.
คนกลัวเมีย | อะไรคือการกลัวเมีย.? กลัวเมียไม่ดีอย่างไร.? | ถ้าไม่มีคนแพ้ จะชนะอย่างไร.?
เรื่องนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากการสนทนากับเพื่อนอนุศาสนาจารย์ทหารบกท่านหนึ่ง เพื่อนอนุศาสนาจารย์ทหารบกท่านนี้เล่าว่า อาจารย์ท่านหนึ่งในหมู่อนุศาสนาจารย์ทหารบก ท่านชอบวิจารณ์การบรรยายธรรมของเพื่อนอนุศาสนาจารย์ด้วยกัน รูปแบบการวิจารณ์ของท่าน ก็คือ
อนุศาสนาจารย์ท่านนี้บรรยายดี แต่มีข้อบกพร่องตรงนั้น อนุศาสนาจารย์ท่านนั้นบรรยายดี แต่มีข้อบกพร่องตรงโน้น วิจารณ์มาถึงอนุศาสนาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านบรรยายธรรมดีมาก หาข้อบกพร่องไม่ได้เลย อาจารย์นักวิจารณ์ท่านนั้น ก็ยังวิจารณ์ว่า "อาจารย์ท่านนั้นบรรยายดี เสียแต่ว่าเป็นคนกลัวเมีย"
เพื่อนอนุศาสนาจารย์ทหารบกที่เล่าเรื่องนี้ ท่านเล่าด้วยลีลาที่จะให้เห็นว่า เป็นคำวิจารณ์ที่คมคาย แต่ผมฟังแล้วเห็นว่า เป็นคำวิจารณ์ที่น่าขบขันมากกว่า
ญาติมิตรฟังแล้วคงจะเห็นตรงกันว่า ข้อบกพร่องที่ยกขึ้นมาอ้างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย กับการบรรยายธรรม ทำนองเดียวกับมีคนวิจารณ์ท่านนายกฯ ประเทศสารขัณฑ์ ว่าท่านบริหารงานดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียว"ชอบกินปาท่องโก๋"
แต่คำว่า “เสียแต่ว่าเป็นคนกลัวเมีย” ก็จุดความคิด ทำให้ผมสงสัยว่า ที่พูดกันว่า “กลัวเมีย” นั้นหมายถึงอะไร
คือ “อะไร” ที่ทำให้เราตัดสินกันว่า ผู้ชายคนนั้นคนนี้เป็นคนกลัวเมีย และการเป็นคนกลัวเมีย (ตามความหมายที่มักเข้าใจกัน) นั้น เป็นข้อเสียหายอย่างไรหรือ จึงถูกมองว่า เป็นความบกพร่องอย่างหนึ่ง ถึงกับนำไปตำหนิเชิงล้อเลียนกันอยู่เนืองๆ
@@@@@@@
หลวงวิจิตรวาทการ ท่านเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าเป็นนิยายเรื่อง “ห้วงรักเหวลึก” หรือว่านิยายเรื่อง “มรสุมแห่งชีวิต” แวะนิดนะครับ “ห้วงรักเหวลึก” เป็นนิยายเรื่องยาว พิมพ์เป็นเล่มขนาดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๔๙๓ ถึง ๓ เล่มหรือ ๕ เล่ม ไม่แน่ใจ แต่ยาวเหยียดทีเดียว อ่านสนุก ให้คติชีวิตดีมากๆ
ส่วน “มรสุมแห่งชีวิต” เป็นนิยายเล่มเดียวจบ น่าอ่านเช่นเดียวกัน (เขียนมาถึงบรรทัดนี้ชักไม่ค่อยแน่ใจว่า เรื่องนี้เป็นนิยายของหลวงวิจิตรฯ หรือเปล่า ญาติมิตรท่านใดแม่น ขอคำรับรองหน่อยนะครับ)
เอาเป็นว่า หลวงวิจิตรวาทการท่านเขียนไว้ก็แล้วกัน ท่านเขียนเป็นใจความว่า
ชายที่มีภรรยาขอให้ทำใจไว้เสมอว่า
- ตอนเช้า ท่านต้องยอมให้ภรรยาท้วงติงแนะนำถึงข้อบกพร่องของท่านทุกเช้าไป
- ตอนกลางวัน ท่านต้องยอมฟังคำบ่นว่าของภรรยาว่า ท่านทำเรื่องนั้นไม่ถูก ทำเรื่องนี้ไม่ควร
- ตอนเย็น ท่านต้องยอมให้ภรรยาตำหนิถึงความบกพร่องที่เกิดขึ้นในบ้านในวันนั้น และขอให้ยอมรับว่า เกิดจากความบกพร่องของท่าน แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ถ้อยคำสำนวนอาจจะไม่ตรงตามนี้นะครับ แต่ใจความหลักๆ เป็นอย่างที่ว่านี้
