จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง กับการสถาปนารัชกาลที่ 1 เป็นจักรพรรดิราช ที่วัดโพธิ์“จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง” คือกลุ่มศิลาจารึกที่ประดับอยู่บนคอสองเฉลียง ของระเบียงล้อมพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือที่มักจะเรียกกันอย่างเคยปากมากกว่าว่า “วัดโพธิ์”
โดยจารึกเหล่านี้จะบอกชื่อของหัวเมืองต่างๆ กับชื่อตำแหน่งของเจ้าเมือง และบางทีก็รวมถึงรายละเอียดของหัวเมืองนั้นๆ เช่น สังกัดในกรมมหาดไทย เจ้าเมืองมีศักดินาเท่าไหร่? หรือจำนวนเมืองในสังกัดของหัวเมืองนั้นประกอบอยู่ด้วย เป็นต้น
ที่สำคัญก็คือ ในโคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือรัชกาลที่ 1 ผู้เป็นสังฆราชองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และประทับอยู่ที่วัดโพธิ์มาตั้งแต่แรกผนวชได้ระบุว่า มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปหัวเมือง 474 หัวเมืองไว้คู่กับจารึกดังกล่าวนี้ด้วยนะครับ
น่าเสียดายที่เมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์ในครั้งต่อมา ก็ไม่ได้มีการเขียนซ่อมอีก จึงทำให้ไม่มีภาพจิตรกรรมหัวเมืองต่างๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงจารึกบอกชื่อเมือง กับชื่อเจ้าเมืองบางเมืองเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง โดยตรวจพบศิลาจารึกเหลืออยู่ 77 แผ่น และทำเนียบชื่อเมืองเหลืออยู่เพียง 194 เมืองเท่านั้น
@@@@@@@
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ข้อมูลเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการเอาชื่อของหัวเมือง และตำแหน่งเจ้าเมือง (รวมไปถึงภาพจิตรกรรมรูปหัวเมือง ที่ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว) มาเขียนอยู่บนระเบียงคต ที่ล้อมกรอบพระอุโบสถ อันเป็นศูนย์กลางของวัดโพธิ์เอาไว้อยู่ดีนั่นแหละครับ
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ที่ระเบียงคต รอบพระอุโบสถของวัดโพธิ์นั้น มีการจัดเรียงตามทิศทางที่ตั้งของเมืองที่เป็นอยู่จริง
กล่าวคือ เมืองใดตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระนคร ก็จะจารึกชื่อเมืองและและเจ้าเมืองไว้ที่เรียงทิศเหนือ เช่น เมืองสุโขทัย ก็จะประดับจารึกไว้ที่ระเบียงคตทิศเหนือ หรือเมืองหนองหานน้อย (ปัจจุบันคือ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี) ก็ประดับไว้ที่ระเบียงคตด้านทิศตะวันออก เป็นต้น
ดังนั้น รายชื่อจารึกของหัวเมือง รวมไปถึงผู้ครองเมืองเหล่านี้ จึงถูกนำมาล้อมรอบศูนย์กลางของวัด ตามตำแหน่งที่ถูกต้องที่สุด (อย่างน้อยก็ในเชิงของทิศ ที่ถูกแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของระเบียงคตบังคับอยู่อีกทอดหนึ่ง) เท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างมีนัยยะสำคัญ
“พระพุทธเทวปฏิมากร”
น่าสนใจด้วยว่า ภายในพระอุโบสถของวัดโพธิ์นั้น ประดิษฐานไว้ด้วย “พระพุทธเทวปฏิมากร” เป็นพระพุทธรูปประธาน ซึ่งก็คือพระพุทธรูปประธานของวัดแห่งนี้ด้วย
เป็นที่ยอมรับกันดีว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นฝีมือช่างอยุธยา และมีประวัติชัดเจนว่า รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้า (วัดคูหาสวรรค์) ย่านฝั่งธนบุรี เมื่อคราวที่ได้ปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ อันเป็นวัดเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน โทษฐานที่ตั้งอยู่ติดกับพระบรมมหาราชวัง ที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยของพระองค์
