ถอดรหัสโบราณคดีเพื่อนำทองอยุธยากลับมายังที่ทางเดิม
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ที่ทางกรมศิลปากรมีโครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ทางทีมภัณฑารักษ์ได้ศึกษาค้นคว้าเชิงลึกและหลายมิติเกี่ยวกับเรื่องเครื่องทองและโบราณวัตถุอื่นๆ ที่ขุดพบจากกรุในโบราณสถานต่างๆ ทั้งจากเอกสารจดหมายเหตุ ภาพถ่ายเก่า หนังสือพิมพ์เก่า และทะเบียนโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ควบคู่ไปกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
“เครื่องทองที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยามีการปะปนกันอยู่ระหว่างกรุวัดราชบูรณะและกรุวัดมหาธาตุ และยังมีเครื่องทองบางส่วนกระจายไปอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร บางชิ้นพบว่ามีการเก็บปะปนกับโบราณวัตถุในสมัยรัตนโกสินทร์ หรืออย่างเช่นในบันทึกสมัยก่อนระบุว่าเจอแหวนจำนวนมากในกรุวัดราชบูรณะ แต่ที่ผ่านมาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยามีแหวนจัดแสดงแค่ 2-3 วง จนเราสืบค้นพบว่าแหวนทองคำเหล่านี้เก็บอยู่ในคลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และปัจจุบันได้นำมาจัดแสดงที่นี่มากถึง 600 วง
แหวนจำนานมากที่เคยกระจัดกระจายไปอยู่ในคลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
“หรืออย่างแผ่นทองและโถโบราณลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งเคยจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม และระบุว่ามาจากกรุวัดมหาธาตุ แต่จากการศึกษาใหม่พบว่า จริงๆ แล้วมาจากกรุวัดพระราม ดังนั้นหลังจากการศึกษาครั้งใหม่ทำให้โบราณวัตถุทุกชิ้นที่จัดแสดงในอาคารเครื่องทองหลังใหม่นี้สามารถระบุได้ว่ามาจากแหล่งไหน และยังเป็นการนำโบราณวัตถุเหล่านี้กลับมาอยู่ในที่ทางของเขาแต่เดิม”
ศศิธร กล่าวและเสริมว่าผลงานจากการศึกษาวิจัยเครื่องทองอยุธยาใหม่ยกชุดที่ทำตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2561 กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำเป็นหนังสือเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ต่อไป
สำหรับสาเหตุที่เครื่องทองอยุธยากระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ นั้นต้องย้อนไปในช่วงที่มีการจับกุมคนร้ายลักลอบขุดกรุวัดราชบูรณะในปี พ.ศ. 2500 ครั้งนั้นของกลางและโบราณวัตถุอื่นๆ ที่พบในกรุมีเป็นจำนวนมาก และได้กระจายฝากไว้ตามที่ต่างๆ เช่น โรงพัก จวนผู้ว่าฯ และศาลากลาง เมื่อของกระจัดกระจายทำให้การทำบัญชีโบราณวัตถุเกิดข้อผิดพลาดและตกหล่น และในขณะนั้นยังไม่มีการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ดังนั้นโบราณวัตถุส่วนใหญ่โดยเฉพาะพระพิมพ์จึงส่งไปเก็บไว้ที่คลังของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมื่อมีการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ใน พ.ศ. 2502 ด้วยเงินของประชาชนจากการเช่าบูชาพระพิมพ์ที่ขุดพบในกรุวัดราชบูรณะ (พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการ พ.ศ. 2504) การนำโบราณวัตถุกลับมายังกรุงเก่าอีกครั้งจึงมีการตกหล่นเป็นจำนวนมาก
“เราพยายามถอดรหัสจากทะเบียนโบราณวัตถุและค้นพบว่าทะเบียนที่ระบุว่า ‘ข’ หมายถึง ‘ของกลาง’ ดังนั้นจึงระบุได้เลยว่าโบราณวัตถุชิ้นนั้นมาจากกรุวัดราชบูรณะ หรืออย่างในเอกสารบันทึกว่าในกรุชั้นกลางของวัดราชบูรณะมีโต๊ะสัมฤทธิ์วางอยู่ในซุ้มทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกซุ้มละหนึ่งตัว รวมทั้งมีภาพถ่ายเก่าเห็นลักษณะของโต๊ะ เราก็ไปสืบค้นทะเบียนจนเจอว่าอยู่ในคลังที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จึงนำมาอนุรักษ์และจัดแสดงเป็นครั้งแรกที่นี่” ศศิธรอธิบาย
พระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในครอบและเจดีย์ทำจากวัสดุต่างกันและซ้อนกันถึง 7 ชั้น
มหาสมบัติจากกรุ 3 ชั้นแห่งวัดราชบูรณะ
วัดราชบูรณะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นราว พ.ศ. 1967 ตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือก็คือ เจ้าสามพระยา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระปรางค์ประธานซึ่ง ภายในมีกรุจำนวน 3 ชั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูป และเครื่องทองจำนวนมากเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และแสดงสัญลักษณ์ความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้สร้าง ในส่วนที่ 2 ของอาคารเครื่องทองจึงจัดแสดงเครื่องทองจากวัดราชบูรณะประเภทเครื่องพุทธบูชา เครื่องอุทิศ พระบรมสารีริกธาตุ และกรุจำลอง
กรุชั้นที่ 1 หรือ ชั้นบนสุดบรรจุพระพุทธรูปและพระพิมพ์จำนวนมาก ถัดมาเป็นกรุชั้นที่ 2 หรือชั้นกลางบรรจุเครื่องทองมากที่สุดและทั้ง 2 ชั้นนี้ถูกลักลอบขุดโดยคนร้าย ส่วนชั้นที่ 3 หรือชั้นล่างสุดเป็นส่วนที่คนร้ายยังขุดไปไม่ถึงและภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระพิมพ์ทำจากทองคำและเงิน รวมถึงเครื่องใช้ทำจากสัมฤทธิ์ ชิน และดินเผาเคลือบ สำหรับพระบรมสารีริกธาตุนั้นบรรจุอยู่ในครอบและเจดีย์ทำจากวัสดุต่างกันและซ้อนกันถึง 7 ชั้นโดยชั้นแรกเป็นครอบเหล็ก ชั้น 2 เป็นครอบชิน ชั้น 3 เป็นครอบสัมฤทธิ์ ชั้น 4 เป็นครอบเงิน ชั้น 5 เป็นเจดีย์ทองคำ ชั้น 6 เป็นเจดีย์แก้วผลึก และชั้นสุดท้ายเป็นผอบทองคำและภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
“ครอบสี่ชั้นแรกเดิมไม่ได้อยู่ที่นี่แต่อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เราจึงนำกลับมาแสดงไว้ที่นี่ และความใหม่ของงานนี้คือเราได้จำลองเจดีย์แก้วผลึกขึ้นมาตามภาพถ่ายเก่า แต่ไม่สามารถจำลองผอบทองคำที่เป็นชั้นที่ 7 ได้เนื่องจากไม่มีภาพถ่ายอ้างอิง” ศศิธรกล่าว
ภาพลอกลายจิตรกรรมในกรุวัดราชบูรณะโดยอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ (บน) เปรียบเทียบกับแผ่นเซรามิกที่จำลองลายมาไว้ในพิพิธภัณฑ์ (ล่าง)
สิ่งที่น่าสนใจในโซนนี้คือการจำลองภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่เขียนด้วยสีชาดบนผนังและภายในซุ้มทั้ง 4 ด้านของกรุชั้นที่ 2 ในขนาดเท่าจริงซึ่งมีความสูงกว่า 2 เมตร โดยทางกรมศิลปากรได้มีการบันทึกภาพจิตรกรรมจริงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2553 จากนั้นได้มีการส่งไปที่บริษัทเซรามิก ในจังหวัดชิกะ ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเทคโนโลยีในการพิมพ์ลายลงบนแผ่นเซรามิกขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บลวดลาย สี และพื้นผิวของวัสดุได้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด
ซุ้มของกรุชั้นที่ 2 ในขนาดเท่าจริงซึ่งมีความสูงกว่า 2 เมตร
“หลังจากส่งภาพไป ทางบริษัทญี่ปุ่นได้ผลิตชิ้นงานตัวอย่างมาให้สามเฉดสี เราได้นำชิ้นส่วนตัวอย่างนั้นลงไปเทียบกับภาพจริงภายในกรุและวัดค่าสีทางแล็บเพื่อให้ได้สีที่ใกล้เคียงที่สุด ปัจจุบันได้มีการปิดกรุและไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องลงไปเนื่องจากภายในพบมูลค้างคาวจำนวนมาก ทำให้เกิดค่าเกลือและความชื้นซึ่งส่งผลต่อการชำรุดและเสื่อมสภาพของจิตรกรรมผนังกรุ การใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการจำลองจิตรกรรมผนังกรุเป็นหนึ่งในการบันทึกและเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย เทคโนโลยีนี้ที่เมืองไทยยังทำไม่ได้โดยเฉพาะการพิมพ์เฉดสีทองที่มีความใกล้เคียงกับการปิดทอง” ศศิธรอธิบาย
ชิ้นส่วนจิตรกรรมฝ้าเพดานกรุชั้นที่ 2 ของจริง
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงชิ้นส่วนภาพจิตรกรรมฝ้าเพดานกรุชั้นที่ 2 ของจริงที่ศศิธรกล่าวว่า เพิ่งค้นพบหลังตู้จัดแสดงในอาคารหมายเลข 2 ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา เมื่อครั้งมีการทำความสะอาดครั้งใหญ่ และได้มีการนำชิ้นส่วนนี้ลงไปในกรุเพื่อเทียบกับตำแหน่งจริง
อัญมณีล้ำค่าประดับสถูปพระบรมสารีริกธาตุวัดมหาธาตุ
โซนสุดท้ายของอาคารจัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับคติการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุที่พบในโบราณสถานต่างๆของอยุธยาได้แก่ พระปรางค์วัดมหาธาตุ พระปรางค์วัดพระราม เจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ และเจดีย์ศรีสุริโยทัย
“คติการบูชาและประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในพระธาตุเจดีย์ของอยุธยาได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่มาจากศรีลังกา ช่วงอยุธยาตอนต้นนิยมประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ระดับพื้นดินหรือลึกลงไปใต้ดิน และบรรจุในภาชนะทำจากวัสดุมีค่าซ้อนกันหลายชั้น เช่น พระบรมสารีริกธาตุวัดมหาธาตุอยู่ลึกลงไปจากพื้นดินประมาณ 6 เมตร ส่วนพระบรมสารีริกธาตุวัดราชบูรณะอยู่ในระดับพื้นดิน แต่ในช่วงอยุธยาตอนกลางมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งมาไว้ระดับกลางและส่วนบนของเจดีย์ เช่นที่วัดพระศรีสรรเพชญ์และเจดีย์ศรีสุริโยทัย ในช่วงอยุธยาตอนปลายต่อเนื่องมาสมัยรัตนโกสินทร์ปรับมาอยู่บริเวณยอดของเจดีย์แทน” ณัฐพรอธิบาย
วัดมหาธาตุนั้นสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 1917 ทางกรมศิลปากรได้ขุดค้นพระปรางค์วัดมหาธาตุเมื่อ พ.ศ. 2499 และพบโบราณวัตถุหลายรายการและที่สำคัญคือ ผอบหินที่ภายในมีสถูปทำจากวัสดุต่างๆ ซ้อนกัน 7 ชั้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ผอบหินที่ภายในมีสถูปทำจากวัสดุต่างๆ ซ้อนกัน 7 ชั้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
“สถูปทองคำชั้นที่ 6 เมื่อผ่านการวิเคราะห์จากห้องแล็บพบว่าประดับด้วยอัญมณีมีค่าวางซ้อนกันสามชั้นประกอบด้วย แอเมทิสต์ ไพฑูรย์ และที่สำคัญคือ สปิเนลสีแดง ที่หายากและเป็นสีที่ไม่พบในประเทศไทย ทั้งยังมักเข้าใจผิดว่าเป็นทับทิม ด้านข้างของฐานสถูปยังประดับด้วยมรกตและเพทายและภายในมีอัญมณีสีต่างๆวางเรียงกัน ภายในสถูปชั้นที่ 6 เป็นตลับทองคำที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและที่พิเศษคือยอดฝาตลับประดับด้วยเพชรที่มีโครงสร้างผลึกเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมหรือ trigon ไม่ผ่านการเจียระไนและหาได้ยากมาก แสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างอยุธยาที่สามารถวางเพชรขนาดเล็กแสดงผลึก trigon บนปลายยอดฝาตลับได้อย่างลงตัว” ศศิธรกล่าว
ภาชนะหินรูปปลาเขียนลายด้วยน้ำทอง
ก่อนการขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุวัดมหาธาตุที่อยู่ลึกลงไปจากพื้นดินยังได้พบกรุเล็กใต้ฐานพระปรางค์และภายในบรรจุภาชนะหินรูปปลาเขียนลายด้วยน้ำทอง ลำตัวช่วงบนของภาชนะรูปปลาทำเป็นฝาเปิดออกได้และภายในบรรจุเครื่องใช้ต่างๆ ขนาดเล็กซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นของใช้ของเจ้านายฝ่ายหญิงที่นำมาอุทิศถวาย เช่น ตลับทำเป็นรูปสิงโต รูปเต่า และรูปปลาปักเป้า และประติมากรรมรูปเสือทำจากควอตซ์
ตลับทำเป็นรูปสิงโตเปิดฝาได้และขยับหางได้
อาคารเครื่องทองอยุธยาจัดแสดงโบราณวัตถุจำนวนทั้งสิ้น 2,244 รายการ ที่เล่าประวัติศาสตร์แบบไม่น่าเบื่อด้วยการผสมผสานการใช้สื่อมัลติมีเดียที่เข้าใจง่าย ตลอดจนการจำลองสิ่งต่างๆเพื่อให้ผู้ชมเห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น การจำลองโมเดลวัดราชบูรณะร่วมกับการฉายภาพเคลื่อนไหวของสถานที่จริง การจำลองพระปรางค์วัดราชบูรณะที่เก็บมหาสมบัติไว้ในกรุ 3 ชั้น และการจำลองจิตรกรรมผนัง กรุวัดราชบูรณะ ให้ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด นั่นจึงทำให้ อาคารเครื่องทองอยุธยา เปรียบได้กับพิพิธภัณฑ์เครื่องทองที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย
Fact File
• พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดให้บริการวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น.
• ค่าเข้าชม: ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาทส่วนนักเรียนนักศึกษา ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พระภิกษุ สามเณร และนักบวชทุกศาสนาไม่เสียค่าเข้าชม
• สอบถามเพิ่มเติม: โทรศัพท์ 035-241-587 หรือ Facebook.com/chaosamphraya[
ชมภาพทั้งหมดได้ที่ : https://www.sanook.com/travel/1435981/gallery/2791517/ Thank to :
https://www.sanook.com/travel/1435981/15 ม.ค. 66 (14:00 น.) ,Tonkit360 : สนับสนุนเนื้อหา