พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา
ขุทฺทกปาเฐ กรณียเมตฺตสุตฺตํ
[๑๐]
|๑๐.๑| กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ
สกฺโก อุชู จ สุหุชู จ สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี
|๑๐.๒| สนฺตุสฺสโก จ สุภโร จ อปฺปกิจฺโจ จ สลฺลหุกวุตฺติ
สนฺตินฺทฺริโย จ นิปโก จ อปฺปคพฺโภ กุเลสุ อนนุคิทฺโธ ฯ
|๑๐.๓| น จ ขุทฺทํ สมาจเร กิญฺจิ เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ ฯ
สุขิโน วา เขมิโน โหนฺตุ สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
|๑๐.๔| เยเกจิ ปาณภูตตฺถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา
ทีฆา วา เย มหนฺตา วา มชฺฌิมา รสฺสกา อณุกถูลา
|๑๐.๕| ทิฏฺฐา วา เย (๑-) จ อทิฏฺฐา เย (๑-) จ ทูเร วสนฺติ อวิทูเร
ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา
|๑๐.๖| น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติมญฺเญถ กตฺถจิ นํ (๒-) กิญฺจิ
พฺยาโรสนา ปฏีฆสญฺญา นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยฺย ฯ
|๑๐.๗| มาตา ยถา นิยํ ปุตฺตํ อายุสา เอกปุตฺตมนุรกฺเข
เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ____________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ม. เย ว ฯ , (๒-) ม. น กิญฺจิ ฯ
|๑๐.๘| เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ
อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ
|๑๐.๙| ติฏฺฐญฺจรํ นิสินฺโน วา สยาโน วา ยาว ตสฺส วิคตมิทฺโธ
เอตํ สตึ อธิฏฺเฐยฺย พฺรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ (๑-) ฯ
|๑๐.๑๐| ทิฏฺฐิญฺจ อนุปคมฺม สีลวา ทสฺสเนน สมฺปนฺโน
กาเมสุ วิเนยฺย (๒-) เคธํ น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ ฯ_________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ม. วิหารมิธมาหุ ฯ , (๒-) ม. วินย ฯ
เมตฺตสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ฯ
ขุทฺทกปาโฐ สมตฺโต ฯขอบคุณที่มา :
https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=25&item=10&items=1&preline=0&pagebreak=0&modeTY=2
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา
สุตฺตนิปาเต อุรควคฺคสฺส อฏฺฐมํ เมตฺตสุตฺตํ
[๓๐๘]
|๓๐๘.๕๖๖| ๘ กรณียมตฺถกุสเลน
ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ
สกฺโก อุชู จ สุหุชู (๑-) จ
สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี ฯ
|๓๐๘.๕๖๗| สนฺตุสฺสโก จ สุภโร จ
อปฺปกิจฺโจ จ สลฺลหุกวุตฺติ
สนฺตินฺทฺริโย จ นิปโก จ
อปฺปคพฺโภ กุเลสุ อนนุคิทฺโธ ฯ
|๓๐๘.๕๖๘| น จ ขุทฺทํ สมาจเร กิญฺจิ
เย น วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ ฯ
สุขิโน วา (๒-) เขมิโน โหนฺตุ
สพฺเพ (๓-) สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา___________________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ยุ. สูชู จ ฯ , (๒-) ม. สุขิโน ว ฯ , (๓-) ม. สพฺพสตฺตา ฯ
|๓๐๘.๕๖๙| เย เกจิ ปาณภูตตฺถิ
ตสา วา ถาวรา (๑-) วา อนวเสสา
ทีฆา วา เย (๒-) มหนฺตา วา
มชฺฌิมา รสฺสกา อณุกถูลา
|๓๐๘.๕๗๐| ทิฏฺฐา วา เย (๓-) จ อทิฏฺฐา
เย (๔-) จ ทูเร วสนฺติ อวิทูเร
ภูตา วา สมฺภเวสี วา (๕-)
สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา ฯ
|๓๐๘.๕๗๑| น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ
นาติมญฺเญถ กตฺถจิ (๖-) นํ กิญฺจิ
พฺยาโรสนา ปฏีฆสญฺญา
นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยฺย ฯ
|๓๐๘.๕๗๒| มาตา ยถา นิยํ ปุตฺตํ
อายุสา เอกปุตฺตมนุรกฺเข
เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ
มานสมฺภาวเย (๗-) อปริมาณํ
|๓๐๘.๕๗๓| เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ
มานสมฺภาวเย (๗-) อปริมาณํ
อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ
อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ
|๓๐๘.๕๗๔| ติฏฺฐญฺจรํ นิสินฺโน วา (๘-)
สยาโน (๙-) วา ยาว ตสฺส วิคตมิทฺโธ ฯ_____________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ม. ถาวรา อนวเสสา ฯ , (๒-) ม. เยว มหนฺตา ฯ , (๓-) ม. เยว อทิฏฺฐา ฯ ยุ. เย วา
@ อทิฏฺฐา ฯ (๔-) ม. เยว ... ฯ , (๕-) ม. ภูตา ว สมฺภเวสี ว ฯ , (๖-) ม. น กญฺจิ ฯ
@ (๗-) ม. มานสํ ... ฯ (๘-) ม. นิสินฺโน ว ฯ
@ (๙-) ม. สยาโน ยาวตาสฺส วิคตมิทฺโธ ฯ
|๓๐๘.๕๗๕| เอตํ สตึ อธิฏฺเฐยฺย
พฺรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ ฯ
ทิฏฺฐิญฺจ อนุปคมฺม สีลวา
ทสฺสเนน สมฺปนฺโน
กาเมสุ วิเนยฺย เคธํ
น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ ฯ
เมตฺตสุตฺตํ อฏฺฐมํ ฯขอบคุณที่มา :
https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=25&item=308&items=1
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๘. เมตตสูตร (๑-) ว่าด้วยการแผ่เมตตา
(พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ป่าดังนี้)______________________________________