นักประวัติศาสตร์-โบราณคดีนอกเครื่องแบบ ผู้ชอบนิยามตนเองเป็นนักหนังสือพิมพ์มากกว่าอย่างคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เคยอธิบายเอาไว้ในรายการ “ทอดน่องท่องเที่ยว” ของมติชนว่า พื้นที่บริเวณวัดศาลาสี่หน้า ควรจะเป็นศูนย์กลางความมั่งคั่งของ “บางกอก” เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น จึงสามารถหล่อพระพุทธรูปเนื้อทองสำริดองค์นี้ขึ้นมาได้
พื้นที่บริเวณดังกล่าวยังมีวัดกำแพงบางจากที่อยู่ติดกัน วัดแห่งนี้มีหลวงพ่อวัดบ้านแหลมจำลองเป็นพระพุทธรูปสำคัญ เพราะพื้นที่บริเวณนั้นมีพ่อค้าเกลือชาวจีน ที่ไปนำเกลือจากบ้านแหลมมาขายอาศัยอยู่มากมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว
และก็เป็นพ่อค้าเหล่านี้นั่นเอง ที่อยู่เป็นกำลังสำคัญของพระเจ้าตากสิน ก่อนที่จะโอนถ่ายมาอยู่ในร่มบรมโพธิสมภารของรัชกาลที่ 1 ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิด ที่พระองค์จะนำพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานไว้ที่วัดสำคัญอย่างวัดโพธิ์
ที่สำคัญก็คือ การที่รัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานให้พระพุทธรูปองค์นี้เสียใหม่ว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร” นั้น ก็ดูจะล้อกันอยู่กับชื่อ กรุงเทพฯ อันเป็นราชธานีของพระองค์
“พระพุทธเทวปฏิมากร”
ลักษณะของ “จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง” ที่ถูกนำมาจารึกล้อมรอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองอย่างนี้ ชวนให้นึกถึงลักษณะคล้ายๆ กันกับที่ปราสาทขอม ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวง (คือ นครธม) อย่างปราสาทบายน ที่สร้างขึ้นเมืองราว พ.ศ.1750 นับเป็นเวลาถึงเกือบ 600 ปี ก่อนกำเนิดของกรุงรัตนโกสินทร์
และที่ผมว่า ปราสาทบายน เป็นศูนย์กลางของเมืองนครธมนั้น ก็หมายถึงศูนย์กลางทั้งในแง่จิตวิญญาณ และในทางกายภาพไปในคราวเดียวกันด้วย เพราะปราสาทที่สร้างขึ้นอยู่ในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหลังนี้นั้น ก็ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเมืองนครธม ที่มีแผนผังของเมืองอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนก่อนด้วย
แน่นอนด้วยว่า ถึงแม้อำนาจทางการเมืองการปกครองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างปราสาทบายน และสถาปนาเมืองนครธม จะไม่สามารถกำหนดรูปร่างปริมณฑลอำนาจของพระองค์ ให้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือรูปทรงอื่นๆ ได้ แต่นครธมที่มีปราสาทบายนเป็นศูนย์กลางนั้น ก็คือศูนย์กลางของปริมณฑลอำนาจนั้นอยู่ดี
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ลักษณะพิเศษของปราสาทบายนนั้นก็คือ การสร้างยอดปราสาทเป็นรูปใบหน้าบุคคล หันไปทั้งสี่ทิศ ในทุกๆ ยอดของปราสาทหลังนี้
โดยเป็นที่ยอมรับกันในวงการเขมรศึกษา (Khmer study) ปัจจุบันว่า พระพักตร์เหล่านี้ อาจจะจำแนกกว้างๆ ได้เป็นสามรูปแบบ ได้แก่
1. เทพเจ้า (Deva)
2. เทวดา (Devata) และ
3. อสูร (Asura, แน่นอนว่าอสูรซึ่งสามารถให้คุณ ให้โทษได้ ก็ย่อมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับมนุษย์ด้วย ไม่ต่างไปจากเทพเทวดาทั้งหลาย)
ดังนั้น พระพักตร์เหล่านี้จึงควรที่จะไม่ได้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดองค์หนึ่ง
@@@@@@@
และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ที่ปราสาทแห่งนี้ได้มีการค้นพบตัวอักษรจารึกข้อความสั้นๆ กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณปราสาท จารึกเหล่านี้ระบุพระนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จำนวนนับร้อยพระนามขึ้นมาโดดๆ โดยไม่ได้บอกว่าระบุขึ้นมาทำไม? หรือเพื่ออะไรแน่?
