ศาสตร์ของการไม่ถูกชะตา ทำไมเราถึงไม่ชอบหน้าแค่ ‘บางคน’Summary
• ในเมื่อรักแรกพบยังเกิดขึ้นได้ แล้วทำไมคนเราจะรู้สึก ‘ไม่ถูกชะตา’ ตั้งแต่แรกเจอบ้างไม่ได้ เพราะสำหรับบางคนเพียงแค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ชอบ ไม่อยากรู้จัก และหากเลี่ยงได้ ก็ไม่อยากคบค้าสมาคม
• หากเราเคยรู้สึกเช่นนี้กับใครสักคน นั่นอาจเป็นเพราะกลไกการป้องกันตนเองกำลังทำงาน ลองจินตนาการคล้ายกับการที่เรากำลังขับรถอยู่บนถนน เมื่อเราเห็นหลุมลึกอยู่ตรงหน้า โดยสัญชาตญาณ เราจะหักหลบหลุมนั้นทันที เพื่อความปลอดภัย
• การชอบ หรือไม่ชอบใครสักคนของมนุษย์ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีที่สุด ก็อาจมีใครบางคนรู้สึกไม่ชอบหน้าได้ หากบางอย่างในตัวของบุคคลนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งคำว่าไม่ปลอดภัยในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงแค่การถูกทำร้ายร่างกายจิตใจเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยทางจิตใจด้วย
สาเหตุที่มนุษย์ไม่ชอบใครสักคนนั้น อาจเป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา แต่เคยสังเกตตัวเองไหมว่า บางครั้งเราก็ไม่ชอบหน้าคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก และความรู้สึกไม่ถูกชะตาก็เกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ด้วยอารมณ์ประมาณว่า “เอาล่ะ! เราไม่ชอบคนนี้”
เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านความรู้สึกเช่นนี้ ซึ่งหากว่าเราไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน ก็คงไม่มีปัญหา แต่หากบุคคลที่เราไม่ถูกชะตา ต้องกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นหัวหน้าที่เพิ่งย้ายมาใหม่ หรือเป็นใครที่เราจำต้องใช้เวลาบางช่วงในชีวิตร่วมกัน ก็อาจสร้างความอึดอัดใจไม่น้อย
จะว่าไปแล้วการไม่ชอบใครสักคน ที่เราเชื่อว่าไม่มีเหตุผลนั้น จริงๆ แล้วอาจสามารถอธิบายด้วยเหตุผลได้ เพราะทุกความรู้สึกของมนุษย์มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะรู้เท่าทันความรู้สึกเหล่านั้นหรือเปล่า เพราะการไม่ถูกชะตาใครบางคนมักเกิดขึ้นแบบปุ๊บปั๊บจนเหมือนไม่มีเหตุผล ซึ่งความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก
และหากเรามองลงไปให้ลึกมากพอถึงก้นบึ้งของหัวใจ เราอาจค้นพบว่าการไม่ถูกชะตาใครบางคน มีเหตุผลซ่อนอยู่
@@@@@@@
ทำไมต้องเธอ ที่ฉันเผลอไม่ชอบหน้า
ในเมื่อรักแรกพบยังเกิดขึ้นได้ แล้วทำไมคนเราจะรู้สึก ‘ไม่ถูกชะตา’ ตั้งแต่แรกเจอบ้างไม่ได้ เพราะสำหรับบางคนเพียงแค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ชอบ ไม่อยากรู้จัก และหากเลี่ยงได้ ก็ไม่อยากคบค้าสมาคม
หากเราเคยรู้สึกเช่นนี้กับใครสักคน นั่นอาจเป็นเพราะกลไกการป้องกันตนเองกำลังทำงาน ลองจินตนาการคล้ายกับการที่เรากำลังขับรถอยู่บนถนน เมื่อเราเห็นหลุมลึกอยู่ตรงหน้า โดยสัญชาตญาณ เราจะหักหลบหลุมนั้นทันที เพื่อความปลอดภัย
การไม่ชอบหน้าบางคนก็มีกลไกคล้ายกัน นั่นคือ บุคคลดังกล่าวอาจมีทีท่า พฤติกรรม หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ ถูกคุกคาม หรืออาจมีลักษณะคล้ายกับคนที่เคยสร้างปมในชีวิตของเรามาก่อน มีบางอย่างในตัวของบุคคลผู้นั้นที่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย จิตใต้สำนึกจึงสั่งการให้เราด่วนตัดสินใจว่า เราจะไม่ชอบคนคนนี้เพื่อป้องกันตนเอง
