« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2023, 07:48:06 am »
0
เมืองต้นกำเนิดคนไทย และรถไฟความเร็วสูง ‘ผ่าซีก’ อโยธยา โดย สุจิตต์ วงษ์เทศขอบพระคุณนายก อบต. (บางแห่ง) จ. พระนครศรีอยุธยา ที่กรุณาโพสต์ข้อความทักท้วงเกี่ยวกับอโยธยา (ตามที่มีผู้เมตตาส่งให้อ่านบางส่วน) ประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ อโยธยา เมืองต้นกำเนิดคนไทย, ภาษาไทย, เมืองไทย และรถไฟความเร็วสูง “ผ่าซีก” เมืองอโยธยา
ข้อความทักท้วงมีประโยชน์เหล่านั้น สืบเนื่องจากผมสนทนาพาทีในห้องประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏอยุธยา เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นความเห็นของคนทำสื่อมวลชนคนเดียว จึงไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และเห็นต่างได้ไม่อั้น แต่ข้อสำคัญไม่ควรเสกสรรปั้นแต่งว่าผมทำโน่นนี่นั่น โดยที่ผมไม่เคยทำและไม่เคยเป็น
ดังนั้นขอทบทวนสาระสำคัญที่นำเสนอข้อมูลต่อไปนี้
@@@@@@@
1. อโยธยาเมืองต้นกำเนิดคนไทย, ภาษาไทย, เมืองไทย
ประเด็นนี้ต้องทบทวนประวัติศาสตร์ไทยฉบับเดิมของราชการไทย ดังต่อไปนี้
กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ถูกสร้างขึ้นใหม่ในการเมืองแบบรวมศูนย์ เมื่อมากกว่า 100 ปีมาแล้ว จากนั้นถูกสถาปนาเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยเพื่อใช้ครอบงำสังคมไทย ผ่านสถานศึกษาทุกระดับ และผ่านสื่อสารพัดทั้งของราชการและของเอกชน ยังมีอิทธิพลสืบเนื่องจนทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้างใหม่เรื่องกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย เสมือนเรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หมายถึงคิดต่างไม่ได้ หรือคัดค้านไม่ได้ว่าสุโขทัย “ไม่ใช่” แห่งแรก หากละเมิดหรือคิดต่างจะถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน เท่ากับต้องอยู่ยาก
กรุงสุโขทัย “ไม่ใช่” ราชธานีแห่งแรกของไทย ถูกค้นพบโดยนักค้นคว้าและนักวิชาการทั้งไทยและสากล หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การเมืองแบบประชาธิปไตย
(1.) ไม่พบหลักฐานวิชาการสนับสนุนว่ากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย
(2.) ที่ว่ากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ถูกสร้างขึ้นลอยๆ เพื่อหวังผลโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติ” เรื่องคนไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์
(3.) กรุงสุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย ถูกสร้างทางการเมืองให้เป็น “รัฐในอุดมคติ” แต่ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือทางวิชาการ ในที่สุดกรุงสุโขทัยกลายเป็น “แดนเนรมิต” ที่ตลกขบขันของวงวิชาการสากล
กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย มีเหตุจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลักฐานวิชาการหลายอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ศรีศักร วัลลิโภดม นักปราชญ์สยามประเทศ (บรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) ประมวลข้อมูลทั้งหมดเป็นบทความวิชาการเมื่อ 42 ปีที่แล้ว หรือ พ.ศ. 2524 เรื่อง ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ พ.ศ. 2524 หน้า 5-14)
(4.) หลักฐานวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา สนับสนุนหนักแน่นว่าอโยธยาเก่าแก่กว่าสุโขทัย ดังนั้นอโยธยาเป็นเมืองตั้งต้นคนไทย, ภาษา ไทย, และประเทศไทย