หลวงวิจิตรวาทการท่านเป็นนักคิดนักเขียน ท่านจะต้องได้ผ่านโลกและเห็นสัจธรรมของชีวิต-โดยเฉพาะชีวิตในครัวเรือน-มาแล้วอย่างกระจ่างแจ้ง หมายความว่า ท่านไม่ได้คาดเดาเอาเองว่า ชีวิตสามีภรรยาน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ท่านจะต้องได้ประสบกับตัวเองมาแล้วอย่างนั้นแน่นอน ท่านจึงเขียนบอกไว้เช่นนั้น
ลองคำนึงกันดูนะครับว่า ทำไมท่านจึงแนะนำให้สามี “ทำใจ” เช่นนั้น
@@@@@@@
ในหลักธรรมเรื่องทิศหก มีคำสอนเรื่องที่สามีควรปฏิบัติต่อภรรยาไว้ด้วย ขออนุญาตยกข้อความจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต มาเสนอไว้ ณ ที่นี้
ก. สามีพึงบำรุงภรรยา ผู้เป็นทิศเบื้องหลัง ดังนี้
1) ยกย่องให้เกียรติสมกับฐานะที่เป็นภรรยา
2) ไม่ดูหมิ่น
3) ไม่นอกใจ
4) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
5) หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส
In five ways a husband should serve his wife as the western quarter :-
a) by honouring her.
b) by being courteous to her.
c) by being faithful to her.
d) by handing over authority to her.
e) by providing her with ornaments._________________________________________________
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ข้อ [265]
ขอให้ดูข้อ 4) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้ [d) by handing over authority to her.]
ข้อนี้ต้นฉบับบาลีพระไตรปิฎก ท่านใช้คำว่า “อิสฺสริยโวสฺสคฺเคน” (อิสสะริยะโวสสัคเคนะ) แปลตามศัพท์ว่า “ด้วยสละความเป็นใหญ่ให้”
อรรถกถาของพระสูตรนี้ คือ คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ภาค ๓ หน้า ๒๓๓ ขยายความไว้ว่า
อิสฺสริยโวสฺสคฺเคนาติ อิตฺถิโย หิ มหาลตาปสาธนสทิสํปิ อาภรณํ
ลภิตฺวา ภตฺตํ วิจาเรตุํ อลภมานา กุชฺฌนฺติ ฯ กฏจฺฉุํ หตฺเถ
ฐเปตฺวา ตว รุจิยา กโรหีติ ภตฺตเคเห วิสฏฺเฐ สพฺพํ อิสฺสริยํ
วิสฏฺฐํ นาม โหติ ฯ เอวํ กรเณนาติ อตฺโถ ฯ
คำว่า อิสฺสริยโวสฺสคฺเคน ด้วยสละความเป็นใหญ่ให้ หมายความว่า ธรรมดาว่าสตรีทั้งหลายแม้จะได้เครื่องประดับเทียบเท่ากับเครื่องมหาลดาประสาธน์ แต่ถ้ายังไม่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเรื่องอาหารการกิน ก็ยังไม่พอใจอยู่นั่นเอง ต่อเมื่อสามีส่งทัพพีให้แล้วบอกว่า แม่จงทำตามชอบใจของแม่เถิด ดังนี้ แล้วมอบครัวให้ นั่นแหละ จึงจะชื่อว่า มอบความเป็นใหญ่ทั้งหมดให้ เป็นอันได้ความว่า สามีพึงทำอย่างนั้นเถิด
เครื่องประดับมหาลดาประสาธน์ที่เอ่ยถึงนี้ ว่ากันว่าในโลกนี้มีสตรีแค่ ๓ คนเท่านั้นที่ได้เป็นเจ้าของ ลองนึกดูเถิด แม้จะได้เป็นเจ้าของเครื่องประดับที่เลอเลิศขนาดนั้น สตรีก็ยังไม่ภาคภูมิใจเท่ากับได้เป็นใหญ่ในครัวเรือน เหตุผลแบบนี้นับวันจะเข้าใจยากยิ่งขึ้น
@@@@@@@
