ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธศาสน์นาลันทา : จิตวิญญาณของการเรียนรู้พุทธศาสนาที่ไม่เคยหายไป  (อ่าน 963 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พุทธศาสน์นาลันทา : จิตวิญญาณของการเรียนรู้พุทธศาสนาที่ไม่เคยหายไป

ชาวพุทธไทยต่างคุ้นชื่อ “นาลันทา” (Nalanda) เป็นอย่างดี ว่าเป็น “มหาวิหาร” หรือมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกโบราณ โดยเฉพาะหากใครไปทัวร์สายบุญ “สังเวชนียสถาน” ที่อินเดีย บริษัททัวร์มักจัดให้ไปเยี่ยมชมโบราณนาลันทาด้วยเสมอ

ทว่า สิ่งที่นักแสวงบุญบ้านเราสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับนาลันทาคือการได้ไปกราบไหว้ “หลวงพ่อองค์ดำ” พระพุทธรูปโบราณองค์เดียวที่ยังคงอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งชาวบ้านฮินดูผู้ไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปกราบไหว้กันมาในฐานะ “พระไภรวะไล้ทาน้ำมัน” (เตลิยา ภัณฑาร ไภโร) มาก่อน บวกการตอกย้ำประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่และการโดนทำลายจากมุสลิมจนไม่เหลือซาก ไม่เหลืออะไรเลย

นาลันทาจึงมีเพียงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่รอดการทำลายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ซากอิฐเก่าๆ ชาวบ้านฮินดูที่ไม่รู้จักพระพุทธรูป กับประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้า ทั้งที่จริงมีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะจิตวิญญาณการเรียนรู้ของนาลันทาไม่เคยหายไป ไม่เคยตายหรือถูกทำลาย

มหาวิหารแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ห้าและดำรงอยู่อย่างยาวนานถึงคริสต์ศตวรรษที่สิบสาม ความยิ่งใหญ่ของนาลันทาถูกบันทึกไว้ในเอกสารของนักแสวงบุญหลายท่านว่ามหาวิหารแห่งนี้ทำหน้าที่เป็น “มหาวิทยาลัย” ที่มีคณาจารย์และนักศึกษานับพันนับหมื่น

มีคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง เช่น นาคารชุน ธรรมกีรติ อสังคะ วสุพันธุ อตีศะ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นนักปราชญ์สำคัญของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีนักศึกษาชาวพุทธจากหลายประเทศเดินทางดั้นด้นเพื่อไปศึกษา หนึ่งในนั้นคือพระเสวียนจ้าง หรือพระถังซำจั๋ง พระภิกษุหนุ่มชาวจีนจากต้าถังผู้ได้เป็นถึงอธิการบดีแห่งนาลันทาอันทรงเกียรตินั้นด้วย


@@@@@@@

จากบันทึกของท่านเหล่านี้ เราพบว่ามหาวิทยาลัยนาลันทาแม้ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ก่อตั้งจากฝ่ายมหายาน แต่ก็มีสรรพวิชาที่เปิดกว้าง คือมีการเรียนการสอนมโนทัศน์ของพุทธศาสนาทั้งหีนยาน มหายานและวัชรยาน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาหลักปรัชญานอกพุทธศาสนา ไวยากรณ์ ตรกกวิทยา การแพทย์ ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ รสายนเวท ฯลฯ

ในอีกแง่มุมหนึ่ง แม้มหาวิทยาลัยนาลันทาจะเปี่ยมไปด้วยนักวิชาการที่ทรงคุณ แต่นักวิชาการเหล่านั้น มิได้ศึกษาวิชาการเพียงเพื่อจะอวดอ้างความเก่งกล้าด้านสติปัญญาเท่านั้น ทว่า มีหลายท่านที่เมื่อพบว่า ตนเองหลุดเข้าไปในความหลงใหลทางวิชาการเพียงอย่างเดียว ท่านก็พกเอาความเข้าใจจากนาลันทาออกไปสู่โลกกว้าง ออกจากมหาวิหารไปสู่มหาวิทยาลัยชีวิต เพื่อเรียนรู้ธรรมจากประสบการณ์ตรง เช่น มหาสิทธานาโรปะ ท่านศานติเทวะ เป็นต้น นาลันทาจึงเป็นทั้งคลังปัญญาของพุทธศาสนาโดยเฉพาะในฝ่ายมหายาน และจุดกำเนิดสายธรรมมหาสิทธาแห่งวัชรยานไปในตัว