(5.) ชนชั้นนำต้องการให้สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ถ้ายอมรับอโยธยาเป็นเมืองมีอายุเก่าแก่กว่าก็เท่ากับสุโขทัยไม่เป็นราชธานีแห่งแรก ย่อมกระทบเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่เพิ่งสร้าง ได้แก่ พ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทย ฯลฯ
ดังนั้นเมืองอโยธยาต้องถูกด้อยค่าและถูกบังคับสูญหายจากความทรงจำ ทำให้สังคมไม่รู้จัก หรือรู้จักน้อยเกี่ยวกับเมืองอโยธยา ด้วยการไม่กล่าวถึงเมืองอโยธยาในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย
@@@@@@@
• ไม่มีอีกแล้วในหนังสือกรมศิลปากรว่า “สุโขทัยราชธานีแห่งแรก”
“สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทยไม่มีในเล่มนี้” พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิของกรมศิลปากร บอกผู้ฟังเมื่อหลายปีมาแล้วในงาน “เปิดตัว” หนังสือสุโขทัยเมืองพระร่วง (กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ. 2562) ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เท่ากับจะให้หมายความว่า “สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย”
“สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย” ยังถูกตัดออกไปไม่มีให้เห็นในงานอื่นๆ ของกรมศิลปากร ดังนี้
1.“สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย” ไม่มีให้เห็นอีกแล้วในงานนิทรรศการพิเศษของกรมศิลปากร เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช 2562
2.“สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย” ไม่มีให้เห็นอีกแล้วในหนังสือเล่มล่าสุดของกรมศิลปากร ประกอบนิทรรศการพิเศษฯ เรื่อง “นครรัฐไทยบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม-25 ตุลาคม 2562
เมื่อหลายปีก่อน กรมศิลปากรพยายามหลีกเลี่ยงวลี “สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย” แต่ไปไม่สุด เพราะยังออกอาการเขื่องๆ อย่างคลุมเครือโดยใช้ข้อความว่า “สุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกที่ถือว่าเป็นอาณาจักรของคนไทย” ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย (กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2558 หน้า 76)
อาณาจักร เป็นคำแสดงความหมายพื้นที่อำนาจที่มีกว้างขวางเกินประมาณ เช่น อาณาจักรโรมัน เป็นต้น แต่สุโขทัยมีพื้นที่อำนาจแคบๆ ระดับรัฐหรือนครรัฐเท่านั้น (ยังห่างชั้นคำว่าอาณาจักร) แต่ประวัติศาสตร์ไทย มัก “เว่อร์” เรียกอาณาจักรทุกแห่งนอกจากนั้นช่วงเวลาร่วมสมัยมีหลายรัฐที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง ได้แก่ รัฐหลวงพระบาง เป็นต้น
ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 กรมศิลปากรไม่เรียกอีกแล้วว่าสุโขทัยเป็น “อาณาจักรแรกๆ” แต่เรียก “รัฐสุโขทัย” (ในหนังสือ นครรัฐไทยบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2562 หน้า 39) เท่ากับกลับคืนอยู่ในร่องในรอยทางวิชาการสากล
@@@@@@@
• อโยธยาเป็นเมืองตั้งต้นคนไทย, ภาษาไทย, วัฒนธรรมไทย
ทั้งนี้เพราะเมืองอโยธยามีความเป็นมาเก่าแก่ตั้งแต่ราว พ.ศ. 1600-1700 พบวรรณกรรมภาษาไทยราว พ.ศ. 1778 [เมืองอโยธยาเก่าแก่กว่าเมืองสุโขทัยนับร้อยปี]
(1.) คนไทย มาจากการประสมประสานของคน “ไม่ไทย” ที่พูดภาษาไทย, มีวัฒนธรรมไทย, เรียกตนเองว่าไทย
คน “ไม่ไทย” หมายถึง คนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ทั้งในและนอกอุษาคเนย์ ได้แก่ ลาว, มอญ, เขมร, มลายู, จีน, อินเดีย, และไท-ไต ซึ่งต่างมีภาษาพูดของตนเอง เป็นภาษาต่างๆ กัน จึงต้องใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางทางการค้าภายใน ครั้นนานไปเมื่อภาษาไทยมีอำนาจ ก็ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน แล้วเรียกตนเองว่าไทย พบหลักฐานเป็นเอกสารสมัยอยุธยา
[คนไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ ไม่มีจริงในโลก แต่ถูกสร้างใหม่สมัยรัตนโกสินทร์ ปลายแผ่นดิน ร.5 แล้วถูกครอบงำทำให้เชื่องมงายว่าประชากรเมืองสุโขทัยเป็นคนไทยแท้ สายเลือดบริสุทธิ์ แต่จารึกสมัยสุโขทัยไม่พบคนเรียกตนเองว่าไทย ตลอดจนบริเวณลุ่มน้ำทางตอนใต้ของจีนก็ไม่พบคนเรียกตนเองว่าไทย]
(2.) ภาษาไทย หมายถึง ภาษาตระกูลไท-ไต (จากตอนใต้ของจีน) ที่ผสมกลมกลืนกับภาษาลุ่มน้ำเจ้าพระยา (คือ ภาษาลาว, ภาษามอญ, ภาษาเขมร, ภาษามลายู, ภาษาบาลี-สันสกฤต, ภาษาจีน เป็นต้น) แล้วเรียกใหม่ว่า "ภาษาไทย" จากนั้นแพร่หลายไปทุกทิศทาง เพราะเป็นภาษากลางทางการค้าและการเผยแผ่ศาสนาพุทธ เถรวาท แบบลังกา
[ภาษาไทยเมืองอโยธยาแพร่หลายขึ้นไปเมืองสุโขทัยตามการเผยแผ่ศาสนาพุทธ เถรวาท แบบลังกา ที่มีศูนย์กลางอยู่เมืองอโยธยา ซึ่งพบหลักฐานเอกสารว่าพระสงฆ์เมืองสุโขทัยลงไปศึกษาพุทธศาสนา เถรวาท แบบลังกา ในสำนักสงฆ์เมืองอโยธยา ส่วนจารึกพ่อขุนรามคำแหง “ไม่สุโขทัย” แต่เป็นวรรณกรรมรัตนโกสินทร์ แผ่นดิน ร.3 ทำโดย ร.4]
(3.) วัฒนธรรมไทย หมายถึง วัฒนธรรมไท-ไต (จากตอนใต้ของจีน) ผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมลุ่มน้ำเจ้าพระยา (ได้แก่ วัฒนธรรมลาว, มอญ, เขมร, มลายู, จีน, อินเดีย เป็นต้น)
วัฒนธรรมไทยที่พบบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาหลังการประสมประสาน ได้แก่ ความเชื่อแถน (ผีฟ้า) พบในโองการแช่งน้ำเรียกขุนแผน, เทคโนโลยีทำนาดำ หรือทำนาทดน้ำ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังพบอีกหลายอย่างตั้งต้นที่เมืองอโยธยา ดังนี้
- เถรวาทไทย มีกำเนิดในอโยธยา มาจากเถรวาทแบบลังกา ผสมศาสนาผีกับพราหมณ์ (แบบละโว้) แล้วแผ่ขึ้นไปเมืองสุโขทัยและบ้านเมืองอื่นๆ
- วรรณกรรมไทย มีกำเนิดในอโยธยา เขียนเป็นภาษาไทย ด้วยอักษรเขมร (หรืออักษรขอม) เรียก “ขอมไทย” เป็นต้นทางวรรณกรรมภาษาไทย และต่อไปคืออักษรไทย
- สมุดไทย มีพัฒนาการในอโยธยา ทำจากต้นข่อย เรียกสมุดข่อย ใช้เขียนวรรณกรรมไทย ต่อมาเรียกสมุดไทย
- สรรเสริญกษัตริย์ดุจพระรามในรามเกียรติ์ มีกำเนิดในอโยธยา ก่อนหน้านั้นรัฐละโว้นับถือพระกฤษณะ (ไม่ยกย่องพระราม)
- กรุงศรีอยุธยา หรือ เมืองอยุธยา มีต้นกำเนิดจากเมืองอโยธยา
- กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ มีต้นกำเนิดจากเมืองอโยธยา
- ประเทศไทย มีต้นกำเนิดจากเมืองอโยธยา
@@@@@@@
• ความเป็นไทยตั้งต้นอโยธยา
“ไทย” ไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ และเชื้อชาติไม่มีในโลก (ดีเอ็นเอตรวจเชื้อชาติไม่ได้) ดังนั้นไม่มีเชื้อชาติไทยแท้สายเลือดบริสุทธิ์
แท้จริงแล้ว “ไทย” เป็นชื่อสมมุติททางวัฒนธรรม ซึ่งใครๆ ในโลกกลายตนเป็นไทยได้เสมอ และพบตลอดหลายพันปีผ่านมาจนปัจจุบัน รวมทั้งยังมีอีกต่อไปไม่จบ พบหลักฐานจำนวนมาก เช่น
- ท่านเฉกอะหมัด มีกำเนิดเป็นชาวเปอร์เซีย (อิหร่านโบราณ) เดินเรือค้าขายถึงอยุธยา มีฐานะมั่งคั่ง มีอำนาจใหญ่โตสืบลูกหลานพูดภาษาไทย รับวัฒนธรรมไทย กลายตนเป็นไทย ได้ชื่อสกุล “บุนนาค” ทุกวันนี้
- คนปู้อี (เมืองกุ้ยติ้ง มณฑลกุ้ยโจว) พูดภาษาปู้อี (ตามที่มีผู้เขียนอ้างไว้) ในตระกูลภาษาไท-ไต มีวัฒนธรรมปู้อีในตระกูลวัฒนธรรมไท-ไต เรียกตนเองว่าปู้อี ไม่เรียกตนเองว่าไทย เพราะไม่พูดภาษาไทย และไม่รับวัฒนธรรมไทย แต่ต้องยกย่องเป็นบรรพชนคนไทยสายแหรกหนึ่ง (ในจำนวนหลายสายแหรก “ร้อยพ่อพันแม่”)
