ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: Social Media Envy เยียวยาใจจาก ‘ไฟริษยา’ เวลาเล่นโซเชียลฯ  (อ่าน 1214 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




Social Media Envy เยียวยาใจจาก ‘ไฟริษยา’ เวลาเล่นโซเชียลฯ

Summary

    - รุ่นน้องไปเที่ยวต่างประเทศอีกแล้ว เพื่อนอีกคนก็ได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกบ้านนั้นอ่านหนังสือได้ตั้งแต่อายุห้าขวบ ฯลฯ – ถึงแม้ภาพและเรื่องราวส่วนใหญ่ที่คนอวดแสดงกันในโซเชียลมีเดีย มักเป็นเรื่องที่น่าร่วมยินดี แต่บางครั้งการที่เรื่องราวมากมายถาโถมใส่เราทุกครั้งที่เข้าสู่โลกโซเชียลฯ ก็อาจทำให้คนเราอดเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับชีวิตของคนอื่นๆ ไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกที่ตามมาหลังจากการเปรียบเทียบ ก็คือ ‘ความอิจฉา’ นั่นเอง

   -  แม้ Social Media Envy จะไม่ได้เป็นอาการเจ็บป่วยทางการแพทย์ แต่ก็เป็นสภาวะอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวันไม่มากก็น้อย การศึกษาในต่างประเทศพบว่า การใช้โซเชียลมีเดียอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของความเครียด ภาวะวิตกกังวล โรคซึมเศร้า และอาจทำให้เกิดอาการเสพติดโลกโซเชียลฯ ได้

   - ทั้งนี้ความอิจฉาอาจนำไปสู่การพัฒนาตนเอง ทำให้รู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิต และตั้งเป้าหมายอย่างเหมาะสมเพื่อสิ่งนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ควรตรวจสอบตัวเองด้วยว่า เป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่เราอยากมี เพื่อจะได้ ‘เหมือนคนอื่น’ กันแน่



Illustration : Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn

เพื่อนสมัยเรียนโพสต์ดีใจที่ได้เลื่อนตำแหน่ง, คนรู้จักกำลังจะแต่งงาน, ลูกพี่ลูกน้องแชร์ภาพไปเที่ยวพักร้อนริมทะเลแสนสวย ฯลฯ – ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ ทำให้คนเราอัปเดตชีวิตกันและกันได้รวดเร็วทันเหตุการณ์มากกว่ายุคไหนๆ ที่ผ่านมา

แต่ถึงแม้ภาพและเรื่องราวส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่น่าร่วมยินดี บางครั้งการที่เรื่องราวมากมายถาโถมใส่เราทุกครั้งที่เข้าสู่โลกโซเชียลฯ ก็อาจทำให้คนเราอดเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับชีวิตของคนอื่นๆ ไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกที่ตามมาหลังจากการเปรียบเทียบ ก็คือ ‘ความอิจฉา’ นั่นเอง

โซเชียลมีเดียจึงไม่เพียงทำให้คนทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างง่ายดายเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่ง ก็กลับทำให้คนเราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากเกินความจำเป็น จนเกิดเป็นการเปรียบเทียบขึ้นได้ง่ายแบบไม่มีขีดจำกัด จากที่ในยุคก่อน เราอาจแค่รับรู้ความสำเร็จของคนอื่นๆ จากเพื่อนสนิทที่เล่าสู่กันฟังผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ทุกวันนี้เพียงกดเข้าแอปพลิเคชันครั้งเดียว เราก็ถูกเรื่องราวแห่งความสุขในชีวิตคนอื่นจู่โจมไม่หยุดหย่อนราวกับคลื่นในทะเล จากเฟซบุ๊ก สู่อินสตาแกรม ไปจนถึงติ๊กต่อก และทวิตเตอร์ ทั้งในรูปแบบข้อความ รูปภาพ และคลิปวิดีโอ

โดยไม่รู้ตัว เราอาจหลงทางอยู่ในโลกโซเชียลฯ วันละหลายชั่วโมง ซึมซับข้อมูลข่าวสารในชีวิตของคนรู้จัก หรือกระทั่งจากเพจรีวิวของกิน ของใช้ และที่เที่ยวต่างๆ อย่างมากมายโดยไม่จำเป็น จนลืมย้อนเข้าไปสำรวจจิตใจตัวเองว่า เรื่องราวที่รับรู้ผ่านโซเชียลมีเดียนั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไร

– ภูมิใจในตัวเองมากขึ้น หรือทำให้รู้สึกว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม?