"การชอบหรือไม่ชอบใครสักคนของมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีที่สุด ก็อาจมีใครบางคนรู้สึกไม่ชอบหน้าได้ หากบางอย่างในตัวของบุคคลนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ปลอดภัย"
การชอบ หรือไม่ชอบใครสักคนของมนุษย์ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีที่สุด ก็อาจมีใครบางคนรู้สึกไม่ชอบหน้าได้ หากบางอย่างในตัวของบุคคลนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งคำว่าไม่ปลอดภัยในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงแค่การถูกทำร้ายร่างกายจิตใจเท่านั้น แต่รวมถึงความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยทางจิตใจด้วย
กล่าวคือ บางคนอาจไม่ชอบคนที่แต่งตัวสวยๆ เพราะทำให้ตัวเองสูญเสียความมั่นใจ หรือบางคนอาจไม่ชอบคนทำงานเก่ง เพราะรู้ว่าตัวเองอาจไม่มีวันประสบความสำเร็จอย่างนั้นได้ ดังนั้น ตัวตนของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะทำดี มีมนุษยสัมพันธ์เพียงใด ก็ไม่อาจการันตีได้ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
ก็แค่ไม่ถูกชะตา…จริงหรือ?
เมื่อรู้แล้วว่าการที่จู่ๆ เราไม่ถูกชะตาบางคนทั้งที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกัน เกิดจากกลไกป้องกันตัวเองที่มาจากจิตใต้สำนึก ทีนี้ลองมาดูกันต่อไปว่า อาจมีสาเหตุอะไรบ้างที่เป็นต้นตอของความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นลึกๆ ในใจของเรา เพื่อว่าหากรู้เท่าทัน เราอาจกล้าเปิดใจศึกษานิสัยใจคอของคนเหล่านั้น เพราะแน่นอนว่าการสร้างมิตร ย่อมดีกว่าสร้างศัตรู
• ไม่ชอบหน้าเพราะต่างกันเกินไป : มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่เป็นพวกพ้อง เมื่อมีใครสักคนที่แตกต่างและไม่เข้าพวก ความรู้สึกไม่ถูกชะตาก็อาจเกิดขึ้นได้ เพราะตั้งแต่โบราณ มนุษย์ผูกพันกับเผ่าของตน และมองว่าผู้ที่มาจากต่างเผ่าพันธุ์คือภัยคุกคาม ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตนเอง ซึ่งกลไกทางจิตวิทยานี้ยังคงถ่ายทอดต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน แต่โชคดีที่โลกเปิดกว้าง และการศึกษาทำให้คนเราเข้าใจเรื่องความแตกต่างมากขึ้น ดังนั้น อคติที่มีต่อความแตกต่าง แม้จะยังไม่หมดไปจากโลก แต่ก็เบาบางลงกว่ายุคที่ผ่านๆ มา
• ไม่ถูกชะตาเพราะมองว่าเป็นคู่แข่ง : เมื่อเราพบคนที่เป็นคู่แข่งกับเราไม่ว่าด้านใดก็ตาม สัญชาตญาณจะสั่งให้เรารู้สึกไม่ชอบคนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ประสบความสำเร็จมากกว่า, คนที่แอบชอบคนคนเดียวกับเรา ไปจนถึงคนรักของเพื่อนสนิท ที่เรากลัวว่าบุคคลนั้นจะแย่งเวลาและความสนใจจากเพื่อนเราไป ความรู้สึกถูกแข่งขันนี้อาจเปลี่ยนเป็นไม่ชอบ ไปจนถึงขั้นเกลียดได้ไม่ยาก หากเราไม่เท่าทันอารมณ์ของตนเอง