- รวมทั้งคนทวารวดี, คนศรีวิชัย (สมมุติว่ามีจริง) เป็นชาติพันธุ์อุษาคเนย์ด้วยกัน (แต่ไม่ใช่คนไทย) ที่ล้วนเป็นบรรพชนคนไทย เพราะสืบสายแหรกเป็นประชากรอโยธยา แล้วพูดภาษาไทย และบางพวกกลายตนเป็นไทย
2. รถไฟความเร็วสูง ผ่าซีกเมืองอโยธยา
ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจแผนผังและแผนที่แสดงอยุธยาอยู่บริเวณเกาะเมือง ส่วน อโยธยาอยู่นอกเกาะเมืองด้านตะวันออก บริเวณสถานีรถไฟอยุธยา ดังนั้น ทางรถไฟความเร็วสูงทับซ้อนทางรถไฟสมัย ร.5 “ผ่าซีกเมืองอโยธยา” (ไม่ใช่ผ่ากลางเมืองอย่างที่เป็นวาทกรรมใส่ร้าย)
“รถไฟความเร็วสูงเลี่ยงไป ส่วนสถานีรถไฟอยุธยาอยู่ที่เดิม” เป็นแนวคิดตั้งต้นจากกรมศิลปากรกับคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก จึงไม่ใช่แนวคิดตั้งต้นของประชาชนและนักวิชาการ แต่ประชาชนและนักวิชาการจำนวนนับร้อยร่วมลงชื่อพร้อมจดหมายเปิดผนึกสนับสนุนโครงการรถไฟความเร็วสูง ผ่านพระนครศรีอยุธยา โดยแยกที่ตั้งสถานีรถไฟออกจากกัน ตามความเห็นของกรมศิลปากร ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2564
สถานีรถไฟอยุธยา อยู่เมืองเก่าอโยธยาที่เดิมตามปกติ (ไม่ย้ายที่ตั้ง) สถานีรถไฟความเร็วสูง แยกไปต่างหาก เช่น อยู่เมืองใหม่อยุธยา (สายเอเชีย) หรือเลี่ยงไปยังสถานีรถไฟถัดออกไปซึ่งอยู่ในเขตพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้มีรายงานการประชุมทางราชการ จะคัดสาระสำคัญมาเป็นพยานดังต่อไปนี้
@@@@@@@
• ความเห็นกรมศิลปากร พ.ศ. 2563
กรมศิลปากรบอกกระทรวงคมนาคมว่าพื้นที่จะสร้างสถานีฯ
(1.) เป็นแหล่งโบราณสถานอโยธยา และใกล้พื้นที่มรดกโลก จึงขอให้หลีกเลี่ยง
(2.) ยูเนสโกห่วงกังวลถึงผลกระทบต่อพื้นที่มรดกโลกอยุธยาและเมืองบริวาร (คืออโยธยา)
รายงานการประชุมหารือกรณีสถานีอยุธยาของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร ชั้น 4 อาคารกรมศิลปากร เทเวศร์ กรุงเทพมหานคร วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 น.) ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย
(1.) ฝ่ายกรมศิลปากร (อธิบดีฯ)
(2.) ฝ่ายกระทรวงคมนาคม (รองปลัดกระทรวงฯ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางราง) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายสถาพร เที่ยงธรรม (ผู้อำนวยการกองโบราณคดี กรมศิลปากร) แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการประชุมคณะกรรมการวิชาการเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 ได้พิจารณากรณีสถานีอยุธยา ของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา แล้วมีมติดังนี้
1. แจ้งการรถไฟแห่งประเทศไทยเรื่องพื้นที่ที่ประสงค์จะก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงนั้น อยู่ในพื้นที่โบราณสถานอโยธยา ซึ่งปรากฏร่องรอยโบราณสถานสําคัญ อาคารสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยาเป็นโบราณสถานซึ่งอยู่ในระหว่างดําเนินการประกาศขึ้นทะเบียน การรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากรก่อน จึงจะดําเนินการก่อสร้างได้
2. กรมศิลปากรพิจารณารูปแบบสถานีรถไฟความเร็วสูงที่นําเสนอแล้ว มีความเห็นดังนี้