ในบรรดาจารึกเหล่านี้ มีจำนวนมากเลยทีเดียวที่เป็น พระนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในปริมณฑลอำนาจของนครธม ตัวอย่างเช่น “กมรเตง ชคต วิมาย” หรือพระผู้เป็นเจ้าแห่งเมืองพิมาย ในจารึกปราสาทบายน 25 (18) เป็นต้น
แน่นอนว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเมืองพิมาย และเมืองอื่นๆ ที่ถูกเอ่ยถึงในจารึกเหล่านี้ ย่อมเป็น “ผีเจ้าที่” หรือที่ชาวกัมพูชาเรียกว่า “เนียะตา” มาก่อนที่จะถูกจับบวชเข้าเป็นส่วนหนึ่งในศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ภายหลังจากที่รัฐได้นำความเชื่อในศาสนาใหม่เหล่านี้เข้ามามีบทบาทในการปกครอง
นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ผู้คร่ำหวอดในวงการเขมรศึกษาอย่างบรูโน ดาแชง (Bruno Dagen, พ.ศ.2478-ปัจจุบัน) จึงนิยามถึงปราสาทบายนในทำนองที่ว่า
“เป็นศูนย์กลางของแผนที่ทางจิตวิญญาณ ที่ถูกปกป้องโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในจักรวรรดิแห่งนี้ ซึ่งก็มีทั้งเนียะตา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตามคติจากอินเดียในจำนวนพอๆ กัน”
ลักษณะอย่างนี้ชวนให้นึกถึงทั้ง “จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง” และภาพจิตรกรรมหัวเมืองที่เคยเขียนอยู่คู่กันที่แผงคอสองระเบียงคต พระอุโบสถของวัดโพธิ์ อย่างน่าประหลาด
@@@@@@@
และก็ต้องอย่าลืมนะครับว่า “ผู้ครองเมือง” นั้นเป็นชื่อของ “ตำแหน่ง” ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเจาะจงไปปัจเจกบุคคลใดเป็นพิเศษ ใครที่ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองใด ก็จะได้รับตำแหน่งประจำเมืองนั้นไป ใกล้เคียงกับความเชื่อของอุษาคเนย์โบราณที่เมื่อเจ้าเมืองคนใดสิ้นชีวิต ก็เข้าไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนั้นอย่างน่าสังเกต
แต่ “จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง” รวมถึงภาพจิตรกรรมหัวเมืองที่วัดโพธิ์ ไม่ได้สร้างขึ้นพร้อมกันในคราวเดียวกับที่รัชกาลที่ 1 สร้างพระอุโบสถ แล้วนำพระพุทธเทวปฏิมากรมาประดิษฐานไว้หรอกนะครับ เพราะเพิ่งจะถูกเพิ่มเติมเข้ามาเมื่อคราวที่รัชกาลที่ 3 โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้เท่านั้นเอง
น่าสังเกตด้วยว่า ลายผ้าทิพย์บนฐานชุกชีของพระพุทธเทวปฏิมากรนั้น มีลวดลายหลักเป็นรูป “มหาอุณาโลม” อันเป็นสัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 1
แต่ลวดลายที่ว่าก็เพิ่งถูกเพิ่มเติมเข้าไปใหม่เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 4 ได้นำ “พระบรมอัฐิ” ของรัชกาลที่ 1 ไปประดิษฐานไว้ภายในฐานชุกชีของพระพุทธรูปองค์นี้ ซึ่งก็ชวนให้นึกไปถึงธรรมเนียมการนำพระบรมอัฐิไปไว้ที่ฐานเทวรูป และพระพุทธรูปของวัฒนธรรมขอม (แน่นอนว่า รวมถึงที่ปราสาทบายน) และชวาโบราณ ที่ทำเพื่อให้กษัตริย์ไปรวมเข้ากับเทพเจ้า หรือพระพุทธเจ้า ในพระพุทธรูป หรือเทวรูปประธานในศาสนสถานแห่งนั้น
อะไรต่างๆ เหล่านี้จึงชวนให้คิดว่า ทั้งการประดิษฐาน “จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง” และวาดจิตรกรรมรูปหัวเมือง กับการนำพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1 มาประดิษฐานไว้ที่ฐานชุกชีของพระพุทธเทวปฏิมากรนั้น เป็นหลักฐานของการที่รัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนารัชกาลที่ 1 ให้รวมเข้ากับพระจักรพรรดิราช (ราชาผู้อยู่เหนือราชาทั้งหลายในสากลจักรวาล ตามมติของพุทธศาสนา) ตามโบราณราชประเพณีของอุษาคเนย์นั่นเอง • ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2565
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2565
URL :
https://www.matichonweekly.com/column/article_620612