@@@@@@@

รู้จัก Social Media Envy เรื่องดีๆ มีไว้อิจฉา.?

รุ่นน้องไปเที่ยวต่างประเทศอีกแล้ว เพื่อนอีกคนก็ได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกบ้านนั้นอ่านหนังสือได้ตั้งแต่อายุห้าขวบ พอย้อนกลับมามองตัวเอง งานก็ไม่มั่นคง เงินเก็บที่มีก็พอไปเที่ยวได้แค่ห้างใกล้บ้าน ส่วนลูกน่ะเหรอ จะมีได้อย่างไร ในเมื่อยังหาแฟนไม่ได้สักคน

คิดแล้วได้แต่ถอนใจ ทำไมเราไม่มีความสุขเหมือนคนอื่นนะ?

แม้ Social Media Envy จะไม่ได้เป็นอาการเจ็บป่วยทางการแพทย์ แต่ก็เป็นสภาวะอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวันไม่มากก็น้อย การศึกษาในต่างประเทศพบว่า การใช้โซเชียลมีเดียอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของความเครียด ภาวะวิตกกังวล โรคซึมเศร้า และอาจทำให้เกิดอาการเสพติดโลกโซเชียลฯ ได้

ราเชล แอนดรู (Rachel Andrew) นักจิตวิทยาคลินิกจากออสเตรเลีย ระบุว่า คนไข้จำนวนไม่น้อย มาพร้อมความรู้สึกอิจฉาที่พวกเขาไม่สามารถมีไลฟ์สไตล์ได้เหมือนกับคนอื่นๆ ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งสิ่งที่แพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ทำ ไม่ใช่เพียงเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังทำให้การเปรียบเทียบเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในยุคไหนๆ ที่ผ่านมา

เราต่างรับรู้ว่าภาพที่นำเสนอผ่านโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่มักผ่านการแต่งภาพ ใส่ฟิลเตอร์ ลบฉากหลังที่ไม่ต้องการ ปรับโทนสี ฯลฯ เพื่อให้ภาพเหล่านั้นดูสวยงามไร้ที่ติ ทุกคนล้วนอยากนำเสนอเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองในภาพเหล่านั้น

ดังนั้น การเปรียบเทียบที่เกิดขึ้น จึงเป็นการเปรียบเทียบที่เกินจริง

    "ความอิจฉานี้มักไม่ค่อยแสดงออกชัดเจนรุนแรงเหมือนตัวร้ายในละครทีวี แต่ค่อยๆ กัดกร่อนจิตใจไปทีละนิด เพราะขณะที่เราชื่นชมยินดีกับความสุขในชีวิตเพื่อนสนิทมิตรสหาย ในใจลึกๆ อาจเกิดคำถามว่า ทำไมเรื่องดีๆ แบบนั้นไม่เกิดขึ้นกับเราบ้าง"

แม้ในระดับเหตุผล คนส่วนใหญ่จะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ แต่ในระดับอารมณ์แล้ว อาจยากจะควบคุม ยิ่งหากภาพที่เห็นเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการของเรา แต่เราไม่อาจเอื้อมถึงได้ เช่น เพื่อนไปเที่ยวในสถานที่ที่เราอยากไป หรือรุ่นน้องโพสต์โชว์กระเป๋าแบรนด์เนมที่เราอยากได้ แต่เอื้อมไม่ถึง – ภาพเหล่านี้มักมีอำนาจมากพอที่จะกระตุ้นให้มนุษย์รู้สึกอิจฉา และโดยทั่วไปความรู้สึกอิจฉานี้มักเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว

อีธาน ครอสส์ (Ethan Kross) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมิชิแกน ผู้ศึกษาเรื่อง The Impact of Facebook on Our Wellbeing ให้กลุ่มทดลอง ใช้เฟซบุ๊กอย่างต่อเนื่อง โดยเลื่อนฟีดเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ แต่ละวันกลุ่มทดลองจะได้รับข้อความวันละ 5 ครั้ง เพื่อถามว่า ความรู้สึกของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในแต่ละครั้ง ผลที่ได้ก็คือ ยิ่งใช้เวลาเลื่อนฟีดนานขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกอิจฉาให้มีมากขึ้น สวนทางกับความรู้สึกดีต่อตัวเองที่ค่อยๆ ลดน้อยลง

สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ความอิจฉานี้มักไม่ค่อยแสดงออกชัดเจนรุนแรงเหมือนตัวร้ายในละครทีวี แต่ค่อยๆ กัดกร่อนจิตใจไปทีละนิด เพราะขณะที่เราชื่นชมยินดีกับความสุขในชีวิตเพื่อนสนิทมิตรสหาย ในใจลึกๆ อาจเกิดคำถามว่า ทำไมเรื่องดีๆ แบบนั้นไม่เกิดขึ้นกับเราบ้าง หรือขณะที่เราคอมเมนต์ชมกระเป๋าแบรนด์เนมของเพื่อน ในใจอาจบอกตัวเองว่า อยากได้บ้างจัง

ความอิจฉาที่ไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ปะปนอยู่ในการเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นอยู่ทุกขณะ อาจทำให้กว่าจะรู้ตัว เราก็สูญเสียความภูมิใจในตัวเองไปมากมายแล้ว

@@@@@@@

เมื่อใจดีๆ กลายเป็นซึมเศร้า

เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์มักเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับคนอื่นๆ เพราะการเปรียบเทียบทางสังคมเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม โดยทั่วไปคนเรามักเปรียบเทียบตัวเองในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น เปรียบเทียบรูปร่าง, หน้าตา, ความสามารถ กับคนที่ได้พบปะ ซึ่งในแง่หนึ่ง การเปรียบเทียบก็มีข้อดี คือทำให้เราเห็นภาพว่า ตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอย่างไร และนำไปสู่การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่ง หากมนุษย์เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมออนไลน์ที่รูปภาพมักถูกตกแต่งให้สวยงามเกินจริง เรื่องราวก็ถูกนำเสนอแต่ด้านดีๆ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้เปรียบเทียบจะถูกบั่นทอนจิตใจ เมื่อรู้สึกว่าชีวิตจริงของตนไม่สวยงามและดีพร้อมเท่ากับชีวิตคนอื่นๆ ที่เห็นในโลกโซเชียลฯ

ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี พ.ศ.2560 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านราย ซึ่งสูงกว่าในปี พ.ศ.2557 ที่พบเพียง 1.1 ล้านคน ถึงร้อยละ 36 ขณะที่ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 300 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

    "ระดับอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้น สัมพันธ์กับปริมาณเวลาที่ใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งค่าเฉลี่ยระยะเวลาใช้สมาร์ทโฟนของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า คือ 68 นาทีต่อวัน ขณะที่คนที่ไม่มีอาการซึมเศร้า ใช้สมาร์ทโฟนเฉลี่ยเพียงวันละ 17 นาทีเท่านั้น"

บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารปัญญาภิวัฒน์ เดือนกรกฎาคม 2561 เรื่อง ‘ภาวะซึมเศร้ากับพฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียล’ โดย อังคณา ศิริอำพันธ์กุล ระบุว่า ปัจจัยภายนอกที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าในสังคมไทยปัจจุบัน ได้แก่ การใช้สื่อโซเชียลฯ ที่มากเกินไป โดยผลกระทบทางสุขภาพจิตของผู้ที่ติดสมาร์ทโฟน หรือเทคโนโลยีอย่างหนัก มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลและโรคซึมเศร้า โดยระดับอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้น สัมพันธ์กับปริมาณเวลาที่ใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งค่าเฉลี่ยระยะเวลาใช้สมาร์ทโฟนของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า คือ 68 นาทีต่อวัน ขณะที่คนที่ไม่มีอาการซึมเศร้า ใช้สมาร์ทโฟนเฉลี่ยเพียงวันละ 17 นาทีเท่านั้น