2.1 ที่ตั้งของสถานีรถไฟความเร็วสูงอยู่ใกล้พื้นที่มรดกโลกพระนครศรีอยุธยา การก่อสร้างสมควรคํานึงถึงบริบทความสําคัญของพื้นที่ และสมควรพิจารณาทางเลือกในการออกแบบสถานีอีกครั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณสถาน เช่น การให้ระบบรางผ่านลงใต้ดิน หรือให้ผ่านทางลอดที่กดลงใต้ดิน (คลองแห้ง) หรือพิจารณาเบี่ยงแนวเส้นทางออกไปเป็นเส้นทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อโบราณสถาน หรือย้ายสถานที่ตั้งสถานีรถไฟอยุธยาจากบริเวณเดิมไปยังสถานีรถไฟอยู่ถัดออกไป เช่น สถานีรถไฟบ้านม้า (ทางทิศเหนือ) หรือสถานีรถไฟบ้านโพธิ์ (ทางทิศใต้)
2.2 ในแง่สถาปัตยกรรม เห็นว่ารูปแบบอาคารสถานีมีขนาดใหญ่ ผืนหลังคาผืนใหญ่เป็นผืนเดียวไม่มีการลดทอนส่วน อาจมีผลกระทบต่อคุณค่าความเป็นมรดกโลกพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้อาคารสถานีรถไฟความเร็วสูงที่โอบล้อมโบราณสถานสถานีรถไฟเดิมมีโครงสร้างคานคร่อมผ่านข้ามไปมา การออกแบบไม่ได้ส่งเสริมหรือให้ความสําคัญกับคุณค่าของโบราณสถานสถานีเดิม จึงไม่เห็นด้วยกับรูปแบบสถานีความเร็วสูงที่นําเสนอดังกล่าว
2.3 รถไฟความเร็วสูงในเส้นทางตามโครงการฯ ดังกล่าว มีหลายพื้นที่ที่ผ่านเข้าไปใกล้เขตที่ตั้งของโบราณสถาน เช่น โบราณสถานสถานีรถไฟบางปะอิน ทําให้โบราณสถานได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกันกับสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยา ดังนั้น จึงขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยส่งรายละเอียด รูปแบบร่างและอาคารสถานีในแนวเส้นทางเดินรถไฟความเร็วสูงตลอดทั้งเส้นทางให้กรมศิลปากรพิจารณาด้วย ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจมีต่อโบราณสถาน
3. ให้แจ้งข้อคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบต่อโบราณสถานในบริบทของมรดกโลกของการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงพระนครศรีอยุธยา ต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกด้วย และแจ้งสํานักงานนโยบายและแผนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติฯ เพื่อพิจารณาดําเนินการที่เกี่ยวข้อง
นายสถาพร เที่ยงธรรม ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าศูนย์มรดกโลก องค์การยูเนสโก ได้มีหนังสือแจ้งมายังผู้แทนประเทศไทยเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลถึงผลกระทบของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่มีต่อมรดกโลก นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร โดยได้แจ้งให้รัฐบาลไทยจัดส่งรายละเอียดการดําเนินงานไปยังศูนย์มรดกโลก และกําหนดให้รัฐบาลไทยทําการศึกษาผลกระทบต่อมรดกทางวัฒนธรรม หรือ HlA (Heritage Impact Assessment) ด้วย
นอกจากนั้น นางสาวมนัชญา วาจก์วิศุทธิ์ ผู้อํานวยการกลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน สํานักสถาปัตยกรรม ได้แจ้งที่ประชุมว่า อย่าเพิ่งตัดประเด็นในการพิจารณาตําแหน่งที่เหมาะสมในการสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยพิจารณาทางเลือกอื่นบริเวณสถานีบ้านม้าหรือสถานีบ้านโพธิ์ ซึ่งอยู่ถัดไปทางด้านเหนือและใต้ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับโบราณสถานและแหล่งมรดกโลกพระนครศรีอยุธยา
@@@@@@@
• มติคณะกรรมการแห่งชาติฯ พ.ศ. 2564
คณะกรรมการแห่งชาติฯ รายงานนายกฯ ว่ามีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาหลีกเลี่ยงพื้นที่อโยธยาซึ่งเป็นเมืองบริวารมรดกโลก อยุธยา