เมื่อนาลันทามหาวิหารถูกทำลายลงในคริสต์ศตวรรษที่สิบสาม คณาจารย์ นักศึกษา คัมภีร์ และจิตวิญญาณการเรียนรู้ของนาลันทาได้เคลื่อนย้ายไปยังเทือกเขาหิมาลัย มุ่งสู่ดินแดนแห่งหิมะ “ทิเบต” ตำรับตำราจากนาลันทา ความทรงจำ รูปแบบอาราม รูปแบบชีวิตพระและจิตวิญญาณการเรียนรู้จึงยังสืบทอดต่อมาในพุทธศาสนาฝ่ายทิเบตอย่างเป็นระบบ เราจึงยังพอจะเห็นเค้าลางของนาลันทาได้แม้ในปัจจุบัน

ครั้นทิเบตแตก ครูบาอาจารย์ชาวทิเบตได้เดินทางไปยังโลกตะวันตก พบเจอกับเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางวัฒนธรรมที่ต่างจากเดิม แม้อาจไม่สามารถเก็บรักษา “รูปแบบ” เอาไว้ได้ทั้งหมด แต่จิตวิญญาณของนาลันทายังคงไม่หายไปไหน และยังเบ่งบานประสานกับวิทยาการสมัยใหม่บางด้าน เช่น จิตวิทยาและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ค.ศ.1974 เชอเกียม ตรุงปะ ริมโปเช ธรรมาจารย์ชาวทิเบตเริ่มก่อตั้งสถาบันนาโรปะ ในโบลเดอร์ โคโรลาโด สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะพัฒนามาเป็น “มหาวิทยาลัยนาโรปะ” ในภายหลัง ตามนามแห่งมหาสิทธานาโรปะ อดีตคณาจารย์ของนาลันทา

มหาวิทยาลัยแห่งนี้นอกเหนือจากการเรียนพุทธศาสนาอันเปิดกว้าง ยังมีวิชาการด้านจิตวิทยา การศึกษา สิ่งแวดล้อม วรรณกรรม ศิลปะ ฯลฯ ซึ่งเชื่อมโยงกับมิติของการภาวนาภายในอย่างลึกซึ้ง เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยระบุอย่างชัดเจนว่า แรงบันดาลใจของมหาวิทยาลัยนาโรปะมาจากมหาวิทยาลัยนาลันทาในอดีต




ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับการเริ่มก่อตั้งสถาบัน เชอเกียม ตรุงปะ ริมโปเช ได้ก่อตั้ง “คณะกรรมการแปลนาลันทา” (The Nalanda Translation Committee) เพื่อแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในภาษาดั้งเดิมสู่ภาษาอังกฤษ โดยท่านเห็นว่า ภารกิจการงานแปลและการตีพิมพ์หนังสือนับว่าเป็นงานอันสำคัญอย่างยิ่งต่อการสืบทอดคำสอนของพุทธศาสนา เฉกเช่นเดียวกับที่บรรดานักวิชาการแห่งนาลันทา-ทิเบต กระทำในอดีต

เดือนกรกฎาคม ปีพุทธศักราช 2566 ศาสตราจารย์ ดร.สุวรรณา สถาอานันท์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาเถรวาท วิจักขณ์ พานิช และผม ประชุมกันในคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่งย่านทองหล่อ เพื่อจะหาทางก่อตั้งหลักสูตรพุทธศาสนาร่วมสมัยซึ่งมีความแตกต่างจากหลักสูตรพุทธศาสน์ศึกษาที่มีอยู่ทั่วไปทั้งในมหาวิทยาลัยสงฆ์หรือที่อื่น โดยมี “วัชรสิทธา” เป็นผู้ดำเนินการ

ความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การเผชิญความท้าทายของคุณค่าร่วมสมัย เช่น สิทธิและเสรีภาพ ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ฯลฯ เรียกร้องให้การศึกษาพุทธศาสนาจำจะต้องเข้าใจประเด็นเหล่านี้ด้วยความเปิดกว้างและเป็นสากลยิ่งกว่าเดิม ผสานกับความเข้าใจเชิงลึกในทางภาวนา และอาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย นำมาสู่การออกแบบหลักสูตรดังกล่าว

