« เมื่อ: มิถุนายน 19, 2024, 05:38:00 am »
0
.
สัตว์มีสำนึกตระหนักรู้เหมือนคน หรือไม่.?
สำหรับเหล่านักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แล้ว ชาร์ลส์ ดาร์วิน นั้นเกือบจะมีสถานะเสมือนเทพเจ้า เนื่องมาจากผลงานการค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แต่แนวคิดของเขาที่ชี้ว่า สัตว์ก็มีจิตสำนึกและความตระหนักรู้เหมือนกับคน ยังคงไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญยอมรับ ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
ดาร์วินเคยเขียนเอาไว้ว่า “ไม่มีความแตกต่างในระดับพื้นฐานระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ในเรื่องของความสามารถที่จะรับรู้ความเจ็บปวดและความรื่นรมย์ รวมทั้งความสุขหรือความเศร้า”
ทว่าความคิดเห็นของเขาที่ระบุว่าสัตว์สามารถรู้คิดและรู้สึกได้นั้น ถูกหลายคนมองว่าเป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอยที่ไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมศาสตร์ของสัตว์ส่วนใหญ่
การทึกทักเอาว่าสัตว์มีสำนึกตระหนักรู้ โดยดูจากปฏิกิริยาตอบสนองของพวกมันเป็นหลักนั้น ถือเป็นความผิดบาปร้ายแรงทางวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่า การใช้บุคลิกลักษณะ, ความรู้สึก, และพฤติกรรมในแบบของมนุษย์มาตัดสินสัตว์นั้น เท่ากับปราศจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ และอย่างไรเสียเราก็ไม่มีทางจะเรียนรู้หรือทดสอบสิ่งที่อยู่ในใจของสัตว์ได้
อย่างไรก็ตาม น่าสงสัยว่าหากเรามีหลักฐานใหม่ ๆ ที่ชี้ว่าสัตว์สามารถรับรู้และคิดวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ นั่นจะหมายความว่า อันที่จริงพวกมันมีความตระหนักรู้ไม่ต่างจากมนุษย์ใช่หรือไม่
ปัจจุบันนักวิจัยได้พิสูจน์ทราบอย่างแน่นอนแล้วว่า ผึ้งสามารถนับเลข, จดจำใบหน้าคน, และเรียนรู้การใช้เครื่องมือได้ โดยศาสตราจารย์ลาร์ส จิตตกา จากมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ทำการทดลองสำคัญว่าด้วยสติปัญญาของผึ้งมาหลายครั้ง บอกกับบีบีซีว่า
“หากผึ้งฉลาดได้ขนาดนั้น บางทีพวกมันอาจจะคิดและรู้สึกถึงบางอย่างที่เป็นรากฐานของความตระหนักรู้ได้” ศ. จิตตกาอธิบาย
@@@@@@@
การทดลองหลายครั้งของ ศ.จิตตกา ยังแสดงให้เห็นว่า ผึ้งมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรง ทั้งยังดูเหมือนว่าสามารถเล่นเกมเช่นกลิ้งลูกบอลไม้ขนาดเล็กได้ โดยศ.จิตตกาบอกว่า พวกมันแสดงออกถึงความสนุกสนานขณะทำกิจกรรมดังกล่าว
ผลวิจัยเหล่านี้ทำให้ ศ. จิตตกา ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลและได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในแวดวงสัตววิทยา ถึงกับเอ่ยปากด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ชัดเจน และชวนให้เกิดการอภิปรายถกเถียงอย่างยิ่งว่า “ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่เรามีในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ผึ้งจะมีความตระหนักรู้”
ไม่ใช่แค่ผึ้งเท่านั้นที่มีศักยภาพดังกล่าว เหล่าผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ ต่างก็พากันออกมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องคิดทบทวนเรื่องนี้อีกสักครั้ง เนื่องจากมีหลักฐานใหม่ที่มากมายท่วมท้น จนอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ว่าด้วยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความตระหนักรู้ของสัตว์ขึ้นได้
