ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์  (อ่าน 817 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์
« เมื่อ: มกราคม 12, 2023, 05:42:19 am »
0



ภาพเขียนสมัยใหม่ที่ช่างเขียนสร้างจินตนาการพิธีกรรมตีมโหระทึกยุคดึกดาบรรพ์ (จาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนสิงหาคม 2547)


คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์

เมื่อกลับจากน่านเจ้าและสิบสองพันนาในมณฑลยูนนาน ผมเขียนเล่าเรื่องไว้ใน หนังสือชื่อ “คนไทยไม่ได้มาจากไหน.?” (พ.ศ. 2527) ต่อมาผมเขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ “คนไทยอยู่ที่นี่” (พ.ศ. 2529)

ชื่อหนังสือ “คนไทยอยู่ที่นี่” กลายเป็นปัญหา เพราะไม่ชัดเจน และเล่นมากไป เมื่อไปเมืองแถนที่เวียดนามกลับมาแล้ว จึงเขียนอธิบายเพิ่มเติมไว้ในหนังสือชื่อ “ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยสยาม” (พ.ศ. 2534) ว่า “คนไทยในอุษาคเนย์”

ที่เขียนไปทั้งหมดก็เพื่อบอกว่าถิ่นกําเนิดของคนชนชาติไทยไม่ได้อยู่ที่เทือกเขาอัลไต ไม่ได้อยู่ที่น่านเจ้า ไม่ได้อยู่ที่สิบสองพันนา ไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งเพียงที่เดียว แต่มีพัฒนาการผสมกลมกลืนอย่างกว้างขวางอยู่ในภูมิภาคอุษาคเนย์นี่แหละ

ผมพยายามย้ำว่า “ไทย” ไม่ใช่ชื่อ “เชื้อชาติ” หากเป็นชื่อ “สัญชาติ” และ “คนไทย” ในดินแดนประเทศไทยก็มีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีพัฒนาการความเป็นมาแตกต่างกัน จะเหมารวมกันหมดทั้งประเทศไม่ได้

แต่คําอธิบายของผมก็ยังบกพร่องอยู่ดี เพราะมีข้อด้อยหลายๆ ด้าน ข้อด้อยสําคัญก็คือ ผมไม่ได้เอาจริงเอาจัง แต่ทําเป็นเล่นสนุกสนานไปหมด เพราะไม่ชอบความเครียด และไม่เห็นความจําเป็นว่าเรื่องอย่างนี้จะต้องเครียด

ครั้นไปเมืองจ้วงที่มณฑลกวางสีกลับมาจึงเขียนหนังสือเล่มใหม่สดๆ ร้อนๆ ชื่อ “คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์” (พ.ศ. 2537) เพื่อชี้แจงหลักฐานเพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้นอีก พร้อมกับย้ำว่า ชนชาติจ้วงเป็น “เครือญาติตระกูลไทยผู้ยิ่ง ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด”

หลายท่านงุนงงสงสัยแล้วถามผมว่าเป็นเครือญาติทางไหน.? ยิ่งใหญ่ยังไง.? เก่าแก่ตรงไหน.?

อันที่จริงผมเขียนไว้ในบทท้ายของหนังสือแล้ว แต่หลายท่านคงยังไม่ได้อ่าน และไม่อยากหามาอ่าน เพราะไม่ใช่เรื่องสําคัญที่จะต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อหามาอ่าน ผมจึงขออนุญาต “ยัดเยียด” คําให้การมาอีกดังนี้


@@@@@@@

จ้วงเป็นเครือญาติตระกูลไทย ผู้ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุด

ที่ว่า “จ้วงเป็นเครือญาติตระกูลไทย” ก็เพราะภาษาจ้วงกับภาษาไทยอยู่ในตระกูลเดียวกัน ฉันทลักษณ์ในบทร้อยกรองของจ้วงกับของไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และมีพื้นฐานจากคําคล้องจองเช่นเดียวกัน

นิทานปรัมปราและนิยายศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอด “ปากต่อปาก” ด้วยภาษาจ้วงหรือภาษาตระกูลไทย เช่น เรื่องกําเนิดคน เรื่องการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสัมพันธ์กับน้ำฝนเช่นกบ ฯลฯ ล้วนคล้ายคลึงกับนิทานและนิยายของชนชาติไทยทุกกลุ่มทุกเหล่ารวมทั้งคนไทยในประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้ชาวจ้วงย่อมพูดว่า “ไทยเป็นเครือญาติตระกูลจ้วง” ด้วยก็ได้

ที่ว่า “ผู้ยิ่งใหญ่” ก็เพราะในมณฑลกวางสีมีชาวจ้วงถึง 12-13 ล้านคน และอยู่เขตมณฑลอื่นๆ อีกเกือบ 1 ล้านคน นับเป็นเครือญาติตระกูลไทยมีจํานวนมากที่สุดที่อยู่นอกดินแดนประเทศไทยซึ่งนับว่าใหญ่มาก

