ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ก้าวหน้าแบบสากล ประวัติศาสตร์ 115 ปีที่แล้ว  (อ่าน 868 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ก้าวหน้าแบบสากล ประวัติศาสตร์ 115 ปีที่แล้ว

ประวัติศาสตร์ คือเรื่องราวความเป็นมาของประเทศชาติบ้านเมืองหรือสังคมและผู้คนที่มีทั้งความสำเร็จและล้มเหลว ซึ่งเกี่ยวข้องกับพื้นที่หรือดินแดนและคนหลากหลายไม่จำกัดชาติพันธุ์

ไทยมีบรรพชนร่วมอุษาคเนย์ และมีวัฒนธรรมร่วมอุษาคเนย์ เพราะไทยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทั้งของพื้นที่และของผู้คนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” เป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ได้จากภูมิภาคอุษาคเนย์ (South East Asia) ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีมาแล้วสืบเนื่องจนปัจจุบัน ซึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองโลกในประวัติศาสตร์โลก

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์สยาม

“ประวัติศาสตร์สยาม” เป็นประวัติศาสตร์แนวก้าวหน้าแบบสากล ซึ่ง ร.5 ทรงบอกไว้ราว 115 ปีที่แล้วในพระราชดำรัสสถาปนา “โบราณคดีสโมสร” หรือ “สมาคมสืบสวนของบุราณในประเทศสยาม” เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2450 [“สยาม” ในที่นี้หมายถึงพระราชอาณาจักรสยามสมัยนั้นซึ่งมีพัฒนาการเป็นประเทศไทยสมัยนี้]

พระราชดำรัส ร.5 มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้

1. ประวัติศาสตร์สยามหมายถึงประวัติศาสตร์ดินแดนสยามและผู้คนชาวสยาม ซึ่งประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ในรัฐโบราณ โดยมีพระราชดำรัสบางตอน ดังนี้
    “เราจะค้นหาข้อความเรื่องราวของประเทศสยามไม่ว่าเมืองใดชาติใดวงษ์ใด รวบรวมเรียบเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของประเทศสยาม”
    “กรุงสยามเป็นประเทศที่แยกกันบ้างบางคราว รวมกันบ้างบางคราว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินผู้ที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง ต่างวงษ์กันบ้าง”

นอกจากนั้น ในพระราชดำรัสกล่าวถึงความเป็นมาของสยามหลายพันปีมาแล้ว (สมัยก่อนประวัติศาสตร์) ต่อมาจึงเป็นบ้านเมือง ได้แก่ กรุงนครชัยศรี (นครปฐมโบราณ), กรุงลพบุรี (ละโว้), เมืองนครศรีธรรมราช, เมืองอโยธยา เป็นต้น

2. เรื่องราวประวัติศาสตร์สยามที่ต้องทำความเข้าใจยอมรับความจริงมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวซึ่งพระราชดำรัสบางตอนมีดังนี้
    “ประเทศทั้งหลายซึ่งได้ควบคุมกันเปนชาติแลเปนประเทศขึ้น ย่อมถือว่าเรื่องราวของชาติตนแลประเทศตน เปนสิ่งสำคัญ ซึ่งจะพึงศึกษาแลพึงสั่งสอนกันให้รู้ชัดเจนแม่นยำ เปนวิชาอันหนึ่งซึ่งจะได้แนะนำความคิดแลความประพฤติ ซึ่งจะพึงเหนได้เลือกได้ในการที่ผิดแลชอบชั่วแลดี เปนเครื่องชักนำให้เกิดความรักชาติ แลรักแผ่นดินของตัว ถึงว่าเรื่องนั้นจะเปนเรื่องที่ชั่วช้าไม่ดีอย่างใด ก็เปนเครื่องที่จะจำไว้ในใจ เพื่อจะละเว้นเกียจกัน ไม่ให้ความชั่วความไม่ดีนั้นมาปรากฏขึ้นอีก”

3. ไม่มีชนชาติไทยเชื้อชาติไทยสายเลือดบริสุทธิ์
4. ไม่มีถิ่นกำเนิดชนชาติไทยอยู่ทางใต้ของจีน
5. ไม่มีการรุกรานของจีนต่อชนชาติไทย

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ไทย

“ประวัติศาสตร์ไทย” ที่ใช้งานทุกวันนี้ไม่เป็นไปตามแนวคิด “ประวัติศาสตร์สยาม” เมื่อ 115 ปีที่แล้ว แต่ดำเนินตามประวัติศาสตร์ “ชนชาติไทย” (เชื้อชาติไทยสายเลือดบริสุทธิ์) มีถิ่นเดิมอยู่ทางตอนใต้ของจีน มีความเป็นมาโดยสรุป ดังนี้

(1.) นักค้นคว้าชาวยุโรป “เจ้าอาณานิคม” ค้นคว้าไว้ว่าถิ่นเดิมของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน

(2.) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแปลและเรียบเรียงเรื่องชนชาติไทยที่ชาวยุโรปค้นคว้าไว้ แล้วรวบรวมไว้ในพระนิพนธ์เรื่องตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร ว่าถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน ต่อมาสถาปนาอาณาจักรน่านเจ้า โดยมีเบ้งเฮ็กเป็นชนชาติไทย หลังจากนั้นถูกจีนรุกรานโจมตียึดได้น่านเจ้า