โดยอาการสำคัญของโรคซึมเศร้า คือ อารมณ์เศร้า ที่ผสมผสานไปด้วยหลายความรู้สึก ทั้งกลัว, เกลียด, โกรธ, ละอาย ไปจนถึงรู้สึกผิด ซึ่งในผู้ป่วยไทยอาจไม่บอกว่ากำลังเศร้า แต่มักบอกว่ารู้สึกเบื่อหน่าย หงุดหงิด ไม่มีความสุขสบายใจเหมือนเคย นอนไม่หลับ อ่อนเพลียตลอดทั้งวัน

ในทางทฤษฎีความคิดและการรับรู้ อธิบายว่า ภาวะซึมเศร้าเกิดจากการมีแนวคิดและการรับรู้เชิงลบเกี่ยวกับตนเอง ซึ่งอาจพัฒนามาตั้งแต่วัยเด็ก และเมื่อถูกกระตุ้นโดยโซเชียลมีเดีย ความรู้สึกเชิงลบดังกล่าวจึงปะทุขึ้น




Social Media Envy ความอิจฉาที่มาพร้อมผลกระทบ

อะไรที่มากเกินไป ย่อมส่งผลกระทบไม่มากก็น้อยเสมอ การเล่นโซเชียลมีเดียก็เช่นกัน และดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ระยะเวลาการใช้โซเชียลมีเดีย มีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของอาการซึมเศร้า ซึ่งผลเสียที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป ไม่ได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ในชีวิตด้วย ดังนี้

    - ความมั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเอง : เราอาจพยายามแต่งตัวให้เหมือนอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊ก แต่เพื่อนกลับแซวว่าไม่เข้ากับเราสุดๆ หรือเราพยายามถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกให้เหมือนกับที่เห็นในไอจี แต่พยายามเท่าไรก็ไม่ดีพอ ความล้มเหลวเล็กๆ น้อยๆ เมื่อสะสมนานวันเข้า อาจทำให้ขาดความมั่นใจและรู้สึกสูญเสียคุณค่าในตนเอง

    - กระทบความสัมพันธ์ : ยิ่งใช้โซเชียลมีเดียมากเท่าไร ก็ยิ่งลดโอกาสที่คนเราจะได้มีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงแบบที่ไม่ต้องผ่านหน้าจอ จากที่เมื่อก่อนต้องนัดกันเพื่อได้พบหน้า แต่การเห็นหน้าผ่านสังคมออนไลน์บ่อยๆ ก็ทำให้คนเราสื่อสารกันผ่านช่องคอมเมนต์แทนที่จะเป็นการสื่อสารผ่านบทสนทนา และแทนที่จะเป็นการสานสัมพันธ์ ก็อาจทำให้รู้สึกห่างไกลกันยิ่งกว่าเดิม

    - รู้สึกกดดันตัวเอง : ความอิจฉาเมื่อเห็นใครต่อใครมีชีวิตที่ดีในโซเชียลมีเดีย อาจทำให้เรากดดันตัวเองเพื่อทำให้ได้อย่างเขาโดยไม่รู้ตัว บางคนอาจดั้นด้นไปชิมอาหารที่เพจดังพากันรีวิว ทั้งที่ตนเองไม่ได้ชอบอาหารประเภทนั้น หรือลงเรียนคอร์สปั้นดิน เพราะใครๆ ก็ทำ ทั้งที่ตนเองไม่ถนัด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการทำไปเพื่อคอนเทนต์ โดยอาจลืมคิดว่ากำลังกดดันตัวเองอยู่

    - กระทบความสัมพันธ์คนใกล้ตัว : คู่รักหลายคู่เผชิญปัญหา เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากเกินไป บางคนอาจพยายามทั้งวันเพื่อให้ได้คลิปสั้นๆ เพียง 15 วินาที เวลาที่เสียไปกับการเล่นโซเชียลฯ จึงทำให้เกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ เมื่อคนฝ่ายหนึ่งให้ความสัมพันธ์กับสังคมออนไลน์มากกว่าคนที่อยู่ใกล้ตัว