นอกจากนั้นชาวจ้วงยังมีส่วนเป็นเจ้าของวัฒนธรรมมโหระทึกที่เป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมยุคแรกเริ่มของภูมิภาคอุษาคเนย์ด้วย

นี่แหละ “ผู้ยิ่งใหญ่”

@@@@@@@

ที่ว่า “เก่าแก่ที่สุด” ก็เพราะมีร่องรอยและหลักฐานว่าจ้วงมีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว โดยดูจากภาพเขียนที่ผาลาย กับมโหระทึกและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบความเชื่อ “ผี”

ภาพเขียนมหึมาบนภูผามหัศจรรย์ หรือผาลาย เป็นภาพพิธีกรรมขอฝนเพื่อความอุดมสมบูรณ์ มีภาพมโหระทึก และกลุ่มคนประโคมตีมโหระทึก มีภาพคนประดับขนนกบนหัวแล้วทําท่ากางขากางแขนคล้ายกบ

มโหระทึกเป็นกลองหรือฆ้องทําด้วยสําริดที่มีตัวตนเป็นวัตถุจริงๆ เป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของภูมิภาคอุษาคเนย์โดยเฉพาะ และมีพัฒนาการเกือบ 3,000 ปีมาแล้ว อาจนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมแรกเริ่มของภูมิภาคอุษาคเนย์ก่อนรับอารยธรรมจากจีนและอินเดีย

เฉพาะบริเวณที่เป็นถิ่นฐานของชาวจ้วงในมณฑลกวางสี พบมโหระทึกฝังอยู่ใต้ดินไม่น้อยกว่า 600 ใบ และชาวจ้วงทุกวันนี้ยังมีมโหระทึกประจําตระกูลกับประจําหมู่บ้านใช้งานในพิธีกรรมที่ทําสืบเนื่องมาแต่ดึกดําบรรพ์อีก รวมแล้วนับพันๆ ใบ แสดงว่าชาวจ้วงให้ความสําคัญต่อมโหระทึกมาก จนอาจจะกล่าวได้ว่าจ้วงเป็นเจ้าของวัฒนธรรมมโหระทึก (แม้ชนชาติอื่นจะมีมโหระทึกด้วย แต่รวมแล้วไม่มากเท่าจ้วง)

ทุกวันนี้ชาวจ้วงยังใช้มโหระทึกประโคมตีในพิธีสําคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีกรรม “ขอฝน” เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ดังพิธีบูชากับประจําปีตามหมู่บ้านต่างๆ มีขบวนมโหระทึก แห่กบ มีการละเล่นที่คนแต่งตัวเป็นกบช่วยเหลือมนุษย์ ฯลฯ ล้วนสอดคล้องกับภาพเขียนที่ผาลาย แสดงว่าชาวจ้วงยังสืบทอดประเพณีและพิธีกรรมตั้งแต่ยุคสําริดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานาน 3,000 ปีมาแล้ว

พิธีกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นระบบความเชื่อ “ผี” ที่มีอยู่ในนิทานและนิยาย ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพัน กับความอุดมสมบูรณ์ที่เกี่ยวกับลมมรสุมอันเป็นสัญลักษณ์ ของภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งในเรื่องสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และทางวัฒนธรรมที่มีความเจริญมาช้านาน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แสดงว่าชาวจ้วงตั้งหลักแหล่งเป็นปึกแผ่นมั่นคงอยู่บริเวณมณฑลกวางสีและเขตใกล้เคียงอย่างสืบเนื่องมาแต่ดั้งเดิมเริ่มแรก ยิ่งการที่มีประชากรเพิ่มขึ้นมากถึง 12-13 ล้านคน ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นคนพื้นเมืองในภูมิภาคนี้มาช้านานมากทีเดียว


@@@@@@@

นี่แหละ “จ้วง-เครือญาติตระกูลไทย ผู้ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุด”

แต่ทุกวันนี้จ้วงไม่ใช่คนไทย เพราะไม่ได้เป็นประชากรของประเทศไทย และไม่ได้อยู่ในดินแดนประเทศไทย ทุกวันนี้ชาวจ้วงเป็นคนจีน เพราะเป็นประชากรจีน และอยู่ในดินแดนประเทศจีน รวมทั้งมีวิถีชีวิตที่รับอิทธิพลวัฒนธรรมจีน ไม่ว่าจะเป็นบ้านช่องที่อยู่อาศัยและขนบธรรมเนียม ประเพณีหลายๆ อย่าง

และแม้จ้วงเป็นเครือญาติตระกูลไทยผู้ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยมีถิ่นกําเนิดอยู่ในเมืองจ้วงกวางสี แต่อาจมีชาวจ้วงบางกลุ่มเคลื่อนย้ายมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยสมัยโบราณก็ได้ ส่วนชาวจ้วงเกือบทั้งหมดก็อยู่ที่เมืองจ้วงนั้นแหละ

