนังสือ ประวัติศาสตร์พม่าของ หม่องทินอ่อง ระบุว่า ในระหว่างนั้นเอง จันสิตถาได้หลานสาวของนักบวชนิกายอารีมาเป็นชายา ภายหลังเมื่อจันสิตถาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์พานางเข้าสู่ราชสำนักพุกาม และอุปถัมภ์คณะสงฆ์นิกายอารี โดยมี “ชินอรหันต์” เป็นพระสังฆราช สืบต่อจากสมัยพระอนิรุท
กล่าวได้ว่า นิกายอารี มาถูกเรียกว่านิกายนอกรีตในภายหลัง เป็นการเอาแนวคิดแบบพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ ซึ่งถือว่าบริสุทธิ์กว่ามาเป็นมาตรฐาน ในขณะที่นิกายอารีนี้ได้รับการเผยแผ่อย่างกว้างขวางระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 ในกลุ่มคนมอญ ปยู่ พม่า ทั้งในรัฐศรีเกษตร หริภุญไชย และสะเทิม
ชาร์ลส์ ดูรัวแซล (Charles Duroiselle) นักค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เห็นว่านิกายอารีมีลักษณะคล้ายพุทธศาสนาฝ่ายเหนือคือนิกายมหายาน บางครั้งมีพิธีเซ่นสรวงด้วยเลือด โดยรับเอาอิทธิพลนิกายตันตระจากทิเบตเนปาลเข้ามาผสมผสาน
ดูรัวแซลได้ศึกษาพงศาวดารพม่าชื่อหม่านหนั่น ระบุว่า พ.ศ.1858 หรือ 25 ปีหลังจากพุกามถูกมองโกลตีแตก พระเจ้าสีหะตู น้องคนสุดท้องของสามพี่น้องไทใหญ่ ได้ขับไล่มองโกลออกจากพุกามได้สำเร็จ เขาได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ที่ปีนยะและสะกาย ทุกครั้งที่กษัตริย์สีหะตูพระราชดำเนินไปไหน มักมีนักบวชนิกายอารีเดินถืออาวุธร่วมอยู่ในขบวนเสด็จของกษัตริย์ด้วยเสมอ
เห็นได้ว่านิกายอารียังได้รับความนิยมสืบต่อมาจนถึงชาวไทใหญ่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19
พระพุทธรูปนูนสูง ปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย เจดีย์เบเบ รัฐศรีเกษตร
นิกายอารี “อรัญวาสี” หรือ “อาริยะ”.?
คําว่า “อารี” เป็นภาษาสันสกฤต มีผู้ศึกษาและพยายามตีความกันอยู่ว่ารากศัพท์ของคำคำนี้มีที่มาอย่างไร และหมายถึงอะไรกันแน่
อยู่ ถั่น ทุน หรือ อู ถั่น ตุน (U Than Tun) นักประวัติศาสตร์พม่า กล่าวว่า นิกายอารีที่แท้คือ “นิกายอรัญวาสี” ที่มีวัตรปฏิบัติต่างจากภิกษุนิกายเถรวาทโดยเฉพาะด้านวินัยสงฆ์ นักบวชนิกายอารีสามารถฉันน้ำจัณฑ์ เสพสังวาส และฉันหลังเที่ยงได้
การที่นิกายอารีถูกมองว่าเป็น “นิกายนอกรีต” ก็เพราะมักสร้างเจดีย์ประดิษฐ์สิ่งซึ่งไม่ใช่รูปเคารพของพระพุทธเจ้า และมักบูชาเจดีย์ด้วยภัตตาหารที่เป็นข้าว แกง และเหล้าหมักทั้งในยามเช้าและยามค่ำ บางครั้งนิกายนี้ถึงขั้นปฏิเสธคำสอนของพระพุทธองค์
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการพม่าหลายท่านโยงคำว่า “อารี” มาจาก “อาริยะ” หรือ “อารยะ” ที่แปลว่า ความเจริญ ประเสริฐ คุณธรรม อีกด้วย โดยนิกายอารีจะเรียกนักบวชว่า “อาริยะ” หรือ “อรัญ”ภูพระ วัดศิลาอาสน์ จ.ชัยภูมิ ก็มีการทำพระพุทธรูปปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้ายสลักบนก้อนหิน
ลัทธิบูชาเพศแม่ “วิถีฝ่ายซ้าย”
ความที่นิกายอารีมีความเกี่ยวข้องกับนิกายตันตระ เราทราบกันดีว่านิกายตันตระรับแนวคิดเรื่องความแตกต่างระหว่างความสมดุล “ซ้าย-ขวา” มาจากศาสนาฮินดู พระศิวะกับพระวิษณุ เทียบได้กับ “วิถีฝ่ายขวา” ส่วน นางอุมากับลักษมี เปรียบได้กับ “วิถีฝ่ายซ้าย”
ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงสุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ จึงตั้งข้อสมมุติฐานว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระพุทธรูปปางมารวิชัยด้วยพระหัตถ์ซ้าย ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวมอญหริภุญไชย ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับชาวปยู่ที่ศรีเกษตรนั้น เป็นการสร้างโดยนักบวชนิกายอารีผู้ “ให้ความสำคัญต่อสตรีเพศ” ตามแนวคิดของ “วิถีฝ่ายซ้าย”
สตรีเพศเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา จึงกำหนดให้พระหัตถ์ที่จะชี้ลงธรณีนั้นเป็นพระหัตถ์ซ้ายแทนที่จะเป็นพระหัตถ์ขวาเหมือนกับแนวคิดของพุทธเถรวาททั่วไปในอินเดีย ด้วยวิถีฝ่ายขวานั้น เป็นวิถีที่ยกย่องผู้ชายเป็นใหญ่
หมายความว่า พระพุทธรูปปางมารวิชัยชิ้นที่ใช้พระหัตถ์ซ้ายเรียกพระแม่ธรณีเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมนั้น ทำขึ้นในศาสนาพุทธนิกายอารี ตามคติที่ยกย่อง “วิถีฝ่ายซ้าย” นั่นคือการยกย่องเพศแม่ให้เป็นใหญ่
ไม่ใช่ทำมั่วไปเรื่อย ไม่ใช่ไม่รู้ธรรมเนียมทางประติมานวิทยาแต่อย่างใด • ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ตุลาคม 2565
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2565
URL :
https://www.matichonweekly.com/column/article_615760