@@@@@@@

สร้างเกราะป้องกันจิตใจจาก Social Media Envy

สำหรับใครที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ แล้วสังเกตว่าตนเองเริ่มรู้สึกไม่มีความสุขในชีวิตประจำวัน ใจคิดแต่อยากไปเช็กอินคาเฟ่เก๋ๆ เหมือนที่เห็นในไอจี หรืออยากมีชีวิตดีๆ ไว้โพสต์ลงโซเชียลบ้าง – นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เรากำลังมีอาการ Social Media Envy

แม้การอิจฉานี้อาจไม่ได้ร้ายแรงจนทำให้เราไปทำร้าย หรือแย่งชิงสิ่งที่ต้องการมาจากใครๆ แต่ก็ร้ายแรงพอที่จะทำให้เราหลงลืมสิ่งสำคัญที่มีในชีวิต อย่างการสานสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว หรือสิ่งที่เคยเป็นความสุขง่ายๆ อย่างการใช้เวลากับคนในครอบครัว, การทำความสะอาดบ้านเงียบๆ, การนอนฟังเพลงในวันหยุด หรือการออกไปพบเจอเพื่อนโดยไม่ต้องทำกิจกรรมที่ instagrammable หรือสามารถถ่ายลงไอจีได้

สิ่งเหล่านี้อาจถูกละเลยไป จนในที่สุดเราอาจสูญเสียตัวตนให้กับโลกของคอนเทนต์ จนทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่อยู่ตรงหน้าและสามารถจับต้องได้จริง ต้องสูญหายไปจนไม่อาจหวนคืนกลับมา

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่เผชิญกับความรู้สึกอิจฉาจากโซเชียลมีเดีย สาเหตุส่วนใหญ่อาจเกิดจากปัจจัยสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง, มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ และสอง, มีความอดทนต่อความผิดหวังต่ำ ซึ่งหากต้องการก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านี้ นักพฤติกรรมบำบัดแนะนำว่า ให้ลองคิดจินตนาการดูว่า หากเราต้องเจอเด็กๆ ที่กำลังร้องไห้ เพราะอยากได้ของเล่นของเพื่อน เราจะสอนพวกเขาอย่างไร ให้รู้จักรับมือกับความรู้สึกผิดหวัง

กล่าวคือ เราจะพูดอย่างไรให้เด็กคนนั้นเข้าใจว่า ถึงไม่มีเหมือนคนอื่น หรือไม่ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ แต่ชีวิตก็ยังสามารถอยู่รอด และดำเนินต่อไปได้ – โดยต้องทำความเข้าใจว่า การไม่มีเหมือนคนอื่น ไม่ได้ส่งผลต่อคุณค่าในตัวตนของเราแต่อย่างใด

    "สำหรับผู้ที่เผชิญกับความรู้สึกอิจฉาจากโซเชียลมีเดีย สาเหตุส่วนใหญ่อาจเกิดจากปัจจัยสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง, มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ และสอง, มีความอดทนต่อความผิดหวังต่ำ"

ขณะเดียวกัน เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย ที่คนส่วนใหญ่มักเลื่อนฟีดไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไม่โพสต์ ไม่คอมเมนต์ ไม่ส่งข้อความ ซึ่งนักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่องผลกระทบจากการใช้เฟซบุ๊ก ระบุว่า การใช้เฟซบุ๊กอย่างไรจุดหมาย ส่งผลเสียมากกว่าผลดี เมื่อเทียบกับการใช้เฟซบุ๊กแบบแอ็กทีฟ เช่น ส่งข้อความ, คอมเมนต์ และสร้างโพสต์ของตนเอง เพราะผู้ใช้เฟซบุ๊กอย่างแอ็กทีฟ มีเป้าหมายเพื่อติดต่อเชื่อมโยงกับผู้คน ขณะที่การใช้เฟซบุ๊กอย่างไร้จุดหมายนั้นทำให้เรารู้สึกออกห่างและแปลกแยกจากคนอื่นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้โซเชียลมีเดียอย่างแอ็กทีฟ ไม่ว่าจะโพสต์ หรือคอมเมนต์ ก็ควรตั้งอยู่บนการทำอย่างระมัดระวัง และตรวจสอบวัตถุประสงค์ของการโพสต์แต่ละครั้ง ว่าเรากำลังจะบอกอะไรกับใคร และทำไมจึงต้องโพสต์สิ่งเหล่านั้น