เหตุที่ต้องสนใจศึกษาเรื่องจ้วง ก็ดังที่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม กล่าวไว้ว่า

“จ้วง เป็นกลุ่มชนชาติไทยที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ซึ่งอย่างน้อยก็ราว 2,300-2,400 ปีมาแล้ว ฉะนั้นวัฒนธรรมของชาวจ้วงก็คือวัฒนธรรมไทยที่มีความเก่าแก่เป็นอารยธรรมเริ่มแรกของภูมิภาคนี้ก่อนที่จะได้รับอิทธิพลอารยธรรมจีนและอินเดีย”

“แสดงว่าคนที่อยู่ในดินแดนประเทศไทย พูดภาษาไทย มีระบบความเชื่อและประเพณีหลายอย่างคล้ายคลึงกับชาวจ้วง ไม่ได้เพิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองและมีวัฒนธรรมของตนเองเพียงสมัยสุโขทัยราว 700-800 ปี อย่างที่ใครต่อใครคิดกันไปเองเท่านั้น”

“ถ้าไม่มีชาวจ้วงที่เป็นเครือญาติตระกูลไทย ผู้ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วเอาไว้ คนไทยก็คงไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่าตนเอง ก็มีพื้นเพรากเหง้าเก่าแก่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของภูมิภาคอุษาคเนย์”

@@@@@@@

บรรพชนคนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์

ในบทท้ายของหนังสือ “คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์” ที่เขียนขึ้นใหม่ทั้งเล่ม ผมพยายามเชื่อมโยงร่องรอยและหลักฐานเพื่อชี้ให้เห็นว่าดินแดนสยามอันกว้างใหญ่ไพศาลมีผู้คนหลายหมู่หลายเหล่าหลายเผ่าพันธุ์ผสมกลมกลืนอยู่ด้วยกัน มีทั้งพวกพื้นเมืองดั้งเดิม และมีทั้งพวกที่เคลื่อนย้ายมาตามเส้นทางการค้าทางบกกับทางทะเล แล้วบางพวกก็ตั้งถิ่นฐานอยู่กับคนพื้นเมืองจนกลายเป็น “พื้นเมือง” ไปด้วย แล้วใช้ภาษาไทยเป็นภาษาสําคัญในการสื่อสารจนถูกเรียกจากผู้อื่นว่า “ชาวสยาม”

ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เปลี่ยนชื่อ “ประเทศสยาม” เป็น “ประเทศไทย” พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์ของประเทศขึ้นมาใหม่ คือให้ความสําคัญเฉพาะ “ชนชาติไทย” เป็นหลัก แต่ไม่ให้ความสําคัญ เรื่องดินแดนและผู้คนซึ่งประกอบด้วยชาวพื้นเมืองดั้งเดิมและกลุ่มชนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามาประสมกลมกลืนจนกลายเป็นชาวสยามหรือ “คนไทย” สืบมาถึงปัจจุบัน

ฉะนั้นบรรพชนของ “คนไทย” ทุกวันนี้คือ “ชาวสยาม” ที่มีทั้งเม็ง-มอญ ขอม-เขมร ลัวะ-ละว้า ข่า-ข้อย ลาว และ “แขก” อย่างมาเลย์-จาม รวมทั้งเจ๊ก-จีน ฯลฯ

คนพวกนี้เกือบทั้งหมดมีถิ่นฐานเป็นคนพื้นเมืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยนี้มาแต่ดั้งเดิม ส่วนน้อยมาจากที่อื่น แต่ก็อยู่กันมาช้านาน แล้วต่างก็มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง และดูเหมือนจะมีจํานวนมากกว่าพวกที่เป็นชนชาติไทยเสียอีก

เพราะฉะนั้นบรรพชนคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากที่ไหน เพราะอยู่ที่นี่ แม้จะมีชนชาติไทยอยู่ที่โน่นด้วย คือกระจายอยู่นอกประเทศไทย แต่พวกนั้นก็ไม่ได้อพยพหลบหนีการรุกรานมาจากไหน ล้วนมีถิ่นฐานอยู่ที่โน่นบ้างอยู่ที่นี่บ้าง คือ อยู่ในภูมิภาคอุษาคเนย์มาแต่ครั้งดั้งเดิมดึกดําบรรพ์อย่างน้อยก็ 3,000 ปีมาแล้ว

พูดกันง่ายๆ ไม่ต้องลึกลับซับซ้อนจนสับสนดีกว่าว่า “คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์”

แต่ถ้าท่านผู้อ่านมีความเห็นเป็นอย่างอื่นก็ขอได้โปรดเขียนแย้งมาที่นี่ ที่ศิลปวัฒนธรรม






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนสิงหาคม 2537
ผู้เขียน   : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ.2566
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 12  มกราคม 2566
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_99345
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