สมัยก่อนโน้น ผู้หญิงกับการบ้านการเรือนอันมี “การครัว” เป็นประธาน เป็นของคู่กัน กล่าวได้ว่า การครัว คือ ชีวิตของสตรี กล่าวล้อสำนวนทางยุทธศาสตร์ก็ว่า “สตรีใดครองครัวได้ สตรีนั้นครองชีวิตคนได้”
นักประวัติศาสตร์บอกว่า การที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เสด็จสวรรคตนั้น เบื้องหลังที่แท้จริงมีต้นเหตุมาจากเสวยพระกระยาหารไม่ถูกพระโอษฐ์อันเนื่องมาจากทรงมี “ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ” กับพระมเหสีจนไม่ถวายเครื่องเสวยอย่างที่เคย ท่านผู้ใดอยากทราบรายละเอียด ก็จงไปสืบค้นจดหมายเหตุพงศาวดารดูเถิด
ที่ว่าเหตุผลแบบนี้ นับวันจะเข้าใจยากยิ่งขึ้น ก็เพราะวิถีการครองชีพของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ผมเข้าใจว่าสตรีไทยที่มีวัยประมาณ ๓๐ ปีลงมา บัดนี้เริ่มจะหุงข้าวทำกับข้าวไม่เป็นมากขึ้น ได้ยินว่า สามีภรรยาสมัยใหม่หลายครอบครัวไม่มีหม้อข้าวเตาไฟกันแล้ว อาหารทุกมื้อซื้อกินสะดวกกว่า เชื่อว่าอีกไม่เกินครึ่งศตวรรษ สตรีที่หุงข้าวทำกับข้าวไม่เป็นจะถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นข้อเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น
ย้อนไปข้างต้น เมื่อครองครัวได้ ก็เท่ากับได้ความเป็นใหญ่ภายในบ้าน มิใช่เฉพาะภายในครัวอย่างเดียว แต่รวมถึงกิจการทุกอย่างภายในบ้านด้วย เมื่อสามีตกลงยกความเป็นใหญ่ภายในบ้านให้ภรรยาแล้วเช่นนี้ บรรยากาศภายในบ้านก็ย่อมเป็นไปตามที่ภรรยาเป็นผู้กำหนด
เริ่มตั้งแต่ตัวสามีจะได้กินอะไร คนในบ้านจะได้กินอะไร เป็นต้นไป
ขยายออกไปถึงว่า ภายในบ้านจะมีอะไร หรือจะต้องไม่มีอะไร
อาจคลุมไปถึงว่า เวลาไหนใครจะทำอะไร หรือจะต้องเลิกทำอะไร ก็ขึ้นอยู่กับกติกาที่ฝ่ายภรรยาเป็นผู้กำหนด
@@@@@@@
การที่ อะไรๆ ก็แล้วแต่ภรรยา “ผู้เป็นใหญ่ในบ้าน” เป็นผู้กำหนด เช่นนี้เอง บุคลิกที่เรียกกันว่า “คนกลัวเมีย” ก็จึงเริ่มปรากฏในตัวสามี จะเห็นได้ว่า เหตุผลที่แท้จริงไม่ใช่กลัวหรือไม่กลัว เหตุผลที่แท้จริงอยู่ที่ มันเป็นหลักการ หลักการก็คือ เมื่อมอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้แล้ว ทีนี้ก็หน้าที่ใครหน้าที่มัน ไม่พึงก้าวก่ายหน้าที่ของกันและกัน
เมื่อคนหนึ่งใหญ่แล้ว ก็ต้องไม่มีใครมาใหญ่เป็นคนที่สอง ซึ่งจะกลายเป็นแข่งกันใหญ่ และจะนำไปสู่ความขัดแย้งผิดหลักการอย่างร้ายแรง จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องใครกลัวใคร ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี
ที่มีปัญหา เท่าที่ได้ฟังกันทั่วไปนั้น มักเกิดมาจากฝ่ายภรรยาไม่เข้าใจขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ คือ เมื่อได้เป็นใหญ่ภายในบ้านแล้ว ก็เลยขยายความเป็นใหญ่ออกไปนอกบ้านด้วย หนักเข้าก็ขยายออกไปถึงหน้าที่การงานของสามี แล้วเลยกลายเป็นว่า ขยายความเป็นใหญ่เหนือชีวิตของสามีไปเลย ปัญหาเกิดจากตรงนี้