พวกเราถกเถียงพูดคุยจนกระทั่งในที่สุดชื่อหลักสูตร “พุทธศาสน์นาลันทา” ก็เกิดขึ้น ด้วยแรงบันดาลใจของวิจักขณ์จากการศึกษาในมหาวิทยาลัยนาโรปะ รวมถึงแรงบันดาลใจจากจิตวิญญาณการศึกษาของนาลันทาที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาที่ลุ่มลึกทว่าเปิดกว้างและเป็นสากลควรจะมีขึ้นในบ้านเราแล้ว

อันที่จริงในอินเดียก็มีความพยายามจะฟื้นคืนนาลันทา ด้วยการก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยนาลันทา” (Nalanda University) ขึ้นมาใหม่ในรัฐพิหาร แต่ด้วยรูปแบบที่เน้นวิชาการตามระบบมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ทั่วไป ภายใต้การอุปถัมภ์ของรัฐ เราจึงอาจพอตั้งข้อสงสัยได้ว่าจิตวิญญาณแบบนาลันทานั้นยังคงมีอยู่มากน้อยเพียงใด


@@@@@@@

แม้วัชรสิทธาจะไม่ใช่สถานศึกษาที่ได้รับการรับรองจากรัฐ รวมทั้งยังไม่มีสรรพกำลังมากพอที่จะดำเนินการเป็นสถาบันการศึกษาเต็มรูปแบบ แต่ความตั้งใจที่จะสร้างหลักสูตรพุทธศาสน์นาลันทาก็เริ่มดำเนินการแล้วในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา เราเริ่มเปิด Moduleแรก ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจ โดยมีสี่วิชาหลัก

    - วิจักขณ์กับวิชา “ไตรยาน : หินยาน – มหายาน – วัชรยาน” พัฒนาการของพุทธศาสนาในอินเดีย จากมุมมองแบบทิเบต
    - ตามด้วยวิชาของผม “ภารตะทัศน์ : ศาสนาและมโนทัศน์สำคัญในอินเดีย”
    - วิชาที่สาม “What is Theravada?” – ฉันคือใคร? ส่องสะท้อนย้อนดูตนในอัตลักษณ์ความเป็นพุทธเถรวาทของอาจารย์ชาญณรงค์
    - และปิดท้ายด้วย “Buddhist Hermeneutics” : การตีความพุทธศาสน์ ของท่านอาจารย์สุวรรณาที่เพิ่งผ่านไป กับนักเรียน “รุ่น 0” จำนวนเจ็ดคนบวกลบนิดหน่อย

แม้คนเรียนจะไม่มาก แต่ห้องเรียนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา การถามตอบที่น่าสนใจ คำถามที่ม่เคยคิดมาก่อน ซึ่งช่วยให้ทั้งอาจารย์และนักเรียนขัดเกลาปัญญาไปด้วยกัน และยังเชื่อมโยงกับมิติภายในรวมถึงประสบการณ์ของแต่ละคนอย่างลุ่มลึก

เราออกแบบโครงร่างของหลักสูตรไว้คร่าวๆ ว่าจะมีหลาย Module สี่วิชาที่เล่าไปนั้น เป็นการสร้างพื้นฐานความเข้าใจ จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาที่ลึกขึ้น ไปสู่การประยุกต์ที่หลากหลาย ศิลปะและจิตวิทยา จนไปถึงประเด็นแหลมคมร่วมสมัย เช่น สถานการณ์ทางสังคมการเมือง เพศวิถี เป็นต้น

@@@@@@@

อยากชวนให้ติดตามครับ บางท่านอาจเห็นว่า สิ่งที่พวกเราทำอาจดูคล้ายเล่นขายของ คนสอนก็นิดเดียว คนเรียนก็นิดเดียว จะไปมีผลอะไรกับสังคมมากนัก

แต่หลังจากสี่วิชาแรกจบลง ผมกลับมารู้สึกว่า โอ้ สิ่งสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำนวนคนเรียน คือการที่จิตวิญญาณของ “นาลันทา” ซึ่งไม่เคยหายหรือตาย ได้มาปรากฏอยู่ในสังคมไทยมากกว่า

จิตวิญญาณของการศึกษาพุทธศาสนาที่เปิดกว้าง ท้าทาย โอบรับความเป็นสากล สัมพันธ์กับผู้คนธรรมดาๆ ที่ใฝ่รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการเป็นอย่างยิ่ง •


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_779633
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