« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2023, 06:16:23 am »
0
ผีกระหัง-ผีกระสือ
ว่าด้วยอสุรกายถ้าจะว่ากันถึงลักษณะประจำชาติ (national character) ของไทยที่เด่นชัดอย่างหนึ่งที่คงไม่มีใครเถียงเลยว่า “คนไทยเชื่อเรื่องผี และกลัวผีเป็นปกติ” ซึ่งผีไทยดูมีมากกว่าผีของชาติอื่นเยอะกล่าวคือมีร่วม 100 ประเภท อาทิ ผีกระสือ ผีกระหัง ผีกองกอย ผีกุมารทอง ผีโขมด ผีนางตะเคียน ผีนางตานี ผีป่า ผีปอบ ผีบ้าน ผีเมือง ฯลฯ จนถือได้ว่าเรื่องผีนี่นะครับประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในโลกได้อย่างเต็มปากเลยทีเดียว
ซึ่งโดยเฉพาะเรื่องผีกระสือของไทยนั้นต่างชาติทุกชาติต้องยกนิ้วว่าคนไทยมีจินตนาการที่ล้ำหน้าใครๆ ในโลกเรื่องผีอย่างไม่มีชาติใดเทียบเคียงได้
เพราะว่าผีกระสือเป็นผีประเภทหนึ่งเข้าสิงอยู่ในตัวของผู้หญิงซึ่งโดยมากมักเป็นหญิงชราในตอนกลางวันจะเหมือนคนทั่วไป แต่มีอาการแปลกๆ ผิดปกติ เช่น ไม่ชอบสบตาคน ไม่ชอบแสงสว่าง เงียบๆ ไม่ค่อยพูดจากับใคร ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว ชอบกินของสดคาว มักออกหากินเวลากลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน (คิดได้ยังไง?) เวลาออกไปหากินจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตเป็นแสงสีเขียวเรืองวาบๆ ลอยไป โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงทั้งคืน และจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้รุ่งสว่าง
@@@@@@@
ในทางพระพุทธศาสนามีชื่อเรียกบรรดาผีว่า “อสุรกาย” ซึ่งแปลตรงๆ ตัว ได้ว่า “ผู้ขี้ขลาด” เป็นพวกอทิสสมานกาย ซึ่งจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ให้คำจำกัดความของ “อทิสสมานกาย” ว่า กายที่มองไม่เห็น, ผู้มีกายไม่ปรากฏ, ไม่ปรากฏร่าง, มองไม่เห็นตัว
ซึ่งพวกผีหรืออสุรกายนี้ต่างเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ และหลอกหลอนผู้คนให้หวาดกลัวเนื่องจากการที่ถูกผีหลอกนั้นมักจะอยู่ในเวลาและสถานที่ที่เปลี่ยว มืด และเงียบสงัด
ผีกองกอย
ผีนางตานี
ดังนั้นจึงมักมีการบอกต่อๆ กันว่าถ้าไม่อยากถูกผีหลอกให้อยู่ในที่สว่างและมีเสียงดังเพราะผีไม่ชอบซึ่งคงจะตรงกับคำแปลของ “อสุรกาย” คือ ผู้ขี้ขลาดกลัวความสว่างและสถานที่ที่มีเสียงดัง
ดังนั้นเมื่อทราบถึงธรรมชาติของผีหรืออสุรกายแล้วอาจจะช่วยให้ท่านผู้อ่านที่เคารพบรรเทาความกลัวผีลงได้บ้างเนื่องจากผีคือผู้ขี้ขลาดนั่นเองเพราะว่าผีมีกายที่มองไม่เห็น ส่วนเราเป็นมนุษย์มีร่างกายเป็นตัวตนจึงไม่ควรกลัวต่อผู้ที่มีกายที่มองไม่เห็น
ความจริงผีหรืออสุรกายนั้นไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหลอนคนให้ตกใจกลัว แต่ที่มาปรากฎกายให้เห็นในที่มืดและเงียบสงัดนั้น ก็เพื่อจะขอความช่วยเหลือจากมนุษย์เรานั่นเอง แต่เมื่อปรากฎกายที่พิลึกพิลั่นให้พอเห็นแล้ว มนุษย์เราก็มักจะตกใจกลัว วิ่งเตลิดเปิดเปิง หรือไม่ก็เป็นลมสลบไปก็เลยไม่ทันได้พูดจากันให้รู้เรื่องรู้ราว
@@@@@@@
ท่านผู้รู้ (ผู้เขียนขออ้างอิงท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต เนื่องจากผู้เขียนได้ข้อมูลเรื่องผีหรืออสุรกายนี้มาจากบทความเรื่อง “ผี-เปรต (1)” ของท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์นั่นเอง) ท่านว่า
“ผีหรืออสุรกาย มันไม่ตั้งใจหลอกคนดอก มันมาปรากฎกายให้เห็นเพื่อขอความช่วยเหลือจากคน แต่บังเอิญคนเห็นมันรูปร่างหน้าตาพิสดารพันลึกก็เลยกลัว ถ้าใครกล้าๆ ลองถามมันสิครับว่าอยากได้อะไร จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้นแหละ มันก็จะหายวับไปกับตา ว่าแต่ว่าสัญญากับมัน (ผีหรืออสุรกาย) แล้วต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้มันจริงๆ นา ไม่งั้นมันมาทวงอีก แถมบวกดอกเบี้ยด้วยจะยุ่งใหญ่”
แรงบันดาลใจในการเขียนบทความนี้ก็เนื่องจากผู้เขียนก็เหมือนกับคนไทยทั่วๆ ไปคือมักจะกลัวผี (เป็นครั้งคราว) ครั้นได้รับทราบคำแปลของ “อสุรกาย” หรือผี จากข้อเขียนของท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ เข้าก็เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาว่า ผีคือผู้ที่ขี้ขลาด แบบว่าผีขี้ขลาดกว่าเราซึ่งเป็นมนุษย์เสียอีก จึงทำให้หายกลัวผีไปตั้งเยอะทีเดียว
จึงอยากจะเผื่อแผ่ความตระหนักในเรื่องนี้แก่ท่านผู้อ่านที่เคารพเพื่อที่จะลดทอนความกลัวผีลงไปบ้างนะครับThank to :
https://www.matichon.co.th/columnists/news_1461300ผู้เขียน : โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ | วันที่ 24 เมษายน 2562 - 12:46 น.