ผมเชื่อว่า ภรรยาส่วนมากลืมนึกความเป็นจริงข้อนี้ แต่เข้าใจไปว่า ตนมีสิทธิ์ที่จะเป็นใหญ่เหนือชีวิตสามีด้วย ปัญหาสามีมีเมียน้อยก็เกิดจากจุดนี้ด้วย ธรรมชาติของมนุษย์-โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นสามี-ย่อมต้องการ “ความนับถือ” เมื่อใดสามีรู้สึกว่า ไม่ได้รับความนับถือจากภรรยา เมื่อนั้นเขาจะเริ่มมองหาความนับถือจากคนอื่น
เคล็ดลับที่จะไม่ให้สามีมีเมียน้อยจึงอยู่ที่ตรงนี้-ตรงที่-จงให้ความนับถือสามีตามควรแก่ฐานะ ไม่ว่าท่านจะเห็นว่าสามีของท่านโง่เขลาเบาปัญญา หรือฉลาดน้อยกว่าท่านขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้านับถือแล้ว และนับถือเป็นอย่างดีด้วย แต่เขาก็ยังมี..ถึงตอนนั้นท่านย่อมได้สิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ ตามที่เห็นสมควร รวมทั้งการที่จะไม่ให้ความนับถืออีกต่อไป-แต่ต้องหลังจากทบทวนถ้วนถี่แล้วว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะตัวแปรอาจมีมากกว่าหนึ่ง
อนึ่ง สามีที่ไม่ได้รับความนับถือจากภรรยา อาจเป็นคนประเภทที่ไม่ต้องการความนับถือจากใครอื่นอีก ก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาก็จะไม่ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยที่ไหน เขาคงอยู่กับภรรยาตามปกติ แต่เขาจะมีโลกส่วนตัวตามแต่เขาจะสามารถมีหรือสร้างขึ้นได้ นี่คือ ที่มาของการอยู่กันแบบ-ต่างคนต่างอยู่ ไม่แยกทาง แต่ก็ไม่ร่วมทาง
กรณีเช่นนี้ภรรยาก็อาจจะมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง คือ อยากรู้ว่าโลกส่วนตัวของสามีเป็นอย่างไร แต่เข้าไปไม่ได้ นอกจากจะใช้ความนับถือเป็นกุญแจไขประตู ถึงตรงนี้ขอย้ำว่า-อย่าลืม “ความนับถือ”
@@@@@@@
อนึ่ง การถูกเข้าใจว่าสามีเป็นคนกลัวเมีย อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดอย่างแรงจากฝ่ายภรรยา คือเข้าใจผิดไปว่า ที่ยังไม่เกิดสงครามก็เพราะ “คุณกลัวฉัน”
อันที่จริง การที่ยังไม่เกิดสงคราม อาจไม่ใช่เพียงเพราะฝ่ายหนึ่งกลัวอีกฝ่ายหนึ่ง แต่อาจเป็นเพราะมีฝ่ายหนึ่งที่รักสงบ ยอมเสียสละ ยอมเป็นผู้แพ้ หรือยอมให้ถูกมองว่าเป็นผู้แพ้ สู้เข้าไม่ได้ เพื่อแลกกับความสงบสุข
มุมมองแบบนี้ ผมเห็นว่า เราพลาดกันมาก-พลาดตรงที่มองไม่เห็นมุมนี้
ผู้ชนะ ร้อยทั้งร้อยมีแต่แสดงอำนาจ ลิงโลด อหังการอยู่เหนือผู้แพ้
ผู้ชนะ ร้อยทั้งร้อยไม่เคยเฉลียวใจว่า ที่ตนชนะได้ก็เพราะมีผู้ยอมแพ้
ผู้ชนะ ร้อยทั้งร้อยจึงไม่เคยนึกถึงความดีของผู้แพ้
ถ้าไม่มีลูกน้อง ท่านจะใหญ่กับใคร
ถ้าไม่มีผู้ยอมแพ้ ท่านจะชนะได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เห็นครอบครัวไหนอยู่กันมายั่งยืน โปรดอย่าลืมเฉลียวใจคิดกันบ้างนะครับว่า นั่นอาจเป็นผลมาจาก-ใครบางคนที่ยอมให้สังคมเย้ยหยันว่าเป็น “คนกลัวเมีย”
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ | ๑๕:๓๑Thank to :
https://dhamtara.com/?p=28547คนกลัวเมีย | 31 กรกฎาคม 2024 | suriyan bunthae