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกจดหมายด่วนที่สุด (ลงนามโดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก) รายงานนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เรื่องการดําเนินงานการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงสถานีรถไฟอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา [ที่ ทส (กอม) 1003/100] ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า ศูนย์มรดกโลกในฐานะหน่วยประสานงานกลางเกี่ยวกับมรดกโลก ภายใต้องค์การยูเนสโก มีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงสถานีรถไฟอยุธยาฯ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และพื้นที่ใกล้เคียง
จึงขอให้ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก (Heritage Impact Assessments, HlAs) ก่อนการดําเนินการ และหารือกับศูนย์มรดกโลกก่อนที่จะเกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้
2. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พิจารณาการดําเนินงานการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงสถานีรถไฟอยุธยาฯ ซึ่งมีแนวเส้นทางการดําเนินงาน ระดับความสูงของสันรางรถไฟ และรูปแบบอาคารสถานีที่มีขนาดใหญ่ อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่แหล่งมรดกโลก
จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงสถานีรถไฟอยุธยาฯ ในทางเลือกแนวทางที่ 1 การก่อสร้างอุโมงค์ลอดผ่านพื้นที่มรดกโลก หรือแนวทางที่ 2 การเปลี่ยนเส้นทางใหม่ โดยอ้อมพื้นที่มรดกโลก
โดยมอบหมายให้กรมศิลปากร หารือกรมการขนส่งทางราง และการรถไฟแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการดําเนินการจัดทํารายงาน HIAs นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งให้นําความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิและคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาจัดทํา HIAs
ในการนี้ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม หารือกับกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบแหล่งมรดกโลก นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เกี่ยวกับแนวเส้นทางระดับความสูงของสันรางรถไฟ และตัวอาคารสถานี เพื่อลดผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลกก่อนการดําเนินการใดๆ
@@@@@@@
• หนังสือจากสำนักนายกฯ 2564
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล มีหนังสือ ที่ นร. 0403 (กน) 8585 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เรื่องการดำเนินงานก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงสถานีรถไฟอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดังนี้
ด้วย รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก กราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงสถานีรถไฟอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอาจส่งผลพระทบกับพื้นที่แหล่งมรดกโลก รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้นำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีบัญชามอบหมายให้กระทรวงคมนาคม หารือกับกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบแหล่งมรดกโลก นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เกี่ยวกับแนวเส้นทางระดับความสูงของสันรางรถไฟและตัวอาคารสถานีรถไฟอยุธยา เพื่อลดผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลกก่อนการดำเนินการใดๆ ตามที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอThank to :
https://www.matichon.co.th/columnists/news_4228833วันที่ 12 ตุลาคม 2566 -17:28 น. | ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2023, 08:33:15 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