สิ่งสำคัญคือ ต้องตระหนักรู้ว่าเรื่องราวนั้นๆ จะทำให้โลกแห่งการเปรียบเทียบบนโซเชียลมีเดียของตัวเอง ‘ดีขึ้น’ หรือ ‘แย่ลง’ กว่าเดิม เพราะขณะที่เราบอกว่า โซเชียลมีเดียคือพื้นที่ส่วนตัวที่เราจะโพสต์อะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าโซเชียลมีเดียก็ยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่อยู่บนแพลตฟอร์มสาธารณะ นั่นหมายความว่า โซเชียลมีเดียไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น ทุกการกระทำของเราบนโลกออนไลน์จะมีใครสักคนมองเห็นเสมอ

ในฐานะผู้เสพสื่อโซเชียลมีเดีย หากเห็นโพสต์ที่กระตุ้นให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า รู้สึกอิจฉา นักจิตวิทยาแนะนำว่า ควรเริ่มด้วยการยอมรับว่า ความอิจฉาเป็นอารมณ์ตามธรรมชาติของมนุษย์ คนที่รู้สึกอิจฉา ไม่ใช่คนไม่ดี หากแต่ควรรู้จักควบคุมอารมณ์นั้นให้เหมาะสม

ทั้งนี้ ความอิจฉาอาจนำไปสู่การพัฒนาตนเอง ทำให้รู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิต และตั้งเป้าหมายอย่างเหมาะสมเพื่อสิ่งนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ควรตรวจสอบตัวเองด้วยว่า เป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่เราอยากมี เพื่อจะได้ ‘เหมือนคนอื่น’ กันแน่

    "ความอิจฉาอาจนำไปสู่การพัฒนาตนเอง ทำให้รู้ว่าเราต้องการอะไร สิ่งใดที่ขาดไปในชีวิต และตั้งเป้าหมายอย่างเหมาะสมเพื่อสิ่งนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ควรตรวจสอบตัวเองด้วยว่า เป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่เราอยากมี เพื่อจะได้ ‘เหมือนคนอื่น’ กันแน่"

การได้รับคอมเมนต์ชื่นชม มีคนกดไลค์มากมาย บางครั้งก็เป็นเหมือนรางวัลของความสำเร็จ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเราจะยังคงเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเราจะป่าวประกาศให้คนอื่นๆ รับรู้หรือไม่ก็ตาม – ทุกความรู้สึก ทุกความสำเร็จ เป็นของเรา และเรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกเหล่านั้น

แต่เมื่อใดก็ตามที่เราโพสต์เรื่องเหล่านั้นเป็นสาธารณะ เราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า อาจมีมุมมอง ความคิดเห็น และความรู้สึกที่หลากหลาย จากหลายคนที่ได้รับรู้ บางคนยินดีด้วย บางคนเฉยๆ บางคนประชดเหน็บแนม หรือบางคนอาจซึมเศร้าเพราะโพสต์ของเรา โดยที่พวกเขาไม่ได้เอ่ยออกมา

จริงอยู่ที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบและดูแลความรู้สึกของตัวเอง แต่สังคมออนไลน์ก็คือสังคมรูปแบบหนึ่ง เราทุกคนล้วนมีส่วนร่วมสร้างบรรยากาศในสังคมนั้น และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่า เรื่องราวที่แบ่งปันผ่านโซเชียลมีเดียจะส่งผลอย่างไรกับใครบ้าง

การหยุดคิดและใคร่ครวญเพิ่มขึ้นอีกนิดก่อนแชร์ ก็อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ แม้เราอาจไม่ได้รับรู้ถึงมันก็ตาม







ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : economictimes.indiatimes.com, theguardian.com, leftlion.co.uk
website : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102990
Thairath Plus › Everyday › Life › Living › Lifestyle
3 เม.ย. 66 | creator : สุภาวดี ไชยชลอ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