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่มีความเห็นในแนวทางนี้ ได้แก่ ศ.โจนาธาน เบิร์ช จากสำนักวิชาเศรษฐศาสตร์แห่งกรุงลอนดอนหรือแอลเอสอี (LSE) โดยเขาบอกว่า “มีนักวิจัยจากหลากหลายสาขาวิชา ที่เริ่มจะกล้าตั้งคำถามเกี่ยวกับความตระหนักรู้ของสัตว์ รวมทั้งออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยว่า งานวิจัยของพวกเขาสามารถจะมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ได้อย่างไร”
หมึกยักษ์รู้จักหลีกหนีความเจ็บปวด หมึกกระดองจดจำเหตุการณ์ในอดีตได้ กุ้งเครย์ฟิชสามารถแสดงความวิตกกังวลเมื่อถูกไฟฟ้าช็อต และปูเอาชนะความกลัวแสงจ้าได้ เมื่อมันถูกไฟฟ้าช็อตในที่มืด
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม คนที่คิดว่าน่าจะมีการค้นพบที่เป็นข้อสรุปในเร็ววันอาจจะต้องผิดหวัง เพราะการมีหลักฐานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังนำไปสู่ความปั่นป่วนแบบคลื่นใต้น้ำภายในวงการ โดยเริ่มมีกระแสเรียกร้องให้ปฏิวัติแนวคิดดั้งเดิมของสาขาวิชานี้เสียด้วย
ศ. เบิร์ชบอกว่า ผลการค้นพบมากมายในงานวิจัยเท่าที่มีในปัจจุบันนั้น อาจยังไม่เพียงพอจะพิสูจน์แบบสรุปฟันธงลงไปได้ว่าสัตว์มีความตระหนักรู้หรือไม่ แต่โดยรวมแล้วหลักฐานดังกล่าวมีน้ำหนักเพียงพอจะพูดได้ว่า “มีความเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริง” ที่สัตว์จะมีสำนึกตระหนักรู้
ความเห็นดังกล่าวไม่ได้หมายถึงแค่สัตว์ชั้นสูง อย่างเช่นลิงใหญ่และโลมาซึ่งมีพัฒนาการในขั้นสูงเหนือกว่าสัตว์อื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัตว์ที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า อย่างเช่นงู, หมึกยักษ์, ปู, ผึ้ง, หรือแม้กระทั่งแมลงหวี่ โดยกลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ต้องการเงินทุนสำหรับการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพี่อให้ทราบแน่ว่าสัตว์ส่วนใหญ่มีความตระหนักรู้หรือไม่ และถ้ามีมันอยู่ในระดับใด
อย่างไรก็ตาม คุณอาจสงสัยว่าสำนึกตระหนักรู้ (consciousness) คืออะไรกันแน่ ซึ่งความงุนงงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยได้นิยามความหมายของคำนี้ไว้แตกต่างกัน
@@@@@@@
เริ่มจากช่วงศตวรรษที่ 17 เรอเน เดส์การ์ตส์ นักปรัชญาคนสำคัญชาวฝรั่งเศสได้กล่าวไว้ว่า “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่” (I think, therefore I am) ทั้งยังกล่าวด้วยว่า “ภาษาเป็นเครื่องหมายอันแน่นอนเพียงประการเดียว ที่แสดงถึงความคิดซึ่งหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย”
แต่ทว่าปรัชญาที่ชาญฉลาดเฉียบคมของเดส์การ์ตส์ ได้สร้างความสับสนคลุมเครือให้กับให้กับแวดวงวิชาการมานานหลายร้อยปี โดยศ.อนิล เซธ จากมหาวิทยาลัยซัสเซกซ์ของสหราชอาณาจักร ผู้ปลุกปล้ำอยู่กับการตีความนิยามของคำว่า “สำนึกตระหนักรู้” มาตลอดชีวิตการทำงานของเขา อธิบายกับบีบีซีว่า
“ภาษา, สติปัญญา, และความตระหนักรู้ สามสิ่งนี้ถูกเรียกว่าตรีเอกานุภาพอันปราศจากความศักดิ์สิทธิ์ (unholy trinity) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของขบวนการพฤติกรรมนิยม (behaviourism) ที่ก่อตัวขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สมาชิกของขบวนการนี้เชื่อว่า ความคิดและความรู้สึกไม่สามารถจะหยั่งวัดได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และควรจะมองข้ามไปเสียเมื่อทำการวิเคราะห์พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์จำนวนมากถูกฝึกฝนมาภายใต้แนวคิดนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่ยึดถือมนุษย์เป็นศูนย์กลางน้อยลง “เพราะเรามองสิ่งต่าง ๆ ผ่านสายตาของมนุษย์ เราจึงมีแนวโน้มจะเชื่อมโยงความตระหนักรู้เข้ากับภาษาและสติปัญญา แต่แค่มันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอในตัวเรา ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องอยู่คู่กันในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไปด้วย” ศ. เซธกล่าว