• ไม่ชอบหน้าเพราะว่าทำให้นึกถึงเรื่องร้ายๆ : กับคนบางคน เราเพียงแค่เห็นหน้าก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bad Vibe แม้ว่าบุคคลนั้นอาจไม่ตั้งใจและไม่รู้ตัวก็ตาม แต่อะไรบางอย่างในตัวเขา ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์เลวร้ายในอดีต เช่น วิธีพูดที่คล้ายกับหัวหน้าเก่าที่เคยบูลลี่เราในที่ทำงาน หรือเพื่อนร่วมงานที่มีท่าเดินที่เหมือนอาจารย์ฝ่ายปกครอง ซึ่งเคยทำโทษเราแบบไร้เหตุผล พฤติกรรม ลักษณะนิสัย หรือบุคลิกบางอย่างของบางคน อาจเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำร้ายๆ ในอดีต จนเกิดเป็นความรู้สึกไม่ถูกชะตาได้
• ไม่ถูกชะตาเพราะว่าทำให้เรารู้สึกด้อย : ธรรมชาติของมนุษย์มักไม่ต้องการเผยปมด้อย หรือข้อเสียของตัวเองให้ใครเห็น แต่หากใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วยิ่งย้ำให้เห็นข้อเสียในตัวเรา ไม่ว่าจะเพราะเขามีข้อเสียเหมือนเรา หรือเขาตรงข้ามกับเราสุดขั้ว ก็อาจทำให้รู้สึกไม่ถูกชะตากันได้ เพราะอีกฝ่ายได้กลายเป็นกระจกสะท้อนตัวตนของเรา เช่น คนที่กิริยาหยาบคาย มักไม่ชอบคนสุภาพเรียบร้อย คนที่ขาดความมั่นใจ มักรู้สึกถูกคุกคามโดยคนที่มั่นใจในตัวเองสุดๆ หรือคนไร้วินัยมักมองว่าคนที่ถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว เป็นพวกน่าเบื่อ ไม่น่าคบ เป็นต้น
• ไม่ชอบหน้าเพราะว่าเขาดูนิ่งๆ : คนส่วนใหญ่มักตีความจากภาษากาย สีหน้า ท่าทาง มากกว่าการสื่อสารด้วยคำพูด โดยเฉพาะคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ภาษากายจึงเป็นตัวกำหนดว่าเราควรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่เพิ่งพบกันอย่างไร สำหรับคนบางกลุ่ม เช่น คนที่เก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม หรือมีลักษณะของ Introvert พวกเขาอาจดูนิ่งๆ ไม่เชิญชวนให้คนเข้าหาเท่าใดนัก คนอื่นจึงอาจตีความผิดและคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่เป็นมิตร และพาลไม่ชอบหน้าได้
@@@@@@@
ไม่ถูกชะตา แต่ว่าต้องอยู่ร่วมกัน (ให้ได้) อย่างมืออาชีพ
เมื่อคุณวุฒิและวัยวุฒิมากขึ้น บางครั้งเราก็เลือกที่จะทำงาน หรือคบค้าสมาคมเฉพาะคนที่เราถูกใจไม่ได้ เพราะบ่อยครั้งด้วยหน้าที่การงานต่างๆ ก็อาจทำให้เราจำเป็นต้องติดต่อสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่ถูกชะตา ซึ่งก็มีความเสี่ยงว่าเราอาจปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นอย่างมีอคติ ด้วยความที่ไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิม
ปัญหาก็คือ เมื่อเรามีอคติแล้ว ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะทำอะไร ก็อาจผิดพลาดไปเสียหมดในสายตาเรา ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็อาจส่งผลกระทบกับงาน รวมทั้งตัวของเราที่อาจถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพได้
โรเบิร์ต ซุตทัน (Robert Sutton) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การจัดการ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐฯ แนะนำว่า คนเราควรยอมรับว่า เราไม่จำเป็นต้องชอบทุกคนที่รู้จัก และทุกคนที่เรารู้จักก็ไม่จำเป็นต้องชอบเราเช่นกัน เพราะมนุษย์มีความแตกต่างหลากหลาย บางคนอาจยึดถือคุณค่าในชีวิตต่างจากเรา ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของเขาต่างไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร หากเราจะไม่ชอบบุคคลผู้นั้น แต่สิ่งสำคัญคือ การยอมรับว่าอาจมีบางคนที่ไม่ชอบเรา และเราก็ไม่จำเป็นต้องชื่นชอบทุกคนเสมอไป การยอมรับความจริง เป็นก้าวแรกที่จะแยกอารมณ์ของเรามาจากการปฏิสัมพันธ์นั้น และป้องกันไม่ให้อคติเกิดขึ้นได้