(3.) ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ดำเนินเนื้อตามพระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
(4.) หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินเนื้อหาหลักตามประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพมีพระนิพนธ์เมื่อ 100 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2457) ว่าถิ่นเดิมของไทยอยู่ในจีนทางใต้ตั้งแต่แม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นดินแดนมณฑลเสฉวนและมณฑลยูนนาน เป็นต้น ขณะนั้นดินแดนที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้เป็นถิ่นฐานของขอมและลาว


ประวัติศาสตร์สยามแนวก้าวหน้าแบบสากล มีในพระราชดำรัสของ ร.5 เมื่อสถาปนา “โบราณคดีสโมสร” พ.ศ.2450 [ภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกประทับยังรัตนสิงหาสน์ พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท และโปรดให้ข้าราชการและราษฎรมณฑลกรุงเก่าเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ร.ศ.126 (พ.ศ.2450)

จะคัดพระนิพนธ์เฉพาะตอนนี้มาไว้ด้วย (จัดย่อหน้าใหม่ ให้อ่านสะดวก) ดังนี้

   “พงศาวดารสยามเมื่อก่อนพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา
    แผ่นดินอันเป็นที่ตั้งสยามประเทศนี้ แต่เดิมเป็นที่อยู่ของประชาชน 2 ชาติ คือ ขอมชาติ 1 ลาวชาติ 1
    ชาติภูมิของขอมอยู่ที่แผ่นดินต่ำข้างใต้ คือที่เป็นเมืองเขมรเดี๋ยวนี้ และตามชายทะเลเข้ามาจนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาข้างตอนใต้ ตลอดออกไปจนเมืองรามัญ
    ชาติภูมิของลาวอยู่ที่สูงข้างเหนือ ทางลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งแต่เขาบรรทัดต่อแดนเมืองเขมรขึ้นมา คือในท้องที่มณฑลนครราชสีมาและมณฑลอุบล ร้อยเอ็ด อุดร ตลอดออกไปจนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
    ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ ท้องที่มณฑลพายัพก็เป็นเมืองลาวเดิม เขตลาวข้างใต้เห็นจะลงมาต่อขอมราวเมืองสวรรคโลกและเมืองตาก

ชนชาติขอมและลาวเดิม เป็นอย่างไร

จะรู้ได้ในเวลานี้แต่เพียงว่า บุคคลจำพวกที่เราเรียกว่า ข่า ขมุ เขมร มอญ เม็ง เหล่านี้ ภาษาที่พูดเป็นภาษาขอม จึงเข้าใจได้ว่า ชนชาติเหล่านี้เป็นเชื้อสายสืบมาแต่ขอม

ส่วนลาวนั้น ลาวเดิมคือคนจำพวกที่เราเรียกทุกวันนี้ว่าลัวะ และ ละว้า เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ตามป่าตามเขาแทบทุกมณฑลที่เป็นเมืองลาวเดิม มีภาษาพูดภาษา 1 ต่างหากเหมือนกัน ชื่อที่เรียกว่า ลัวะ และ ละว้า ก็มาแต่คำเดียวกับลาวนั้นเอง จึงรู้ได้ว่าพวกนี้เป็นลาวเดิม

ข้อนี้ ไทยเราชาวใต้ยังมักเข้าใจกันอยู่โดยมาก ว่าชาวเมืองที่อยู่ในมณฑลพายัพ มณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบลทุกวันนี้เป็นลาว และเรียกเขาว่าลาว

ที่จริงหัวเมืองมณฑลเหล่านั้นแต่โบราณเป็นเมืองลาวจริง แต่ชาวเมืองทุกวันนี้โดยมากเป็นไทย (และเขาถือว่าตัวเขาเป็นไทย) เหมือนกับเราชาวใต้

ส่วนไทยนั้น ทุกวันนี้ก็มีเป็นหลายพวก และเรียกกันเป็นหลายชื่อว่า โท ไทย ผู้ไทย พวน ฉาน เฉียง เงี้ยว ลื้อ เขิน เป็นต้น คนทุกจำพวกเหล่านี้ล้วนพูดภาษาไทย และมีเรื่องราวรู้ได้ว่าเป็นไทยทั้งนั้น

ชาติภูมิเดิมของไทย อยู่ในแว่นแคว้นดินแดนที่เรียกทุกวันนี้ว่าประเทศจีนฝ่ายใต้ ตั้งแต่แม่น้ำยางสีมาทางเมืองเสฉวน เมืองฮุนหนำตลอดจนจดเมืองลาว ที่เหล่านี้ล้วนเป็นอาณาเขตเดิมของไทยทั้งนั้น”


@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ไทยสำนวนนี้ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องยาวนานจนปัจจุบัน สร้างปัญหาบาดหมางกับเพื่อนบ้านโดยรอบ •

 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มกราคม 2566
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ.2566
website : https://www.matichonweekly.com/culture/article_641479
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 22, 2023, 06:56:58 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