ปลาพยาบาลรู้ได้ว่าเงาในกระจกคือตนเอง ปลาม้าลายสามารถแสดงความอยากรู้อยากเห็น ผึ้งรู้จักเล่นเกมกลิ้งลูกบอลไม้เพียงเพื่อความสนุกสนานได้ แมลงหวี่มีปัญหาการนอนหลับเมื่อถูกแยกตัวโดดเดี่ยวจากฝูงผู้เชี่ยวชาญบางรายถึงกับวิพากษ์วิจารณ์การใช้คำว่า “สำนึกตระหนักรู้” อย่างรุนแรง โดยศ.สตีแวน ฮาร์นาร์ด จากมหาวิทยาลัยควิเบกของแคนาดา กล่าวอธิบายถึงจุดยืนของเขาว่า “มันเป็นคำที่คนจำนวนมากใช้กันติดปากด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่อันที่จริงแล้ว แต่ละคนก็หมายความถึงแต่ละสิ่งที่ต่างกันออกไป มันจึงไม่ชัดเจนเลยว่าคำนี้หมายความว่าอะไรกันแน่”
ศ. ฮาร์นาร์ดบอกว่า คำที่ดีกว่าและตรงกับความหมายที่ถูกต้องมากกว่า น่าจะเป็นคำว่า “ความสามารถรับรู้” (sentience) ซึ่งก็คือ “การรู้สึกได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งรู้สึกเจ็บเมื่อถูกหยิก, รับรู้ถึงสีแดงเมื่อมองเห็นมัน, รู้สึกหิว, รู้สึกเหนื่อย, มันคือทุกสิ่งที่คุณรู้สึกได้”
แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องสัตว์มีความตระหนักรู้ อย่าง ดร. โมนิก อูเดล จากมหาวิทยาลัยออรีกอนสเตตของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์สายพฤติกรรมนิยมนั้น เธอบอกว่าการตีความและให้นิยามแบบใหม่ที่กว้างขวางกว่าเดิมกับคำที่เป็นปัญหา จะช่วยสร้างความแตกต่างขึ้นได้
“หากเราศึกษาพฤติกรรมสัตว์ที่โดดเด่นในแบบต่าง ๆ เช่นทำการทดสอบว่า สัตว์ชนิดไหนรู้จักเงาของตนเองในกระจกบ้าง มีสัตว์กี่ชนิดที่สามารถวางแผนการล่วงหน้าหรือจดจำเหตุการณ์ในอดีตได้ เราสามารถจะทำการทดลองเพื่อตอบคำถามเหล่านี้ด้วยการสังเกต ซึ่งจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ถูกต้องจากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด” ดร.อูเดลกล่าว
“หากเราจะนิยามความตระหนักรู้ ว่าเป็นผลรวมของพฤติกรรมที่สามารถตรวจวัดได้ดังกล่าว ดังนั้นสัตว์ที่ผ่านการทดสอบให้ทำงานบางอย่างในรายการเหล่านี้ ก็อาจมีบางสิ่งที่เราเลือกจะเรียกว่าความตระหนักรู้อยู่”
@@@@@@@
ดร. อูเดล ยังกล่าวเสริมว่า แม้นี่จะเป็นนิยามที่แคบกว่าของกลุ่มนักวิจัยพฤติกรรมสัตว์คลื่นลูกใหม่ แต่ก็เป็นการแสดงความเห็นแย้งด้วยความเคารพในแนวทางของวิทยาศาสตร์ “การที่มีคนตั้งคำถามหรือแสดงท่าทีระแวดระวังกับแนวคิดของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหลากหลายแล้ว ความก้าวหน้าก็จะเกิดขึ้นได้ยาก”
ด้าน ศ. คริสติน แอนดรูส์ นักปรัชญาผู้เชี่ยวชาญด้านความคิดจิตใจของสัตว์ จากมหาวิทยาลัยยอร์กในนครโทรอนโตของแคนาดา แสดงความเห็นว่าควรจะต้องมีการศึกษาวิจัยเรื่องความตระหนักรู้กับสัตว์หลากหลายชนิด ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“ตอนนี้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ทำกับมนุษย์และลิงเท่านั้น ซึ่งมันส่งผลให้เราต้องทำงานหนักขึ้นและยากขึ้นโดยใช่เหตุ เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องความตระหนักรู้ของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบที่ง่ายที่สุดโดยตรง” ศ. แอนดรูส์กล่าว โดยอธิบายเพิ่มเติมว่ามนุษย์และลิงเป็นสัตว์ที่มีความตระหนักรู้ในระดับสูง และสามารถแสดงมันออกมาผ่านการสื่อสารและรับรู้อารมณ์อย่างซับซ้อน ในขณะที่ปลาหมึกและงูอาจมีความตระหนักรู้ด้วยเช่นกัน แต่อยู่ในระดับพื้นฐานที่ต่ำกว่า ทำให้เราละเลยที่จะศึกษาสัตว์กลุ่มนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