@เชิงอรรถ : (๑-) ข้อ ๑๔๓-๑๕๒ ดู ขุททกปาฐะ (เมตตสูตร ข้อ ๑-๑๐ หน้า ๒๐-๒๒ ในเล่มนี้)
[๑๔๓] ผู้ฉลาดในประโยชน์ มุ่งหวังบรรลุสันตบท
ควรบำเพ็ญกรณียกิจ ควรเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง
เคร่งครัด ว่าง่าย อ่อนโยน และไม่เย่อหยิ่ง
[๑๔๔] ควรเป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย
มีความประพฤติเบา มีอินทรีย์สงบ มีปัญญารักษาตน
ไม่คะนอง ไม่ยึดติดในตระกูลทั้งหลาย
[๑๔๕] อนึ่ง ไม่ควรประพฤติความเสียหายใดๆ
ที่จะเป็นเหตุให้วิญญูชนเหล่าอื่นตำหนิเอาได้
(ควรแผ่เมตตาไปในสรรพสัตว์อย่างนี้ว่า)
ขอสัตว์ทั้งปวงจงมีความสุข
มีความเกษม มีตนเป็นสุขเถิด
[๑๔๖] คือเหล่าสัตว์ที่ยังเป็นผู้หวาดสะดุ้ง หรือเป็นผู้มั่นคง
ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จงมีตนเป็นสุขเถิด
เหล่าสัตว์ที่มีขนาดกายยาว ขนาดกายใหญ่ ขนาดกายปานกลาง
ขนาดกายเตี้ย ขนาดกายผอม หรือขนาดกายอ้วน
ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จงมีตนเป็นสุขเถิด
[๑๔๗] เหล่าสัตว์ที่เคยเห็นก็ดี เหล่าสัตว์ที่ไม่เคยเห็นก็ดี
เหล่าสัตว์ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลก็ดี ภูตหรือสัมภเวสีก็ดี
ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จงมีตนเป็นสุขเถิด
[๑๔๘] ไม่ควรข่มเหง ไม่ควรดูหมิ่นกันและกันในทุกโอกาส
ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน
เพราะความโกรธและเพราะความแค้น
[๑๔๙] ควรแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีประมาณไปยังสรรพสัตว์
ดุจมารดาเฝ้าถนอมบุตรคนเดียวด้วยชีวิต ฉะนั้น
[๑๕๐] อนึ่ง ควรแผ่เมตตาจิตชนิดไม่มีประมาณ
กว้างขวาง ไม่มีเวร ไม่มีศัตรูไปยังสัตว์โลกทั่วทั้งหมด
ทั้งชั้นบน ชั้นล่าง และชั้นกลาง
[๑๕๑] ผู้แผ่เมตตาจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน
ควรตั้งสตินี้ไว้ตลอดเวลาที่ยังไม่ง่วง
นักปราชญ์เรียกการอยู่ด้วยเมตตานี้ว่า พรหมวิหาร
[๑๕๒] อนึ่ง ผู้แผ่เมตตาที่ไม่ยึดถือทิฏฐิ
มีศีล ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ
กำจัดความยินดีในกามคุณได้แล้ว
ก็จะไม่เกิดในครรภ์อีกต่อไป
เมตตสูตรที่ ๘ จบขอบคุณที่มา :
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=235
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เมตตสูตรที่ ๘
[๓๐๘]
กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ ปรารถนาเพื่อจะตรัสรู้สันตบท
พึงบำเพ็ญไตรสิกขา กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ
เป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง
สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มีความประพฤติเบา มีอินทรีย์อันสงบแล้ว
มีปัญญาเครื่องรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย
และไม่พึงประพฤติทุจริตเล็กน้อยอะไรๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านผู้รู้เหล่าอื่นติเตียนได้
พึงเจริญเมตตาในสัตว์ทั้งหลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด
สัตว์มีชีวิตเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ เป็นผู้สะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง ไม่มีส่วนเหลือ
สัตว์เหล่าใดมีกายยาวหรือใหญ่ ปานกลาง หรือสั้น ผอมหรือพี
ที่เราเห็นแล้วหรือไม่ได้เห็น อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ที่เกิดแล้วหรือแสวงหาที่เกิด
ขอสัตว์ทั้งหมดนั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด
สัตว์อื่นไม่พึงข่มขู่สัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่น อะไรเขาในที่ไหนๆ
ไม่พึงปรารถนาทุกข์ให้แก่กันและกัน เพราะความโกรธ เพราะความเคียดแค้น
มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน แม้ด้วยการยอมสละชีวิตได้ ฉันใด กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์
พึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งปวง แม้ฉันนั้น
กุลบุตรนั้นพึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น
ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู
กุลบุตรผู้เจริญเมตตานั้นยืนอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี
พึงเป็นผู้ปราศจากความง่วงเหงาเพียงใด ก็พึงตั้งสตินี้ไว้เพียงนั้น
บัณฑิตทั้งหลายกล่าววิหารธรรมนี้ว่า เป็นพรหมวิหารในธรรมวินัยของพระอริยเจ้านี้
และกุลบุตรผู้เจริญเมตตาไม่เข้าไปอาศัยทิฐิ เป็นผู้มีศีลถึงพร้อมแล้วด้วยทัศนะ
นำความยินดีในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่ถึงความนอนในครรภ์อีกโดยแท้แล ฯ
จบเมตตสูตรที่ ๘เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๓๘๐-๗๔๐๙ หน้าที่ ๓๒๓-๓๒๔.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=7380&Z=7409&pagebreak=0http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=25&item=308&items=1 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=308