เมื่อรู้เท่าทันและขจัดอคติในใจได้แล้ว ขั้นต่อมาคือการปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความเคารพและให้เกียรติ แม้ภายในใจอาจรู้สึกไม่ถูกชะตา แต่หากว่าต้องร่วมงานกัน การระมัดระวังสีหน้าท่าทางให้สำรวม มักช่วยให้การติดต่อสื่อสารเรื่องงานสำเร็จลุล่วงได้ง่ายกว่าการวางท่าปั้นปึงใส่กัน
"เมื่อรู้เท่าทันและขจัดอคติในใจได้แล้ว ขั้นต่อมาคือการปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยความเคารพและให้เกียรติ แม้ภายในใจอาจรู้สึกไม่ถูกชะตา แต่หากว่าต้องร่วมงานกัน การระมัดระวังสีหน้าท่าทางให้สำรวม มักช่วยให้การติดต่อสื่อสารเรื่องงานสำเร็จลุล่วงได้ง่ายกว่าการวางท่าปั้นปึงใส่กัน"
อย่างไรก็ตาม หากระหว่างการปฏิสัมพันธ์พบว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้น่าคบหาเหมือนกับที่เรารู้สึกเมื่อแรกพบ เช่น เขาอาจแสดงกิริยาไม่สุภาพ พูดจาไม่ให้เกียรติ ฯลฯ ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้ถูกตั้งแต่ต้น แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะมืออาชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราควรตอบโต้ด้วยวิธีเดียวกัน
สิ่งที่ควรทำคือมีปฏิสัมพันธ์เท่าที่จำเป็นในเรื่องงาน พูดให้สั้น กระชับ และตรงประเด็น หากมีลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐานได้ก็ยิ่งดี นอกจากนี้ควรรักษาระยะห่าง และอย่าคาดหวังที่จะได้รับการตอบรับอย่างที่เราพึงพอใจ เมื่อรู้แล้วว่าคนที่เราไม่ถูกชะตามีพฤติกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบ ก็ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก
ในทางกลับกัน หากเราเปิดใจพูดคุย ทำความรู้จักแล้วพบว่าคนที่เราไม่ถูกชะตาเมื่อแรกพบนั้น ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่เราจะได้สร้างมิตรภาพใหม่ๆ อีกทั้งยังอาจเป็นสิ่งที่เตือนใจให้ระมัดระวังที่จะไม่ด่วนตัดสินคนอื่นๆ เร็วเกินไป
ในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย คงไม่แปลกที่เราอาจไม่ถูกชะตาใครบางคน แต่สิ่งสำคัญก็คือ ถึงแม้จะไม่ถูกชะตา ไม่ชอบหน้า แต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ ด้วยการปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติและเคารพในความแตกต่าง เพราะการที่สังคมมีคนที่ต่างจากเรา หรือมีคนที่เราไม่ชอบ ในแง่หนึ่งก็ช่วยให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเอง ว่าการที่เราไม่ชอบหน้าบุคคลเหล่านั้น เป็นเพราะพวกเขาสะท้อนอะไรบางอย่างในตัวเราหรือเปล่า
ไม่แน่ว่าหากเปิดใจทบทวนอย่างลึกซึ้ง เราอาจค้นพบตัวตนอีกด้านที่เราหลงลืม หรือไม่เคยรู้ว่ามี และการค้นพบนี้อาจช่วยให้เราได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง เพื่อพัฒนาเป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้
อ้างอิง : psychmechanics.com, lifehack.org
Thank to :
https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102809Thairath Plus › Everyday Life | 20 ก.พ. 66 | creator : สุภาวดี ไชยชลอ