ศ. แอนดรูส์ เป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่ผลักดันให้มีการออก “ปฏิญญานิวยอร์กว่าด้วยสำนึกตระหนักรู้ของสัตว์” (New York Declaration on Animal Consciousness) ซึ่งมีการลงนามรับรองกันไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ โดยนักวิจัยทั้งสิ้น 286 ราย โดยข้อความสั้น ๆ จำนวน 4 ย่อหน้าในปฏิญญาระบุว่า การเพิกเฉยละเลยต่อความเป็นไปได้ที่สัตว์จะมีสำนึกตระหนักรู้ ถือเป็นเรื่องที่ “ขาดความรับผิดชอบ” อย่างยิ่ง
“เราควรจะคำนึงถึงความเสี่ยงด้านสวัสดิภาพ และใช้หลักฐานประกอบการพิจารณาเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงเหล่านี้” ข้อความตอนหนึ่งในปฏิญญาระบุ
@@@@@@@
คริส แมกี จากองค์กรวิจัยเพื่อความเข้าใจสัตว์ (Understanding Animal Research) ของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของรัฐและบริษัทเอกชนที่ทำการทดลองกับสัตว์ บอกว่าโดยทั่วไปแล้วคนในวงการนี้ถือว่าสัตว์มีสำนึกตระหนักรู้ ไม่ว่าจะนำมันมาทดลองหรือไม่ก็ตาม และสหราชอาณาจักรมีกฎหมายอนุญาตให้ทำการทดลองกับสัตว์ได้ ก็ต่อเมื่อมันจะให้ประโยชน์ทางการแพทย์ที่ใหญ่หลวงคุ้มค่า เกินกว่าความทุกข์ทรมานของสัตว์ที่เกิดขึ้น
“ปัจจุบันเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนการปฏิบัติต่อสัตว์ด้วยความระมัดระวัง” แมกีกล่าว แต่เขาเน้นย้ำด้วยว่าเรายังขาดความรู้เกี่ยวกับสัตว์หลายประเภท อย่างเช่นสัตว์น้ำเปลือกแข็งที่มีสิบขาแบบกุ้ง, ปู, ล็อบสเตอร์, และกุ้งเครย์ฟิช
“เราไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับประสบการณ์ในการดำรงชีวิตของมัน แม้แต่สิ่งเล็กน้อยอย่างสถานที่ที่พวกมันตาย ซึ่งนี่เป็นเรื่องสำคัญมากในการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาปกป้องคุ้มครองสัตว์เหล่านี้ ไม่ว่าพวกมันจะอยู่จะในห้องปฏิบัติการหรือในธรรมชาติ”
รายงานทบทวนที่นำเสนอต่อรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งจัดทำโดย ศ. เบิร์ชและคณะในปี 2021 ได้ประเมินสัตว์น้ำจำพวก decapod และ cephalopod ซึ่งรวมถึงหมึกกล้วย หมึกยักษ์ และหมึกกระดอง แล้วพบว่ามีหลักฐานยืนยันชัดเจนที่แสดงถึงความสามารถในการรับรู้สิ่งรอบตัวและรู้สึกถึงอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งความเจ็บปวด, ความสุขเพลิดเพลิน, ความหิวกระหาย, ความอบอุ่น, ความรู้สึกสบายตัว, และความตื่นเต้นยินดี ซึ่งรายงานนี้ทำให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรตัดสินใจให้การคุ้มครองสัตว์ชนิดดังกล่าว ในกฎหมายสวัสดิภาพสัตว์ปี 2022
ศ. เบิร์ชกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ปัญหาสวัสดิภาพของสัตว์อย่างปูและหมึกยักษ์ถูกละเลย แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ สามารถสนับสนุนให้สังคมหันมาสนใจกับปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังมากขึ้น”Thank to :
https://www.bbc.com/thai/articles/c3ggy9lypkroโดย พัลลภ โกศ > ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ |18 มิถุนายน 2024